สวัสดีครับ ผมกันต์ คงจะจำกันได้กับเรื่องราว งานแต่งเกย์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://pantip.com/topic/35528238

ที่ผมเคยเขียนกระทู้ก่อนหน้านี้ หลายๆคนเข้า มาคุยด้วยว่าเรื่องราวที่ผมสื่อ มันทำให้มีกำลังใจ ในการมีความรัก หรือ เข้าใจในความรักมากขึ้น ผมก็ได้บอกกับทุกๆคน ผมจะขอลงเรื่องราวชีวิต ก่อนที่จะมาถึงวันแต่งงาน จริงๆ คำว่าอุปสรรค์ที่ผมเขียนรวมๆ มันมากมายและหนักหนา จนผมคิดจะถ่ายทอดออกมา เพื่อเป็นวิทยาทาน สำหรับคนที่กำลังมีความรัก ไม่ว่าจะเพศไหนๆ เป็นแนวทางไม่ได้มากก็น้อย แต่หากคนไหนรู้สึกความรักของผมจะแปลกประหลาด หรือ ไม่สมควรออกมาเขียน ต้องขออภัยด้วยจริงๆครับ
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนนะครับ ว่าบุคคลที่อยู่ในเรื่อง มีตัวตนอยู่จริง แต่ผมไม่อาจลงรูปเค้าได้บางคน ขออภัยด้วยนะครับ แต่มีตัวตนจริง100% เป็นเรื่องราวแบบ Base on true story ขอเริ่มเลยนะครับ.......
ผม ชื่อกันต์ ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ชื่อที่แฟนผมจะเรียกประจำคือ กันตะ จนติดปาก อดีตครอบครัวผม มีด้วยกัน5คน รวมผม แต่ปัจจุบัน แม่ของผมท่านเสียไปตั้งแต่ ปี 2548 ด้วยโรคเส้นโลหิตสมองแตก ทำให้เหลือกันอยู่ 4คน ประกอบด้วย พ่อ ผม พี่สาว และน้องชาย ด้วยความที่ผมเป็นลูกคนกลาง แต่เป็นผู้ชาย ประกอบกับคุณพ่อผม มีภรรยาหลายคน ทำให้ผมต้องกลายเป็นหัวหน้าครอบครัว แบบ part-time คือผมหมายถึงเวลาที่ คุณพ่อผม ไปอยู่กับบ้านอื่น แต่ผมก็ไม่ได้อยากจะยอมรับสถานะนี้เท่าไหร่หรอกครับ ด้วยวัย ที่ต้องเรียน และทำงานไปด้วยยามเลิกเรียน เป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อ แต่นานๆเข้าผมก็ชิน ผมทำงานเพราะอะไร ครอบครัวผม ฐานะไม่ได้ดีอะไรมากมาย ยังไงนะหรือครับ ที่ผมจำความได้คือ พ่อผมเป็นคนขับมอไซค์รับจ้าง ส่วนแม่ ทำขนมจีน ขายอยู่ที่บ้าน กับพี่สาว ทำให้ผมคิดอยากหารายได้ช่วยเพราะตอนนั้นผมยังเรียน และคิดเสมอว่าเรานี่ล่ะ ภาระหลักของครอบครัว ในขณะนั้นแม่ผมก็กำลังท้อง จนกระทั่ง แม่ผมคลอดน้องคนเล็ก และมีสมาชิกเพิ่ม ผมยิ่งต้องทำมากขึ้น ช่วงปิดเทอม นอกจากผมจะทำงานพนักงานร้านสะดวกซื้อแล้ว ผมจะเอาเวลาว่างวันหยุดไปรับจ้างตัดหญ้า ตามในหมู่บ้าน เพื่อหาเงินมาจุนเจือที่บ้าน แต่กระนั้นก็เถอะครับ หลังจากเหตุการณ์หนึ่ง พ่อผมก็ไม่ได้ยอมรับผม เป็นคนที่ดีอะไรเลย เพียงเพราะ
ตอง เพื่อนในชั้นเรียนผม ที่เข้ามาตีสนิท ผม ด้วยการขอยืมลิขวิด ลบคำผิดบ้าง และชวนคุย ขณะผมเรียน จนเราสนิทสนมกันจนถึงขั้นไปมาหาสู่ที่บ้านเราสองคนจนเรียกว่า เพื่อนสนิท ได้เลยครับ ตอนนั้น คุณพ่อของผม เริ่มฐานะดีขึ้น มาเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง จนแม่ไม่ต้องขายขนมจีนแล้ว ทุกอย่างปรกติดี จนกระทั่ง......

