ในอดีตสมัยพุทธกาลนั้น มีเรื่องเกี่ยวกับนางกิสาโคตมี ที่พระพุทธเจ้าแสดงการทำ counselling จนปมของนางกิสาโคตมี สามารถคายออกได้ แต่สมัยนั้นคงไม่มีใครพูดว่าเป็นโรคซึมเศร้าและก็จิตแพทย์ก็คงไม่มีโอกาสไปทำ assessment ดูว่าเป็นหรือป่าว แต่เอาเป็นว่าผมขอไม่ฟันธงว่านางกีสาโคตมี เป็นโรคซึมเศร้าหรือป่าวเพราะข้อมูลไม่ได้บอกแบบตรงๆ แต่ที่แน่ๆนางกีสานั้นทุกข์มากเพราะลูกตาย และคงใช้สมองมากโดยใช้เวลาคิดเรื่องเครียดหรือกลัวยาวนานเกินไป/1วัน(หลั่งอะดรีนาลีนมากเกินไป) อ้างอิงจาก
http://pantip.com/topic/35507807
จริงๆก็ไม่รู้ว่าเกิน 1 วันหรือป่าวก่อนที่นางกีสาจะมาเจอพระพุทธเจ้า แต่เอาว่านางออกเดินทางไปหาคนช่วยเหลือมาหลายคนก่อนหน้านี้และคิดว่าน่าจะเดินทางเกิน 1 วันซึ่งคนที่ลูกตายนั้นคงคิดวนอยู่ถึงความทุกข์นี้นานตลอด
ดังนั้นก็พอสรุปได้ว่านางกีสาน่าจะใช้สมองส่วนลิมบิกหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนมากผิดกว่าคนทั่วไป ขอจบ introduction ไว้ตรงนี้และผมจะต่อไปถึง องค์ความรู้ของพุทธศาสนาที่มาใช้ในการหลังสารเคมีต่างๆในสมองว่าทำงานอย่างไร
*สามารถอ่านเรื่องราวของนางกิสาโคตมี ได้ที่ link นี้
http://goo.gl/zQ4uJD
จาก Introduction ด้านบนของเรื่องนางกีสานั้น ผมจะใช้ framework ของปฏิจจสมุปบาท รวมกับขันธ์ 5 และอริยสัจ 4 ในการอธิบายกระบวนการเกิดทุกข์และนี่แหละเป็นตัวที่ทำให้ สมองส่วนลิมบิกหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนมากและระบบร่างกายก็จะอยู่ในระบบซิมพาเธติก
http://goo.gl/XXjSck
อันที่จริงแล้วนักวิทยาศาสตร์นั้นไปศึกษาข้ามกระบวนการของการหลั่งเคมีในสมองไป 1 step คือไปมองที่สมองหลั่งสารเคมีเลย เลยข้ามการมองกระบวนการก่อนที่สมองจะหลั่งสารเคมีนั้นก็คือ การเกิดผัสสะ การใช้สัญญา(ความสามารถในการระลึก หรือจำได้ และหมายรู้เอาไว้ ทั้งๆที่เรื่องราวผ่านมาแล้ว) และ สังขาร(คิดปรุงแต่ง โน้มเอียงไปตามเจตนา หรือความอยากให้เป็นโดยไม่สนใจความจริง) จริงๆถ้าผมลากยาวละก็ต้องไปพูดกันตั้งแต่มิฉาทิฐิ หรือาสาวะกันเลยทีเดียวเอาเป็นว่าผมไม่ลากยาวแล้วกัน
**ผมพยามใช้ศัพท์บาลีเดิมแล้วขยายด้วยภาษาไทยนะครับ
ตัวแก่นแท้ของพุทธศาสนาจริงๆแล้วพูดไว้ชัดเจนเรื่อง เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี และเพราะสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้ก็ไม่มี ดังนั้นทุกอย่างเป็นเหตุปัจจัยหมด จะละเลยเหตุปัจจัยอื่นๆไม่ได้ถ้าเราจะมาหาสาเหตุกัน กล่าวคือ ที่เกิดสารเคมีในสมองหลั่งอันนั้นอันนี้มากเกินไป สมองส่วนลิมบิกเบรน (Limbic brain) หรือจะเป็น สมองส่วนหน้า(Frontal Lobe) หรือจะเป็น สมองส่วนหลัง (hindbrain) ต่างมีเหตุปัจจัยในการทำงานอยู่ถ้าเรารู้กฏของธรรมชาติในการทำงาน เราก็สามารถเล่นกับระบบความจริงนี้ที่เกิดขึ้นนี้ได้
ผมเริ่มเลยว่าสมองส่วนต่างๆนั้นจะทำงานก็เพราะผ่าน sensor ที่เรามีทั้งหมดในทางพุทธศาสนานั้นพูดเรื่องผัสสะหรือ contact , sense-impressionไว้ทั้งหมด 6 ช่องทาง
1. จักขุสัมผัส (ความกระทบทางตา คือ ตา + รูป + จักขุวิญญาณ —eye-contact)
2. โสตสัมผัส (ความกระทบทางหู คือ หู + เสียง + โสตวิญญาณ — ear-contact)
