เมื่อเดือนกุมภาพันธ์เดือนแห่งความรักที่ผ่านมาเรามีโอกาสได้ไปยังตะวันออกกลาง ด้วยว่าอยากลองไปดูอะไรแปลกๆใหม่ๆต่างจากทางยุโรปบ้าง เผอิญรุ่นน้องชื่อน้องหน่อย ทำงานอยู่ที่ดูไบ เลยมีโอกาสได้นัดกันก่อนที่น้องจะกลับมาทำงานต่อที่เมืองไทย แล้วอากาศตอนนั้นก็เย็นสบายน่าเดินเที่ยวเป็นอันมาก เลยเป็นจุดลงตัว แต่ไปแค่ 3 วัน เนื่องจากไม่อยากลางานหลายวัน เก็บเฉพาะที่ๆเราอยากไปจริงๆ
บอกตามตรงว่าหาข้อมูลไปไม่มากนัก เราชอบเที่ยววัดโบสถ์วิหาร สถานที่เก่าแก่ แต่เมือง 2 เมืองนี้ก็มีไม่มากนัก จะมีก็ดูไบบ้าง ส่วนอาบูดาบี เป็นเมืองใหม่ ที่กำลังสร้างจริงๆ แต่ที่มัสยิดใหญ่ หรือ
Grand Mosque นั้นก็ดูสวยงามน่าชม เราก็เลยตัดสินใจทันทีว่าที่นี่คือจุดหมายของเรา นอกนั้นก็ให้น้องหน่อยผุ้มีประสบการณ์ในดูไบมา 2 ปีเป็นผู้พาไป
การเตรียมตัว ก่อนไป ก็คือการแลกเงิน น้องหน่อยบอกว่าเอาเงินยูโรไปแลกได้เพราะมียูโรเยอะไม่ได้แลกเป็นเงินไทย การเอาEuro ไปแลก AED หรือแฮ่ม ก็ดูว่าจะเรทใช้ได้กว่าเอาเงินไทยไปแลกทีเดียว นอกจากนั้นก็มีตัวแปลงปลั๊กไฟ ซึ่งถ้าใครมีแบบนี้ที่ใช้ทั่วโลกก็นำไปใช้ได้ค่ะ แบบที่ใช้ที่ UAE โดยเฉพาะไปหาซื้อที่พันทิพย์ได้ ราคา 80 บาท เราซื้อมา 1 อันเพราะแบบทั่วโลกนั้นไม่ว่าง ฝรั่งที่บ้านใช้อยู่ .... แต่น้องหน่อยน้องสาวผุ้น่ารักก็มีให้ยืมอีกนั่นแหละ นี่ละไปแบบสบายๆมีคนรู้จักก็ดีไปอีกแบบไม่ต้องไปสู้กับแขกมาก แม้ว่าจะเป็นประสบการณ์ แต่แบบสบายก็ดีนะ
อ้อ อีกอย่างคือควรเตรียมเสื้อผ้าหน้าผม เอ๊ย!! การแต่งตัวให้พร้อม ใครอยากจะใส่เปิดขาเปิดแขนก็คงจะได้เพราะเห็นฝรั่งบางคนใส่กัน แต่เราถือกฎของตัวเราเองเสมอว่า เคารพสถานที่ๆเราไป ดังนั้นการเตรียมผ้าโพกผม ผ้าคลุมศีรษะ เสื้อแขนยาวปิดข้อมือ กางเกงขายาวเข้าชุดของเราจึงเป็นเรื่องสนุกสนาน และไม่มีใครในเมืองแขกมามองเราด้วยสายตาแปลกแยกด้วย กลมกลืนกับเคารพวัฒนธรรมเขาไปในตัว ไม่ได้ยากเย็นอะไรค่ะ