ตอง ที่เป็นเพื่อนสนิทผม เราสนิทกัน จนความสนิทมันทำให้ความรู้สึกเกินคำว่าเพื่อน ผมและเค้าก็รู้ดี แต่เราเลือกที่จะไม่พูดกัน เราสองคน ใกล้ชิดกัน จนพี่สาวของผม พี่หนิง เห็นถึงความผิดปรกติ และเรียกผมไปไถ่ถาม เรื่องความสัมพันธ์ จนทำให้ผมและพี่มีปากเสียงกัน และเรื่องนี้ก็ไปเข้าหูพ่อผม ครั้งนั้นทำให้ผมและพ่อ ดูห่างไกลกัน และความรู้สึกของพ่อที่มีต่อผม กลับติดลบ แต่พ่อไม่เคยตำหนิหรือว่าอะไรผม มีเพียงการแสดงออก ที่ทำให้ผมรับรู้ได้เพียง ว่า พ่อไม่รักผมเลย จนกระทั่งแม่ผมเสีย ยิ่งทำให้ความเข้าใจผมกับพ่อแย่ลง ด้วยเมื่อก่อนเวลาผมมีปัญหา แม่ผมจะคอยปรับให้ผมและพ่อ กลับมาคุยกันได้เสมอ สิ่งหนึ่งที่ผมนึกถึงคำพูดของแม่ เวลามีปัญหากับพ่อเรื่องความแตกต่างทางเพศของผม แม่ผมจะพูดเสมอ “เอาเถอะ ..ใครจะว่าลูกแม่เป็นอะไร หนูก็คือลูกแม่” มันยิ่งตกย้ำรอยร้าวของผมกับพ่อยิ่งเลวร้ายลง ผมได้ตัดสินใจคุยกับตอง และขอออกห่างจากกัน โดยไม่มีเหตุผล เลิกคุย เลิกสนิท เลิกคบหา เพราะผมไม่สบายใจเรื่องที่ทำให้พ่อ ต้องมองผมไม่ดี ขนาดตัดขาดจากกัน ครั้งนั้น ผมและเค้าเสียใจมาก ... จะด้วยอะไร หรือสถานะไหนก็ตาม เราไม่เคยกำหนด รู้แต่ความรู้สึกดีๆที่มี พังทลายไปหมด หลังจากนั้น ...พ่อผมจะพยายามหา ผู้หญิงมาแนะนำ จนผมรู้สึกอึดอัด เพราะพ่อต้องการให้ผมเป็นผู้ชาย ตอนนั้น ผมจบมัธยมปลายแล้ว ...
ผมได้หนีออกจากบ้าน มาอยู่คนเดียว โดยมีพี่ชายผม พี่หนุ่ม ... ลูกชายของป้า ที่ทำงานอยู่สำนักงานแห่งหนึ่ง ในเขต อโศก .. ผมมาพักที่คอนโดของพี่ชาย และ ทำงานร้านสะดวกซื้อแถวๆนั้น และได้เรียนรามคำแหงไปด้วย ขณะทีผมเรียน ผผมได้รู้จักเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อ กิ๊ฟ
กิ๊ฟเธอชอบผม ทั้งๆที่รู้ว่าผมเป็นเกย์ เราก็ยังสนิทกันเหมือนเพื่อนกันทั่วๆไป แม้ผมจะรู้ว่าเธอชอบผม ผมก็ไม่อยากให้ความหวัง ด้วยการทำตัวเป็นเพื่อนโดยไม่ให้ความหวังใดๆเลย จนกระทั่งวันเกิดของเธอ เราได้มากินเลี้ยง ฉลองที่บ้านของเธอ จนกระทั่งดึก เพื่อนๆก็ทยอยกลับ เพราะบางคนก็เมาหนักและพากันกลับจนหมด กิ๊ฟ เธอขอให้ผม อยู่เป็นเพื่อนเธอ เพราะเธอเมาแล้วชอบร้องไห้ เราก็นั่งคุยกันไปเรื่อยจนกิ๊ฟสารภาพว่า เธอรักผม แม้จะรู้ว่าผมเป็นเกย์ ด้วยความเมา ทำให้เราเผลอมีอะไรกันโดยที่ผมไม่รู้ว่าทำลงไปได้ไง ตอนเช้าที่รู้ผมแทบบ้า ทั้งร้องไห้ ทั้งเสียใจ ที่มีอะไรกับเพื่อนตัวเองที่เราไม่เคยรักแบบชู้สาว จนกระทั่งเธอมาสารภาพกับผม ว่าเธอตั้งใจให้เหตุการณ์มันเกิดขึ้น เพราะ ...เธอกำลังจะถูกบังคับแต่งงานกับผู้ชายมีฐานะแต่อายุเยอะคนหนึ่ง แต่ผู้ชายคนนั้นเป็นหมัน และขอให้เธอตั้งครรภ์ให้ โดยการทำกิ๊ฟกับน้ำเชื้อบริจาค แต่เธอต้องการมีลูกกับคนที่เธอรัก นั่นก็คือผม ผมได้แต่อึ้งและพูดไม่ออก แต่สุดท้ายเราก็กลับมาคุยกันด้วยดี ผมได้รับข้อความในมือถือจากเธอ ว่าเธอท้องแล้วได้3สัปดาห์ และกำลังจะแต่งงาน วันแต่งงานผมได้ไปงานแต่งของเธอและรู้สึกลึกๆ อยากเห็นหน้าลูกของผมในท้องของเธอ เธอสัญญาจะพามาเจอผมหลังจากคลอดแล้ว ...
หลังจากนั้น ผมก็เรียนจบ แล้วเธอก็จบพร้อมกัน เราต่างคนต่างทำงาน ผมก็ทำงานบริษัทแห่งหนึ่งเป็นพนักงานฝ่ายบุคคล พี่ชายก็ทำงานที่เดิม ขณะนั้นผมได้เอาเวลาว่างกลางคืน มาร้องเพลงในร้านอาหาร เพื่อเป็นรายได้เสริม มีหลายๆคนเข้ามาคุยบ้างจีบบ้าง แต่ผมกลับรู้สึกว่า ไม่อยากคบกับใคร เอาจริงๆหลายๆคนที่เข้ามา เรียกว่าสเป็คผมเลยก็ว่าได้ สูง ขาว ตี๋ สเป็คสูงเหลือเกิน ไม่ได้มองตัวเอง แต่ก็นะครับ คนเรา ความชอบมันเลือกไม่ได้ แต่ตอนนั้น มีเข้ามาแบบที่ชอบกี่คนผมก็กลับไม่เลือกคบเพราะ สถานที่ที่ทำงานผม มันไม่เหมาะกับการหาแฟนด้วยมั้งครับ จนกระทั่ง เกิดเหตุการณ์หนึ่ง คือ พี่สาวของพี่ชายผม เค้าได้ฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอ ทำให้ผมและพี่ชายต้องกลับมาร่วมงาน ที่จังหวัดสระบุรี ที่วัด ทองพุ่มพวง ผมกับพี่ชาย ก็ลางานมา และเที่ยวที่นี่ จนทำให้ผมรู้สึกว่า ที่นี่น่าอยู่ พี่ชายผมก็เลยถามเล่นๆ “ว่าหรือว่า เราจะย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ดี” ช่วงนั้นยอมรับว่าผมเบื่อสังคมหลายๆอย่างในกรุงเทพ ฯ จนตัดสินใจลาออกจากงานและย้ายมาอยู่สระบุรี ตอนนั้น ผมมีเวลากับตัวเองมาก เพราะผม ได้ทำงานแบบฟรีแลนซ์เลย คือแบบ ทำงานไรก็ทำไม่สนใจวุติ แค่พออยู่พอกินก็พอ ตอนนั้นผม ก็เลือกทำงานพาร์ทไทม์ร้านสะดวกซื้อ ตลกดีนะครับ จบปริญญาแต่ไม่ทำงานแบบจริงจังกับหน่วยงานใดๆ และพอว่างก็ไปร้องเพลงที่ กทมฯ เหมือนเดิม แปลกดี แต่รู้สึกสบายใจ อยากทำไรก็ทำ จนกระทั่งผมได้กลับไปหาพ่อ ตอนนั้นพ่อก็ค่อนข้าง ไม่พอใจ ที่ผมออกห่างจากครอบครัว ผมเป็นคนอินดี้ ครับ บทจะทำไรก็ทำ จริงๆ ...
ตอนนั้นผมมีปากเสียงกับพ่อ และเลือกเดินหนีออกมาเวลาไม่พอใจ ผมก็ไปหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ผมได้ยินเสียง เพลงงานบวช ดังลั่น และ จู่ๆ ผมก็เดินกลับไปหาพ่อ พ่อไม่พูดจากับผม ....ผมก็เลยเลือกท่จะบอกเค้า “พ่อ..บวชให้ผมหน่อยผมอยากบวช ” สีหน้าพ่อเปลี่ยนไป เป็นนิ่งหันมาสบตาผมสักครู่ ก่อนจะยืนนิ่งหันหลังและเดินเข้าห้องไป (ผมมารู้ทีหลังว่าพ่อเข้าไปร้องไห้ที่ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้..)
ในงานบวชผมเลือกไปบวช วัดวังก้านเหลือง อ.ดงเจริญ จังหวัดพิจิตร ที่ บ้านเกิดของพ่อ ตอนนั้นมีน้องชายชื่อ เก่ง(ลูกของอา บวชร่วมด้วย) ขณะที่ผม เป็นนาค ผมเห็นสีหน้าพ่อยิ้มแย้มดีใจ และมีความสุขมาก เฮฮา แตกต่างจากพ่อคนเดิม ที่เคยถทึงตลอดเวลามีผมอยู่ใกล้ระยะต่ำกว่า 100เมตร ตามประเพณีตอนบวช พ่อจะเป็นคนตัดเล็บมือให้ผม ก่อนปลงผม พ่อเข้ามากอดผมและน้ำตาคลอ พูดกับผมขณะสวมกอดเสียงสั่นเครือ “ พ่อไม่คิด...ว่าจะมีวันนี้ ลูกมาขอบวชเอง พ่อดีใจลูก พ่อดีใจมาก...” ตอนนั้นไม่รู้น้ำตาผมมาจากไหน จากที่จะไม่เคยร้องไห้ให้พ่อเห็น แต่ตอนนั้นน้ำตามันไหลออกมาแบบเหมือนเป็นสายน้ำ ......