เราบินด้วยสายการบินเอทิฮัท จึงต้องไปลงที่อาบู ที่จริงก็ผ่านมาที่นี่บ่อยแต่ไม่ได้แวะเที่ยวสักที คราวนี้ได้แวะเมืองแขกสักครั้ง บินไม่นาน 5 – 6 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว วันแรกที่ไปถึงก็เข้าผ่านด่าน ตม.รอแถวเล็กน้อยเพราะต้องมีการสแกนม่านตาด้วย จากนั้นพอเดินออกมาก็เจอน้องหน่อยและน้องโอ๋มารับถึงสนามบิน ไม่ต้องเผชิญกับแท็กซี่ที่นี่ ได้ข่าวจากเพื่อนที่เคยมาว่าหลอกพาวนไปมาเก่งนัก พอน้องหน่อยรับขึ้นรถปุ๊บ ก็ดิ่งไปดูไบกันเลย น้องหน่อยอุตสาห์ลางานแถมแบ่งห้องให้นอนสบายไป ไม่ต้องไปร่อนเร่หาโรงแรมอีก ทางจากอาบูไปดูไบก็ขับรถประมาณ 1 ชั่วโมงครี่งขับแบบสบายๆ รถน้องหน่อยและเป็นสารถีให้ด้วย ขับพวงมาลัยขวาได้คล่องแคล่ว น้องโอ๋เป็นนาวิเกเตอร์อีกคน บรรยาการข้างทางก็แห้งแล้งเป็นทะเลทรายนั่นละค่ะ มีบ้านทรงเหลี่ยมๆแบบตามทะเลทรายเป็นระยะๆ แถมด้วยรูปเหล่าเชคองค์ต่างๆให้ดูเพลินๆระหว่างทาง
วันนั้นพอถึงดูไบน้องหน่อยต้องแวะไปเอาซิมการ์ดกล้องที่ทำงานก่อน อยุ่แถวๆ
business bay มีตึกรามสูงๆเป็นออฟฟิศให้เช่า เหมือนในมหานครใหญ่ๆทั่วไป แต่เป็นมหานครใหม่ที่กำลังเติบโต มีไซท์ก่อสร้างมากมาย แต่ที่สำคัญเราจะกินอาหารกันที่ร้านอินเดียแถวๆนี้กันค่ะ เพราะท้องร้องแล้ว
อาหารอินเดียร้านที่น้องหน่อยและน้องโอ๋พาไปกิน อร่อยมาก รสชาติเข้มข้นถึงเครื่องแกง มีสลัดผัก จิ้มซอสโยเกิตกระเทียม หอมกระเทียมมากๆ นาน แป้งทอดและอบของอินเดีย มีทั้ง 2 แบบเลย ข้าวบัสมาติผัดเครื่องแกงและปลา ข้าวผัดเครื่องแกงและไก่ แกงปลา แกงไก่ โอ้ยน้องหน่อยน้องโอ๋เลี้ยงดีมาก
อิ่มเอม เสร็จแล้วน้องๆก็พาไปขับรถเล่นแถว
โรงแรมต้นปาล์ม ไปดูบรรยากาศโรงแรมแขกกัน เราไม่เห็นหรอกต้นปาล์มนั่น เพราะเราอยู่ในต้นปาล์มตอนขับรถ เคยเห็นภาพทางอากาศแล้ว วิวแถวๆนั้นทำเหมือนกับ
Beverly hill ที่แคลิฟอเนียในอเมริกาเลย เราเลยไปยืนถ่ายรูปเล่นทำท่าแบบเซเลปซะ แต่ที่จอดรถริมถนนหายากนะ ต้องวนๆหาเอา เริ่มเห็นความแปลกของเมืองแขกแล้ว
จากนี้ก็บ่ายแก่แล้ว น้องๆรีบบึ่งรถพาเราไปดูพระอาทิตย์ตกที่ตึกเรือใบอันมีชื่อเสียง
Burj Al Arab บรรยากาศดีเลยทีเดียว เราชอบ ชายทะเลมีนกนางนวลบิน หนุ่มสาว ครอบครัวนั่งเล่นกันเพลินๆ สบายใจดี ได้วิ่งเล่นถ่ายรูปกันกับน้องๆช่วงพระอาทิตย์ตก เป้นความรู้สึกที่ประทับใจมาก ชมภาพกันค่ะ