หลังจากเสร็จสิ้นงานบวชผมก็พยายามตั้งใจทำตัวดี ให้สมกับที่เป็นภิกษุ ทั้งเทศ สวดมนต์ ร่ำเรียนวิชานักธรรมจนจบชั้นโท ตอนแรกผมตั้งใจจะบวช แค่15วัน แต่มีพระรูปหนึ่ง ชื่อ พระอาจารย์บรรจง(ปัจจุบันท่านยังบวชอยู่ที่วัดดังกล่าวมากกว่า 20พรรษาแล้ว) ท่านได้ถามผมในขณะที่บิณฑบาต ท่านได้เอ่ยถามผม “พระ..ท่านจะบวชนานเท่าไร” ผมก็ไม่ได้จับใจความใดๆนักตอนนั้น “15วันครับ” ผมตอบห้วนๆไป ท่านนิ่ง จนกระทั่งเดินกลับวัด “อีกแค่ไม่กี่วันท่านก็จะสึกแล้วสินะ... โยมแม่ของพระ ตั้งท้องพระมาตั้ง9เดือน น่าลำบากนะ แต่ท่านทนไหว นี่15วันที่ท่านบวช คงไม่ลำบากเท่าไหร่หรอก ท่านว่าเร็วไปไหม” หลวงน้าท่านพูดกึ่งพูดกึ่งขัน แฝงนัย แต่ตอนนั้นผมก็ไม่สนใจนัก จนกระทั่งกลับมานอนที่กุฏิ ก็นึกถึงแต่คำที่หลวงน้าท่านพูดไม่รู้ทำไม จนกระทั่งคิดได้ในหัวเองว่า “ทำไมโยมแม่ท้องตั้ง9เดือนยังทนได้ แล้วเราจะบวชแค่15วันนี้นะ “ จู่ๆผมก็หยิบโทรศัพท์ โทรหาโยมพ่อ และบอกท่านว่าผมจะยังไม่สึก ไม่ขอกำหนด และ จะอยู่จนกว่าจะพอใจ หลังจากน้องชายที่ร่วมบวชนั้นสึกไป ผมก็บวชจนได้ 1ปี กับ 11 เดือน จึงได้สึก
ผมก็ได้กลับมาอยู่สระบุรี กับพี่ชายอีกครั้ง ผมยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม แตกต่างที่ สังคมกว้างขึ้น ผมได้อยู่กับเฟสบุ๊ค ของเล่นใหม่ตอนนั้น ผมก็เล่นไปเรื่อยจนเจอกับ ผู้ชายคนหนึ่งชื่อ ว่า “เต้” เค้าเป็นรุ่นพี่ ของผม3ปีกว่า แต่เค้าดูอบอุ่น และทำให้ผมรู้สึกดีทุกครังที่คุยด้วย จนมีการคุยกันทางโทรศัพท์ ทุกวัน เค้าพยายามนัดเจอ แต่ผมก็เลือกบ่ายเบี่ยงมาตลอด ผมได้เอารูปๆหนึ่งของพี่เต้ ไปให้พี่หนุ่ม พี่ชายของผมดู ก็ว่าผ่าน น่าจะโอเค เราจะเป็นที่ปรึกษากัน เวลาพี่ผมจะคบใครก็จะมาแลกกันสกรีนเสมอ .. จนกระทั่งวันที่ผมได้พบเค้าครั้งแรก เอาจริงๆตอนนั้น ผมกลับรู้สึกเฉยๆในครั้งแรกที่เจอ เพราะเค้าดูตัวเท่าๆผมและดูผอมบางกว่าผมด้วยซ้ำ ดูในรูปที่คุยกัน เข้าใจว่าเค้าตัวสูงใหญ่ (แอบผิดหวังเล็กๆ) แต่ก็ยังคุยต่อ ตอนนั้นตั้งแต่เจอหน้าความรู้สึกผูกพัน มันมากกว่าแล้ว ผมไม่นึกถึงสเปคอะไรแล้ว จนเรียกว่าแฟนเลย เราคบกันจนถึงขั้นมีสัมพันธ์ แล้ว เค้าก็เคยพูดกับผมว่า ...จริงๆผมไม่สเป็คเค้า จริงๆเค้าชอบ คนตัวเล็กกว่า ...ไม่สูงกว่าหรือเท่ากัน นาทีนั้นผมแอบช็อคเล็กๆ ตอนนั้นผมเองพยายามตีตัวออกห่าง ประกอบกับเค้าไม่ออนเฟสบุ๊คและติดต่อมา มันทำให้ผมคิดมาก(มาทราบทีหลังคือเฟสเค้าโดนสแปมและติดต่อผมไม่ได้เพราะผมเปลี่ยนเบอร์หนี ) และปรึกษาพี่หนุ่มมาตลอด จนพี่ผมเห็นท่าไม่ดี เพราะผมเสียใจและคิดมาก จนต้องชวนกันไปจากสระบุรี ไปทำงานที่ กรุงเทพ เหมือนเดิม ..... ระหว่างนั้น ผมได้เจอกับคนที่เป็นเสป็คคนหนึ่ง ชื่อเต้ (อีกแล้ว..) แต่ต่างกันตรงที่ เค้าตรงสเป็คทุกอย่าง ผมเลยตัดสินใจคบกับคนนี้ ระหว่างที่คบกัน ผมไม่เคยลืมพี่เต้คนเดิมเลย ผมคบกับ เต้ คนปัจจุบัน แบบไม่จริงจังมาก แต่สุดท้าย ผมก็มาเจอเค้า ตอนกำลังมีอะไรกับคนอื่นแบบเซอร์ไพรซ์ แต่ไม่เซ็นเซอร์ เค้าตกใจมาก ...พยายามจะแก้ตัว แต่ผมเลือกที่จะไม่คุยอะไรกับเค้าเลย ในระยะเวลา 6เดือนที่คบกัน ก็ทำให้ผมเสียใจจนไม่อยากรักใครอีก มีเพียงพี่หนุ่มที่คอยเป็นเพื่อนปลอบใจ และสุดท้าย ก็เลิกกับเต้ไป ตอนนั้นผมก็เอาแต่ใช้ชีวิตโสด และไปกิน เที่ยว และสนุกสนาน แบบชีวิตโสดกับพี่สองคนและเพื่อนๆที่รู้จัก จนกระทั่งได้กลับมาเที่ยวที่สระบุรีอีกครั้ง ตอนนั้น พี่สาวของพี่หนุ่มอีกคน ชื่อพี่ดาว เปิดร้านอาหารอยู่แถว พุแค สระบุรี “ชื่อร้านใจดาว” เราก็มาพักที่บ้านหลังนี้ จนกระทั่งหางานได้ จร
"ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย ่..กว่าจะได้รักแท้..." ก่อนจะมีงานแต่ง ชาย-ชาย (เต้&กันต์) ตอน1
ที่ผมเคยเขียนกระทู้ก่อนหน้านี้ หลายๆคนเข้า มาคุยด้วยว่าเรื่องราวที่ผมสื่อ มันทำให้มีกำลังใจ ในการมีความรัก หรือ เข้าใจในความรักมากขึ้น ผมก็ได้บอกกับทุกๆคน ผมจะขอลงเรื่องราวชีวิต ก่อนที่จะมาถึงวันแต่งงาน จริงๆ คำว่าอุปสรรค์ที่ผมเขียนรวมๆ มันมากมายและหนักหนา จนผมคิดจะถ่ายทอดออกมา เพื่อเป็นวิทยาทาน สำหรับคนที่กำลังมีความรัก ไม่ว่าจะเพศไหนๆ เป็นแนวทางไม่ได้มากก็น้อย แต่หากคนไหนรู้สึกความรักของผมจะแปลกประหลาด หรือ ไม่สมควรออกมาเขียน ต้องขออภัยด้วยจริงๆครับ
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนนะครับ ว่าบุคคลที่อยู่ในเรื่อง มีตัวตนอยู่จริง แต่ผมไม่อาจลงรูปเค้าได้บางคน ขออภัยด้วยนะครับ แต่มีตัวตนจริง100% เป็นเรื่องราวแบบ Base on true story ขอเริ่มเลยนะครับ.......