พอเริ่มมืดเราก็ไปตามแผนของน้องหน่อยและน้องโอ๋จัดให้ คือไปดูน้ำพุและแสงสีเสียงที่ตึกที่สูงที่สุดในโลก Burj Khalifa เราไม่ได้ขึ้นไปที่ตึกนี่หรอก เพราะพอไปถึงก็ไปแลกเงิน เสร็จเดิน Dubai Mall สักพัก ก็ได้เวลาแสดงน้ำพุพอดี ก็นะ คล้ายๆกับที่ Bellagio Las Vegas นั่นแหละ อีกอย่างที่แขกได้แรงบันดาลใจและทำได้เหมือน ที่ตึกมีการแสดงไฟเคลื่อนไหวเปลี่ยนรูปเปลี่ยนสีต่างๆไปตามจังหวะเพลง ก็สวยดี คนมาจากไหนกันก็ไม่รู้ตอนนั้น โดนล้อมไว้ด้วยผู้คนมหาศาล
หลังจากจบแสดงน้ำพุ คนก็แตกตัวกันไปช้อปต่อ พวกเราเดินเล่นชมมอล กินไอศครีมกันสักพัก ก็ไปตามไกด์ประจำเมืองต่อ น้องหน่อยแนะนำให้ไปงาน Global Village เป็นงานแฟร์ใหญ่ของที่นี่ เปิดกันถาวร 6 เดือนต่อปี งานใหญ่มากมีทุกประเทศจากทั่วโลกไปออกบูธ คุ้มจริงๆ ได้ช้อปของท้องถิ่น ราคาก็ไม่แพงนะ ลูกฟิกจากตุรกีมีลดแลกแจกแถม เชบัตเทอร์จากแอฟริกา อธิบายไม่หมด ดูจากภาพเอาค่ะ สนุกสนานเปิดหูเปิดตากันตามระเบียบแม้ว่าเราก็เริ่มง่วงละเพราะตอนนี้ที่เมืองไทยน่าจะเลยเที่ยงคืนไปนานละ จบทริปวันนี้ที่นี่แล้วกลับไปนอนที่ห้องพักน้องหน่อยผู้มีอุปการะคุณ คือเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างครบถ้วนไม่มีขาดเลยสักอย่างเดียว
วันที่ 2 ตื่นมาด้วยความสดชื่นเพราะหลับสนิทมากๆ อาบน้ำสระผมแล้วไปหาเบเกอรี่อร่อยๆ ออกจากที่พักขับรถไปสักพัก มีร้านเบเกอรี่น่ากินและราคาน่ารักมาก ถูกกว่าเมืองไทยอีกกกก ดีจังค่ะเลยซื้อมาเป็นสเบียงตุนไว้ในรถ และทานกันตอนเช้าในรถนั่นเอง ขณะที่น้องหน่อยขับรถพาเราเที่ยวต่ออีกวัน ระหว่างทางก็ได้เห็นบรรยากาศเมืองดูไบในวันทำงาน ได้เห็นตึกสูงๆของเมืองที่ใหม่ที่เขาตั้งใจให้เป็นมหานครหนึ่งในโลกนี้ ก็เป็นเรื่องดีค่ะ และด้วยว่าเราเรียนศิลปะ และศึกษางานสถาปัตยกรรมมาได้ระยะหนึ่ง เราเลยเห็นตึกที่แขกได้แรงบันดาลใจมาจากมหานครใหญ่ๆ เช่นตึก
Chrysler ตึก
Empire state และอีกหลายตึกแถวๆ Chicago ขณะนั่งรถผ่านเรานึกจินตนาการไปว่าได้กลับไปNYC อีกครั้ง แต่ยังไงก็เถอะเขาก็มีสิทธ์ทำได้ เรื่องของแขกเขา แค่ Chrysler จริงสวยกว่านะ และแขกก็มีลักษณะสถาปัตยกรรมสวยๆมากมาย เช่นที่อิหร่าน แต่เขาไม่ทำเอง เขาคงอยากจะทันสมัยเทียบเคียงเมืองใหญ่ในอเมริกามากกว่า เป็นความในใจที่เราก็ไม่ทราบได้