ผม ชื่อกันต์ ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ชื่อที่แฟนผมจะเรียกประจำคือ กันตะ จนติดปาก อดีตครอบครัวผม มีด้วยกัน5คน รวมผม แต่ปัจจุบัน แม่ของผมท่านเสียไปตั้งแต่ ปี 2548 ด้วยโรคเส้นโลหิตสมองแตก ทำให้เหลือกันอยู่ 4คน ประกอบด้วย พ่อ ผม พี่สาว และน้องชาย ด้วยความที่ผมเป็นลูกคนกลาง แต่เป็นผู้ชาย ประกอบกับคุณพ่อผม มีภรรยาหลายคน ทำให้ผมต้องกลายเป็นหัวหน้าครอบครัว แบบ part-time คือผมหมายถึงเวลาที่ คุณพ่อผม ไปอยู่กับบ้านอื่น แต่ผมก็ไม่ได้อยากจะยอมรับสถานะนี้เท่าไหร่หรอกครับ ด้วยวัย ที่ต้องเรียน และทำงานไปด้วยยามเลิกเรียน เป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อ แต่นานๆเข้าผมก็ชิน ผมทำงานเพราะอะไร ครอบครัวผม ฐานะไม่ได้ดีอะไรมากมาย ยังไงนะหรือครับ ที่ผมจำความได้คือ พ่อผมเป็นคนขับมอไซค์รับจ้าง ส่วนแม่ ทำขนมจีน ขายอยู่ที่บ้าน กับพี่สาว ทำให้ผมคิดอยากหารายได้ช่วยเพราะตอนนั้นผมยังเรียน และคิดเสมอว่าเรานี่ล่ะ ภาระหลักของครอบครัว ในขณะนั้นแม่ผมก็กำลังท้อง จนกระทั่ง แม่ผมคลอดน้องคนเล็ก และมีสมาชิกเพิ่ม ผมยิ่งต้องทำมากขึ้น ช่วงปิดเทอม นอกจากผมจะทำงานพนักงานร้านสะดวกซื้อแล้ว ผมจะเอาเวลาว่างวันหยุดไปรับจ้างตัดหญ้า ตามในหมู่บ้าน เพื่อหาเงินมาจุนเจือที่บ้าน แต่กระนั้นก็เถอะครับ หลังจากเหตุการณ์หนึ่ง พ่อผมก็ไม่ได้ยอมรับผม เป็นคนที่ดีอะไรเลย เพียงเพราะ
ตอง เพื่อนในชั้นเรียนผม ที่เข้ามาตีสนิท ผม ด้วยการขอยืมลิขวิด ลบคำผิดบ้าง และชวนคุย ขณะผมเรียน จนเราสนิทสนมกันจนถึงขั้นไปมาหาสู่ที่บ้านเราสองคนจนเรียกว่า เพื่อนสนิท ได้เลยครับ ตอนนั้น คุณพ่อของผม เริ่มฐานะดีขึ้น มาเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง จนแม่ไม่ต้องขายขนมจีนแล้ว ทุกอย่างปรกติดี จนกระทั่ง......
ตอง ที่เป็นเพื่อนสนิทผม เราสนิทกัน จนความสนิทมันทำให้ความรู้สึกเกินคำว่าเพื่อน ผมและเค้าก็รู้ดี แต่เราเลือกที่จะไม่พูดกัน เราสองคน ใกล้ชิดกัน จนพี่สาวของผม พี่หนิง เห็นถึงความผิดปรกติ และเรียกผมไปไถ่ถาม เรื่องความสัมพันธ์ จนทำให้ผมและพี่มีปากเสียงกัน และเรื่องนี้ก็ไปเข้าหูพ่อผม ครั้งนั้นทำให้ผมและพ่อ ดูห่างไกลกัน และความรู้สึกของพ่อที่มีต่อผม กลับติดลบ แต่พ่อไม่เคยตำหนิหรือว่าอะไรผม มีเพียงการแสดงออก ที่ทำให้ผมรับรู้ได้เพียง ว่า พ่อไม่รักผมเลย จนกระทั่งแม่ผมเสีย ยิ่งทำให้ความเข้าใจผมกับพ่อแย่ลง ด้วยเมื่อก่อนเวลาผมมีปัญหา แม่ผมจะคอยปรับให้ผมและพ่อ กลับมาคุยกันได้เสมอ สิ่งหนึ่งที่ผมนึกถึงคำพูดของแม่ เวลามีปัญหากับพ่อเรื่องความแตกต่างทางเพศของผม แม่ผมจะพูดเสมอ “เอาเถอะ ..ใครจะว่าลูกแม่เป็นอะไร หนูก็คือลูกแม่” มันยิ่งตกย้ำรอยร้าวของผมกับพ่อยิ่งเลวร้ายลง ผมได้ตัดสินใจคุยกับตอง และขอออกห่างจากกัน โดยไม่มีเหตุผล เลิกคุย เลิกสนิท เลิกคบหา เพราะผมไม่สบายใจเรื่องที่ทำให้พ่อ ต้องมองผมไม่ดี ขนาดตัดขาดจากกัน ครั้งนั้น ผมและเค้าเสียใจมาก ... จะด้วยอะไร หรือสถานะไหนก็ตาม เราไม่เคยกำหนด รู้แต่ความรู้สึกดีๆที่มี พังทลายไปหมด หลังจากนั้น ...พ่อผมจะพยายามหา ผู้หญิงมาแนะนำ จนผมรู้สึกอึดอัด เพราะพ่อต้องการให้ผมเป็นผู้ชาย ตอนนั้น ผมจบมัธยมปลายแล้ว ...
ผมได้หนีออกจากบ้าน มาอยู่คนเดียว โดยมีพี่ชายผม พี่หนุ่ม ... ลูกชายของป้า ที่ทำงานอยู่สำนักงานแห่งหนึ่ง ในเขต อโศก .. ผมมาพักที่คอนโดของพี่ชาย และ ทำงานร้านสะดวกซื้อแถวๆนั้น และได้เรียนรามคำแหงไปด้วย ขณะทีผมเรียน ผผมได้รู้จักเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อ กิ๊ฟ
กิ๊ฟเธอชอบผม ทั้งๆที่รู้ว่าผมเป็นเกย์ เราก็ยังสนิทกันเหมือนเพื่อนกันทั่วๆไป แม้ผมจะรู้ว่าเธอชอบผม ผมก็ไม่อยากให้ความหวัง ด้วยการทำตัวเป็นเพื่อนโดยไม่ให้ความหวังใดๆเลย จนกระทั่งวันเกิดของเธอ เราได้มากินเลี้ยง ฉลองที่บ้านของเธอ จนกระทั่งดึก เพื่อนๆก็ทยอยกลับ เพราะบางคนก็เมาหนักและพากันกลับจนหมด กิ๊ฟ เธอขอให้ผม อยู่เป็นเพื่อนเธอ เพราะเธอเมาแล้วชอบร้องไห้ เราก็นั่งคุยกันไปเรื่อยจนกิ๊ฟสารภาพว่า เธอรักผม แม้จะรู้ว่าผมเป็นเกย์ ด้วยความเมา ทำให้เราเผลอมีอะไรกันโดยที่ผมไม่รู้ว่าทำลงไปได้ไง ตอนเช้าที่รู้ผมแทบบ้า ทั้งร้องไห้ ทั้งเสียใจ ที่มีอะไรกับเพื่อนตัวเองที่เราไม่เคยรักแบบชู้สาว จนกระทั่งเธอมาสารภาพกับผม ว่าเธอตั้งใจให้เหตุการณ์มันเกิดขึ้น เพราะ ...เธอกำลังจะถูกบังคับแต่งงานกับผู้ชายมีฐานะแต่อายุเยอะคนหนึ่ง แต่ผู้ชายคนนั้นเป็นหมัน และขอให้เธอตั้งครรภ์ให้ โดยการทำกิ๊ฟกับน้ำเชื้อบริจาค แต่เธอต้องการมีลูกกับคนที่เธอรัก นั่นก็คือผม ผมได้แต่อึ้งและพูดไม่ออก แต่สุดท้ายเราก็กลับมาคุยกันด้วยดี ผมได้รับข้อความในมือถือจากเธอ ว่าเธอท้องแล้วได้3สัปดาห์ และกำลังจะแต่งงาน วันแต่งงานผมได้ไปงานแต่งของเธอและรู้สึกลึกๆ อยากเห็นหน้าลูกของผมในท้องของเธอ เธอสัญญาจะพามาเจอผมหลังจากคลอดแล้ว ...