พูดเรื่องตึกเสร็จเราก็ได้ความแปลกในประสบการณ์อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่ได้มาคงจะไม่เห็น เอาละเราไปหาที่เก่าๆเที่ยวเล่นดีกว่า ต้องที่นี่เลย
Dubai Gold Market หรือเรียกว่า
Gold Souk นั่นเองค่ะ แถวๆนี้คือ
Daira เป็นถิ่นตลาดเก่าแก่ของดูไบ อย่าได้พลาดเลยนะ ที่นี่มีสเน่ห์มากๆ ตั้งแต่การนั่งเรือข้ามฟากมาจากที่จอดรถแล้ว ได้เห็นวิถีคนบ้านๆที่ไม่ได้ขับเฟอรารี่ ลัมเบอร์กินี่ คนชั้นแรงงานที่นั่งเรือเล็กๆเก่าๆข้ามฟากมาทำงาน คลองดูไบนี่น้ำใสเชียวเป็นสีเทอร์คอยซ์เลยนะ สวยกว่าเวนิสอีก บางคนเรียกที่นี่ว่าเวนิสดูไบค่ะ
พอขึ้นจากเรือก็เดินเข้าตลาดกันเลย ตลาดเก่าโครงสร้างยังเป็นไม้อยู่เลย โอ้ยน่าเดินมากอย่างกับพาหุรัดบ้านเราแต่กว้าง สะอาดและมีหลายสิ่งกว่า พวกแขกขายของหน้าร้านก็สาระแนเชิญชวนให้เราเข้าร้าน เราก็เข้าบ้างบางร้านที่อยากซื้อจริงๆเพราะถ้าเข้าไปแล้วต้องอ่อนใจซื้อแน่นอน ดูจากภาพนะคะ ของหลากหลายจริงๆ เราซื้อชาหลากหลาย ฃากุหลาบ ชาผลไม้ของโปรดเลย ถั่วต่างๆอีกก็น่ากิน และพวกผ้าส่าหรีผ้าโพกต่างๆก็น่าซื้อ เครื่องทองเหลืองมากมาย แต่ราคานี่ต้องต่อกันนะคะต่อลงสักครึ่งนึงให้สนุกสนาน ร้านไหนต่อได้ก็เอา ร้านไหนต่อไม่ได้ก็เดินหนี ทำท่าว่าไม่เห็นอยากได้เลยแล้วแขกก็จะเดินมาง้อและลดราคาให้ในแบบที่เขาให้ได้ ก็พอใจทั้ง 2 ฝ่ายละ
เดินมาถึงตลาดทองร้านทองอยู่กันคับคั่ง ทองเว่อวังอลังการมาก ดูจากภาพกันเอาเองนะคะ อธิบายไม่หมด ทองของที่นี่มีเอกลักษณ์ในลวดลายของงานที่ไม่เหมือนใคร เรามาแต่เช้าบางร้านยังไม่เปิดดี ก็มีคนออแน่นหน้าร้านเพื่อรอเข้าไปซื้อ เราก็โอ้โห .... ขนาดนั้นเลยเหรอ เราชอบงานฝีมือทองเค้านะอลังการงานสร้างดี แต่ให้ซื้อใส่คงไม่ไหว ได้เดินดูหน้าร้านทุกร้านก็เพียงพอแก่ใจแล้ว ชมภาพต่อเนื่องกันไปค่ะ
เสร็จจากชมทอง ก็ได้เวลาช้อปปิ้งของโปรดกันอีก ช้อกโกแลต และ ที่เราสะสมคือแม่เหล็กติดตู้เย็นที่เป็นชื่อเมือง ได้ DUBAI กับ ABU DHABI มา ลูกฟิกได้มาจากงานเมื่อคืนแล้วเลยไม่ต้องซื้ออีก สาวๆที่ไปก็ดูผ้า เสื้อแขกกัน แต่เราขี้เกียจต่อราคา เลยไม่ซื้อ หลังจากนั้นก็นั่งเรือข้ามฟากกลับ ชอบมากการนั่งเรือในบรรยากาศสบายๆแบบนี้ เสียดายระยะทางสั้นไปหน่อย ไม่ยาวเหมือนที่เวนิส แต่เรือที่นี่ชนะขาดเวนิสนะคะ เพราะเปิดโล่ง นั่งชมวิวทิวทัศน์ ท้องน้ำสบายกว่าเยอะค่ะ