หลังจากนั้น ผมก็เรียนจบ แล้วเธอก็จบพร้อมกัน เราต่างคนต่างทำงาน ผมก็ทำงานบริษัทแห่งหนึ่งเป็นพนักงานฝ่ายบุคคล พี่ชายก็ทำงานที่เดิม ขณะนั้นผมได้เอาเวลาว่างกลางคืน มาร้องเพลงในร้านอาหาร เพื่อเป็นรายได้เสริม มีหลายๆคนเข้ามาคุยบ้างจีบบ้าง แต่ผมกลับรู้สึกว่า ไม่อยากคบกับใคร เอาจริงๆหลายๆคนที่เข้ามา เรียกว่าสเป็คผมเลยก็ว่าได้ สูง ขาว ตี๋ สเป็คสูงเหลือเกิน ไม่ได้มองตัวเอง แต่ก็นะครับ คนเรา ความชอบมันเลือกไม่ได้ แต่ตอนนั้น มีเข้ามาแบบที่ชอบกี่คนผมก็กลับไม่เลือกคบเพราะ สถานที่ที่ทำงานผม มันไม่เหมาะกับการหาแฟนด้วยมั้งครับ จนกระทั่ง เกิดเหตุการณ์หนึ่ง คือ พี่สาวของพี่ชายผม เค้าได้ฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอ ทำให้ผมและพี่ชายต้องกลับมาร่วมงาน ที่จังหวัดสระบุรี ที่วัด ทองพุ่มพวง ผมกับพี่ชาย ก็ลางานมา และเที่ยวที่นี่ จนทำให้ผมรู้สึกว่า ที่นี่น่าอยู่ พี่ชายผมก็เลยถามเล่นๆ “ว่าหรือว่า เราจะย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ดี” ช่วงนั้นยอมรับว่าผมเบื่อสังคมหลายๆอย่างในกรุงเทพ ฯ จนตัดสินใจลาออกจากงานและย้ายมาอยู่สระบุรี ตอนนั้น ผมมีเวลากับตัวเองมาก เพราะผม ได้ทำงานแบบฟรีแลนซ์เลย คือแบบ ทำงานไรก็ทำไม่สนใจวุติ แค่พออยู่พอกินก็พอ ตอนนั้นผม ก็เลือกทำงานพาร์ทไทม์ร้านสะดวกซื้อ ตลกดีนะครับ จบปริญญาแต่ไม่ทำงานแบบจริงจังกับหน่วยงานใดๆ และพอว่างก็ไปร้องเพลงที่ กทมฯ เหมือนเดิม แปลกดี แต่รู้สึกสบายใจ อยากทำไรก็ทำ จนกระทั่งผมได้กลับไปหาพ่อ ตอนนั้นพ่อก็ค่อนข้าง ไม่พอใจ ที่ผมออกห่างจากครอบครัว ผมเป็นคนอินดี้ ครับ บทจะทำไรก็ทำ จริงๆ ...
ตอนนั้นผมมีปากเสียงกับพ่อ และเลือกเดินหนีออกมาเวลาไม่พอใจ ผมก็ไปหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ผมได้ยินเสียง เพลงงานบวช ดังลั่น และ จู่ๆ ผมก็เดินกลับไปหาพ่อ พ่อไม่พูดจากับผม ....ผมก็เลยเลือกท่จะบอกเค้า “พ่อ..บวชให้ผมหน่อยผมอยากบวช ” สีหน้าพ่อเปลี่ยนไป เป็นนิ่งหันมาสบตาผมสักครู่ ก่อนจะยืนนิ่งหันหลังและเดินเข้าห้องไป (ผมมารู้ทีหลังว่าพ่อเข้าไปร้องไห้ที่ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้..)
ในงานบวชผมเลือกไปบวช วัดวังก้านเหลือง อ.ดงเจริญ จังหวัดพิจิตร ที่ บ้านเกิดของพ่อ ตอนนั้นมีน้องชายชื่อ เก่ง(ลูกของอา บวชร่วมด้วย) ขณะที่ผม เป็นนาค ผมเห็นสีหน้าพ่อยิ้มแย้มดีใจ และมีความสุขมาก เฮฮา แตกต่างจากพ่อคนเดิม ที่เคยถทึงตลอดเวลามีผมอยู่ใกล้ระยะต่ำกว่า 100เมตร ตามประเพณีตอนบวช พ่อจะเป็นคนตัดเล็บมือให้ผม ก่อนปลงผม พ่อเข้ามากอดผมและน้ำตาคลอ พูดกับผมขณะสวมกอดเสียงสั่นเครือ “ พ่อไม่คิด...ว่าจะมีวันนี้ ลูกมาขอบวชเอง พ่อดีใจลูก พ่อดีใจมาก...” ตอนนั้นไม่รู้น้ำตาผมมาจากไหน จากที่จะไม่เคยร้องไห้ให้พ่อเห็น แต่ตอนนั้นน้ำตามันไหลออกมาแบบเหมือนเป็นสายน้ำ ......
หลังจากเสร็จสิ้นงานบวชผมก็พยายามตั้งใจทำตัวดี ให้สมกับที่เป็นภิกษุ ทั้งเทศ สวดมนต์ ร่ำเรียนวิชานักธรรมจนจบชั้นโท ตอนแรกผมตั้งใจจะบวช แค่15วัน แต่มีพระรูปหนึ่ง ชื่อ พระอาจารย์บรรจง(ปัจจุบันท่านยังบวชอยู่ที่วัดดังกล่าวมากกว่า 20พรรษาแล้ว) ท่านได้ถามผมในขณะที่บิณฑบาต ท่านได้เอ่ยถามผม “พระ..ท่านจะบวชนานเท่าไร” ผมก็ไม่ได้จับใจความใดๆนักตอนนั้น “15วันครับ” ผมตอบห้วนๆไป ท่านนิ่ง จนกระทั่งเดินกลับวัด “อีกแค่ไม่กี่วันท่านก็จะสึกแล้วสินะ... โยมแม่ของพระ ตั้งท้องพระมาตั้ง9เดือน น่าลำบากนะ แต่ท่านทนไหว นี่15วันที่ท่านบวช คงไม่ลำบากเท่าไหร่หรอก ท่านว่าเร็วไปไหม” หลวงน้าท่านพูดกึ่งพูดกึ่งขัน แฝงนัย แต่ตอนนั้นผมก็ไม่สนใจนัก จนกระทั่งกลับมานอนที่กุฏิ ก็นึกถึงแต่คำที่หลวงน้าท่านพูดไม่รู้ทำไม จนกระทั่งคิดได้ในหัวเองว่า “ทำไมโยมแม่ท้องตั้ง9เดือนยังทนได้ แล้วเราจะบวชแค่15วันนี้นะ “ จู่ๆผมก็หยิบโทรศัพท์ โทรหาโยมพ่อ และบอกท่านว่าผมจะยังไม่สึก ไม่ขอกำหนด และ จะอยู่จนกว่าจะพอใจ หลังจากน้องชายที่ร่วมบวชนั้นสึกไป ผมก็บวชจนได้ 1ปี กับ 11 เดือน จึงได้สึก
ผมก็ได้กลับมาอยู่สระบุรี กับพี่ชายอีกครั้ง ผมยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม แตกต่างที่ สังคมกว้างขึ้น ผมได้อยู่กับเฟสบุ๊ค ของเล่นใหม่ตอนนั้น ผมก็เล่นไปเรื่อยจนเจอกับ ผู้ชายคนหนึ่งชื่อ ว่า “เต้” เค้าเป็นรุ่นพี่ ของผม3ปีกว่า แต่เค้าดูอบอุ่น และทำให้ผมรู้สึกดีทุกครังที่คุยด้วย จนมีการคุยกันทางโทรศัพท์ ทุกวัน เค้าพยายามนัดเจอ แต่ผมก็เลือกบ่ายเบี่ยงมาตลอด ผมได้เอารูปๆหนึ่งของพี่เต้ ไปให้พี่หนุ่ม พี่ชายของผมดู ก็ว่าผ่าน น่าจะโอเค เราจะเป็นที่ปรึกษากัน เวลาพี่ผมจะคบใครก็จะมาแลกกันสกรีนเสมอ .. จนกระทั่งวันที่ผมได้พบเค้าครั้งแรก เอาจริงๆตอนนั้น ผมกลับรู้สึกเฉยๆในครั้งแรกที่เจอ เพราะเค้าดูตัวเท่าๆผมและดูผอมบางกว่าผมด้วยซ้ำ ดูในรูปที่คุยกัน เข้าใจว่าเค้าตัวสูงใหญ่ (แอบผิดหวังเล็กๆ) แต่ก็ยังคุยต่อ ตอนนั้นตั้งแต่เจอหน้าความรู้สึกผูกพัน มันมากกว่าแล้ว ผมไม่นึกถึงสเปคอะไรแล้ว จนเรียกว่าแฟนเลย เราคบกันจนถึงขั้นมีสัมพันธ์ แล้ว เค้าก็เคยพูดกับผมว่า ...จริงๆผมไม่สเป็คเค้า จริงๆเค้าชอบ คนตัวเล็กกว่า ...ไม่สูงกว่าหรือเท่ากัน นาทีนั้นผมแอบช็อคเล็กๆ ตอนนั้นผมเองพยายามตีตัวออกห่าง ประกอบกับเค้าไม่ออนเฟสบุ๊คและติดต่อมา มันทำให้ผมคิดมาก(มาทราบทีหลังคือเฟสเค้าโดนสแปมและติดต่อผมไม่ได้เพราะผมเปลี่ยนเบอร์หนี ) และปรึกษาพี่หนุ่มมาตลอด จนพี่ผมเห็นท่าไม่ดี เพราะผมเสียใจและคิดมาก จนต้องชวนกันไปจากสระบุรี ไปทำงานที่ กรุงเทพ เหมือนเดิม ..... ระหว่างนั้น ผมได้เจอกับคนที่เป็นเสป็คคนหนึ่ง ชื่อเต้ (อีกแล้ว..) แต่ต่างกันตรงที่ เค้าตรงสเป็คทุกอย่าง ผมเลยตัดสินใจคบกับคนนี้ ระหว่างที่คบกัน ผมไม่เคยลืมพี่เต้คนเดิมเลย ผมคบกับ เต้ คนปัจจุบัน แบบไม่จริงจังมาก แต่สุดท้าย ผมก็มาเจอเค้า ตอนกำลังมีอะไรกับคนอื่นแบบเซอร์ไพรซ์ แต่ไม่เซ็นเซอร์ เค้าตกใจมาก ...พยายามจะแก้ตัว แต่ผมเลือกที่จะไม่คุยอะไรกับเค้าเลย ในระยะเวลา 6เดือนที่คบกัน ก็ทำให้ผมเสียใจจนไม่อยากรักใครอีก มีเพียงพี่หนุ่มที่คอยเป็นเพื่อนปลอบใจ และสุดท้าย ก็เลิกกับเต้ไป ตอนนั้นผมก็เอาแต่ใช้ชีวิตโสด และไปกิน เที่ยว และสนุกสนาน แบบชีวิตโสดกับพี่สองคนและเพื่อนๆที่รู้จัก จนกระทั่งได้กลับมาเที่ยวที่สระบุรีอีกครั้ง ตอนนั้น พี่สาวของพี่หนุ่มอีกคน ชื่อพี่ดาว เปิดร้านอาหารอยู่แถว พุแค สระบุรี “ชื่อร้านใจดาว” เราก็มาพักที่บ้านหลังนี้ จนกระทั่งหางานได้ จร