[CR] เปิดโลกกว้าง กับ 3 วันในเมืองแปลก Dubai & Abudhabi
บอกตามตรงว่าหาข้อมูลไปไม่มากนัก เราชอบเที่ยววัดโบสถ์วิหาร สถานที่เก่าแก่ แต่เมือง 2 เมืองนี้ก็มีไม่มากนัก จะมีก็ดูไบบ้าง ส่วนอาบูดาบี เป็นเมืองใหม่ ที่กำลังสร้างจริงๆ แต่ที่มัสยิดใหญ่ หรือ Grand Mosque นั้นก็ดูสวยงามน่าชม เราก็เลยตัดสินใจทันทีว่าที่นี่คือจุดหมายของเรา นอกนั้นก็ให้น้องหน่อยผุ้มีประสบการณ์ในดูไบมา 2 ปีเป็นผู้พาไป
การเตรียมตัว ก่อนไป ก็คือการแลกเงิน น้องหน่อยบอกว่าเอาเงินยูโรไปแลกได้เพราะมียูโรเยอะไม่ได้แลกเป็นเงินไทย การเอาEuro ไปแลก AED หรือแฮ่ม ก็ดูว่าจะเรทใช้ได้กว่าเอาเงินไทยไปแลกทีเดียว นอกจากนั้นก็มีตัวแปลงปลั๊กไฟ ซึ่งถ้าใครมีแบบนี้ที่ใช้ทั่วโลกก็นำไปใช้ได้ค่ะ แบบที่ใช้ที่ UAE โดยเฉพาะไปหาซื้อที่พันทิพย์ได้ ราคา 80 บาท เราซื้อมา 1 อันเพราะแบบทั่วโลกนั้นไม่ว่าง ฝรั่งที่บ้านใช้อยู่ .... แต่น้องหน่อยน้องสาวผุ้น่ารักก็มีให้ยืมอีกนั่นแหละ นี่ละไปแบบสบายๆมีคนรู้จักก็ดีไปอีกแบบไม่ต้องไปสู้กับแขกมาก แม้ว่าจะเป็นประสบการณ์ แต่แบบสบายก็ดีนะ
อ้อ อีกอย่างคือควรเตรียมเสื้อผ้าหน้าผม เอ๊ย!! การแต่งตัวให้พร้อม ใครอยากจะใส่เปิดขาเปิดแขนก็คงจะได้เพราะเห็นฝรั่งบางคนใส่กัน แต่เราถือกฎของตัวเราเองเสมอว่า เคารพสถานที่ๆเราไป ดังนั้นการเตรียมผ้าโพกผม ผ้าคลุมศีรษะ เสื้อแขนยาวปิดข้อมือ กางเกงขายาวเข้าชุดของเราจึงเป็นเรื่องสนุกสนาน และไม่มีใครในเมืองแขกมามองเราด้วยสายตาแปลกแยกด้วย กลมกลืนกับเคารพวัฒนธรรมเขาไปในตัว ไม่ได้ยากเย็นอะไรค่ะ
เราบินด้วยสายการบินเอทิฮัท จึงต้องไปลงที่อาบู ที่จริงก็ผ่านมาที่นี่บ่อยแต่ไม่ได้แวะเที่ยวสักที คราวนี้ได้แวะเมืองแขกสักครั้ง บินไม่นาน 5 – 6 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว วันแรกที่ไปถึงก็เข้าผ่านด่าน ตม.รอแถวเล็กน้อยเพราะต้องมีการสแกนม่านตาด้วย จากนั้นพอเดินออกมาก็เจอน้องหน่อยและน้องโอ๋มารับถึงสนามบิน ไม่ต้องเผชิญกับแท็กซี่ที่นี่ ได้ข่าวจากเพื่อนที่เคยมาว่าหลอกพาวนไปมาเก่งนัก พอน้องหน่อยรับขึ้นรถปุ๊บ ก็ดิ่งไปดูไบกันเลย น้องหน่อยอุตสาห์ลางานแถมแบ่งห้องให้นอนสบายไป ไม่ต้องไปร่อนเร่หาโรงแรมอีก ทางจากอาบูไปดูไบก็ขับรถประมาณ 1 ชั่วโมงครี่งขับแบบสบายๆ รถน้องหน่อยและเป็นสารถีให้ด้วย ขับพวงมาลัยขวาได้คล่องแคล่ว น้องโอ๋เป็นนาวิเกเตอร์อีกคน บรรยาการข้างทางก็แห้งแล้งเป็นทะเลทรายนั่นละค่ะ มีบ้านทรงเหลี่ยมๆแบบตามทะเลทรายเป็นระยะๆ แถมด้วยรูปเหล่าเชคองค์ต่างๆให้ดูเพลินๆระหว่างทาง
วันนั้นพอถึงดูไบน้องหน่อยต้องแวะไปเอาซิมการ์ดกล้องที่ทำงานก่อน อยุ่แถวๆ business bay มีตึกรามสูงๆเป็นออฟฟิศให้เช่า เหมือนในมหานครใหญ่ๆทั่วไป แต่เป็นมหานครใหม่ที่กำลังเติบโต มีไซท์ก่อสร้างมากมาย แต่ที่สำคัญเราจะกินอาหารกันที่ร้านอินเดียแถวๆนี้กันค่ะ เพราะท้องร้องแล้ว
อาหารอินเดียร้านที่น้องหน่อยและน้องโอ๋พาไปกิน อร่อยมาก รสชาติเข้มข้นถึงเครื่องแกง มีสลัดผัก จิ้มซอสโยเกิตกระเทียม หอมกระเทียมมากๆ นาน แป้งทอดและอบของอินเดีย มีทั้ง 2 แบบเลย ข้าวบัสมาติผัดเครื่องแกงและปลา ข้าวผัดเครื่องแกงและไก่ แกงปลา แกงไก่ โอ้ยน้องหน่อยน้องโอ๋เลี้ยงดีมาก
อิ่มเอม เสร็จแล้วน้องๆก็พาไปขับรถเล่นแถวโรงแรมต้นปาล์ม ไปดูบรรยากาศโรงแรมแขกกัน เราไม่เห็นหรอกต้นปาล์มนั่น เพราะเราอยู่ในต้นปาล์มตอนขับรถ เคยเห็นภาพทางอากาศแล้ว วิวแถวๆนั้นทำเหมือนกับ Beverly hill ที่แคลิฟอเนียในอเมริกาเลย เราเลยไปยืนถ่ายรูปเล่นทำท่าแบบเซเลปซะ แต่ที่จอดรถริมถนนหายากนะ ต้องวนๆหาเอา เริ่มเห็นความแปลกของเมืองแขกแล้ว
จากนี้ก็บ่ายแก่แล้ว น้องๆรีบบึ่งรถพาเราไปดูพระอาทิตย์ตกที่ตึกเรือใบอันมีชื่อเสียง Burj Al Arab บรรยากาศดีเลยทีเดียว เราชอบ ชายทะเลมีนกนางนวลบิน หนุ่มสาว ครอบครัวนั่งเล่นกันเพลินๆ สบายใจดี ได้วิ่งเล่นถ่ายรูปกันกับน้องๆช่วงพระอาทิตย์ตก เป้นความรู้สึกที่ประทับใจมาก ชมภาพกันค่ะ
พอเริ่มมืดเราก็ไปตามแผนของน้องหน่อยและน้องโอ๋จัดให้ คือไปดูน้ำพุและแสงสีเสียงที่ตึกที่สูงที่สุดในโลก Burj Khalifa เราไม่ได้ขึ้นไปที่ตึกนี่หรอก เพราะพอไปถึงก็ไปแลกเงิน เสร็จเดิน Dubai Mall สักพัก ก็ได้เวลาแสดงน้ำพุพอดี ก็นะ คล้ายๆกับที่ Bellagio Las Vegas นั่นแหละ อีกอย่างที่แขกได้แรงบันดาลใจและทำได้เหมือน ที่ตึกมีการแสดงไฟเคลื่อนไหวเปลี่ยนรูปเปลี่ยนสีต่างๆไปตามจังหวะเพลง ก็สวยดี คนมาจากไหนกันก็ไม่รู้ตอนนั้น โดนล้อมไว้ด้วยผู้คนมหาศาล
หลังจากจบแสดงน้ำพุ คนก็แตกตัวกันไปช้อปต่อ พวกเราเดินเล่นชมมอล กินไอศครีมกันสักพัก ก็ไปตามไกด์ประจำเมืองต่อ น้องหน่อยแนะนำให้ไปงาน Global Village เป็นงานแฟร์ใหญ่ของที่นี่ เปิดกันถาวร 6 เดือนต่อปี งานใหญ่มากมีทุกประเทศจากทั่วโลกไปออกบูธ คุ้มจริงๆ ได้ช้อปของท้องถิ่น ราคาก็ไม่แพงนะ ลูกฟิกจากตุรกีมีลดแลกแจกแถม เชบัตเทอร์จากแอฟริกา อธิบายไม่หมด ดูจากภาพเอาค่ะ สนุกสนานเปิดหูเปิดตากันตามระเบียบแม้ว่าเราก็เริ่มง่วงละเพราะตอนนี้ที่เมืองไทยน่าจะเลยเที่ยงคืนไปนานละ จบทริปวันนี้ที่นี่แล้วกลับไปนอนที่ห้องพักน้องหน่อยผู้มีอุปการะคุณ คือเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างครบถ้วนไม่มีขาดเลยสักอย่างเดียว
วันที่ 2 ตื่นมาด้วยความสดชื่นเพราะหลับสนิทมากๆ อาบน้ำสระผมแล้วไปหาเบเกอรี่อร่อยๆ ออกจากที่พักขับรถไปสักพัก มีร้านเบเกอรี่น่ากินและราคาน่ารักมาก ถูกกว่าเมืองไทยอีกกกก ดีจังค่ะเลยซื้อมาเป็นสเบียงตุนไว้ในรถ และทานกันตอนเช้าในรถนั่นเอง ขณะที่น้องหน่อยขับรถพาเราเที่ยวต่ออีกวัน ระหว่างทางก็ได้เห็นบรรยากาศเมืองดูไบในวันทำงาน ได้เห็นตึกสูงๆของเมืองที่ใหม่ที่เขาตั้งใจให้เป็นมหานครหนึ่งในโลกนี้ ก็เป็นเรื่องดีค่ะ และด้วยว่าเราเรียนศิลปะ และศึกษางานสถาปัตยกรรมมาได้ระยะหนึ่ง เราเลยเห็นตึกที่แขกได้แรงบันดาลใจมาจากมหานครใหญ่ๆ เช่นตึก Chrysler ตึก Empire state และอีกหลายตึกแถวๆ Chicago ขณะนั่งรถผ่านเรานึกจินตนาการไปว่าได้กลับไปNYC อีกครั้ง แต่ยังไงก็เถอะเขาก็มีสิทธ์ทำได้ เรื่องของแขกเขา แค่ Chrysler จริงสวยกว่านะ และแขกก็มีลักษณะสถาปัตยกรรมสวยๆมากมาย เช่นที่อิหร่าน แต่เขาไม่ทำเอง เขาคงอยากจะทันสมัยเทียบเคียงเมืองใหญ่ในอเมริกามากกว่า เป็นความในใจที่เราก็ไม่ทราบได้
พูดเรื่องตึกเสร็จเราก็ได้ความแปลกในประสบการณ์อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่ได้มาคงจะไม่เห็น เอาละเราไปหาที่เก่าๆเที่ยวเล่นดีกว่า ต้องที่นี่เลย Dubai Gold Market หรือเรียกว่า Gold Souk นั่นเองค่ะ แถวๆนี้คือ Daira เป็นถิ่นตลาดเก่าแก่ของดูไบ อย่าได้พลาดเลยนะ ที่นี่มีสเน่ห์มากๆ ตั้งแต่การนั่งเรือข้ามฟากมาจากที่จอดรถแล้ว ได้เห็นวิถีคนบ้านๆที่ไม่ได้ขับเฟอรารี่ ลัมเบอร์กินี่ คนชั้นแรงงานที่นั่งเรือเล็กๆเก่าๆข้ามฟากมาทำงาน คลองดูไบนี่น้ำใสเชียวเป็นสีเทอร์คอยซ์เลยนะ สวยกว่าเวนิสอีก บางคนเรียกที่นี่ว่าเวนิสดูไบค่ะ
พอขึ้นจากเรือก็เดินเข้าตลาดกันเลย ตลาดเก่าโครงสร้างยังเป็นไม้อยู่เลย โอ้ยน่าเดินมากอย่างกับพาหุรัดบ้านเราแต่กว้าง สะอาดและมีหลายสิ่งกว่า พวกแขกขายของหน้าร้านก็สาระแนเชิญชวนให้เราเข้าร้าน เราก็เข้าบ้างบางร้านที่อยากซื้อจริงๆเพราะถ้าเข้าไปแล้วต้องอ่อนใจซื้อแน่นอน ดูจากภาพนะคะ ของหลากหลายจริงๆ เราซื้อชาหลากหลาย ฃากุหลาบ ชาผลไม้ของโปรดเลย ถั่วต่างๆอีกก็น่ากิน และพวกผ้าส่าหรีผ้าโพกต่างๆก็น่าซื้อ เครื่องทองเหลืองมากมาย แต่ราคานี่ต้องต่อกันนะคะต่อลงสักครึ่งนึงให้สนุกสนาน ร้านไหนต่อได้ก็เอา ร้านไหนต่อไม่ได้ก็เดินหนี ทำท่าว่าไม่เห็นอยากได้เลยแล้วแขกก็จะเดินมาง้อและลดราคาให้ในแบบที่เขาให้ได้ ก็พอใจทั้ง 2 ฝ่ายละ
เดินมาถึงตลาดทองร้านทองอยู่กันคับคั่ง ทองเว่อวังอลังการมาก ดูจากภาพกันเอาเองนะคะ อธิบายไม่หมด ทองของที่นี่มีเอกลักษณ์ในลวดลายของงานที่ไม่เหมือนใคร เรามาแต่เช้าบางร้านยังไม่เปิดดี ก็มีคนออแน่นหน้าร้านเพื่อรอเข้าไปซื้อ เราก็โอ้โห .... ขนาดนั้นเลยเหรอ เราชอบงานฝีมือทองเค้านะอลังการงานสร้างดี แต่ให้ซื้อใส่คงไม่ไหว ได้เดินดูหน้าร้านทุกร้านก็เพียงพอแก่ใจแล้ว ชมภาพต่อเนื่องกันไปค่ะ
เสร็จจากชมทอง ก็ได้เวลาช้อปปิ้งของโปรดกันอีก ช้อกโกแลต และ ที่เราสะสมคือแม่เหล็กติดตู้เย็นที่เป็นชื่อเมือง ได้ DUBAI กับ ABU DHABI มา ลูกฟิกได้มาจากงานเมื่อคืนแล้วเลยไม่ต้องซื้ออีก สาวๆที่ไปก็ดูผ้า เสื้อแขกกัน แต่เราขี้เกียจต่อราคา เลยไม่ซื้อ หลังจากนั้นก็นั่งเรือข้ามฟากกลับ ชอบมากการนั่งเรือในบรรยากาศสบายๆแบบนี้ เสียดายระยะทางสั้นไปหน่อย ไม่ยาวเหมือนที่เวนิส แต่เรือที่นี่ชนะขาดเวนิสนะคะ เพราะเปิดโล่ง นั่งชมวิวทิวทัศน์ ท้องน้ำสบายกว่าเยอะค่ะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น