3. ฆานสัมผัส (ความกระทบทางจมูก คือ จมูก + กลิ่น + ฆานวิญญาณ — nosecontact)
4. ชิวหาสัมผัส (ความกระทบทางลิ้น คือ ลิ้น + รส + ชิวหาวิญญาณ — tonguecontact)
5. กายสัมผัส (ความกระทบทางกาย คือ กาย + โผฏฐัพพะ + กายวิญญาณ — body-contact)
6. มโนสัมผัส (ความกระทบทางใจ คือ ใจ + ธรรมารมณ์ + มโนวิญญาณ — mind-contact)
อ้างอิงจาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม Dictionary of Buddhism พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
*วิญญาณ ในที่นี้คือตัวรู้ ไม่ได้หมายถึงผีหรือวิญญาณแบบที่ภาษาไทยหมายถึง
ดังนั้นต้องรู้ก่อนว่าก่อนจะไปถึงสมองนั้นหลั่งสารเคมีต่างๆหรือสมองส่วนไหนทำงานก็มีปัจจัยเริ่มต้นดังนี้
สาเหตุก่อนไปถึงสมองเริ่มทำงานนั้นตัวที่ทำให้เป็นโรคซึมเศร้าจากความเข้าใจของผมนั้นมาจาก มโนสัมผัสเป็นส่วนใหญ่ แต่จริงๆแล้วก็ประกอบด้วยผัสสะทั้ง 6 เลยทีเดียว คราวนี้ไม่ว่าเกิดผัสสะทางไหน นี้ตอนแรกเกิดมันก็เกิดความรู้สึก
โดยความรู้สึกนี่แหละจะเป็นตัวเริ่มสร้างปัญหา
และถ้าจับกันดีๆๆความรู้สึกนี้มันซ้อนกันหลายรอบเรามาดูกันช้าๆโดยแยกกระบวนการเกิดความรู้สึกดังนี้
1) ความรู้สึกแรกนั้นเป็นความรู้สึกในระดับ physical เช่น แสงจ้ามาก ตาก็จะปวดรู้สึกแสบตาหรือทุกข์ไม่มีความสุข หรือถ้าแสงสีเข้ามาสบายๆลงตัวก็รู้สึกสบายไม่แสบตา , เสียงก็เช่นกันดังเกินไป หรือเบาสบายๆก็ให้ความรู้สึกต่างกัน
2) รู้สึกจาก physical level นั้นส่วนใหญ่เราจะจับกันไม่ทัน เพราะเมื่อเรารับรู้แล้วเกิดผัสสะแล้ว เราจะมีกระบวนการไปทำ look up table หรือใช้ความสามารถของตัวสัญญาที่จำได้หมายรู้เอาไว้ ขึ้นมาและไปเอาความรู้สึกเดิมขึ้นมาเพื่อรู้สึกใหม่โดย แทนที่เราจะรู้สึกกับเรื่องราวตรงหน้ากับไปเอาความรู้สึกในอดีตมา override ทับไป
3) ถัดมาอีกก็จะเกิด วิตักกะ(คิด) และสังขาร ก็เกิดด้วย ณขณะนี้ ไปปรุงแต่งเอา ความอยากให้เป็นตามใจ โดยละเลยความจริงที่เป็น เช่นลูกตายไปแล้วก็ปรุงว่าถ้าเค้ายังอยู่จะกอนเค้า จะเล่นกับเค้าเป็นต้น ทั้งๆที่ภาพที่คิดอยู่นั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ใช้ภายในอดีตบางส่วนมาประกอบแล้วปรุงใหม่
คือใช้ว่ามีลูกอยู่ และมาคิดต่อว่า อยากจูบลูก ตอนนี้อยากเอาแก้มซบลูกตอนนี้เป็นตัน ดังนั้นภาพรวมของตอนนี้จึงเป็นการปรุงแต่งขึ้นใหม่ และไปมีความรู้สึกใหม่อีกที คราวนี้พอมามองความจริงมันไม่ตรงกับสิ่งที่อยากก็ไม่อยากคิดถึงความจริงก็จะซ่อนตัวเองไปในโลกแห่งการปรุงแต่งและไม่ยอมกลับมา ทำให้ทำงานที่อยู่ต่อหน้าไม่ได้ ฟังเสียงคนรอบข้างไม่ได้ คิดเรื่องจริงไม่ได้ และเกิดปัญหาหลายๆอย่าง เพราะเรื่องการรับรู้เป็นสาเหตุคือไม่กลับมารับรู้ความจริงจะอยู่แต่ในโลกความคิดตัวเอง
ในกระบวนการที่เกิด 1) 2) 3) นี้ แต่ละคนจะมีการฝึกซ้อมมาเป็น หมื่นๆ แสนๆ ล้านๆ รอบคือ จะชอบดึงเรื่องราวนั้นเรื่องราวนี้ขึ้นมา และปรุงไปในแนวนั้นแนวนี้บ่อยๆ (และละเลยการมองตามความจริง) ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องใหม่ๆหรือปัญหาใหม่ๆ ก็จะมี pattern การปรุงแต่งค่อนข้างเหมือนเดิมเสมอๆ
ตรงนี้ก็พอจะบอกหรืออธิบายได้ว่าบางคนที่ไม่เป็นโรคซึมเศร้าทั้งๆลูกก็เสียชีวิตหรือมีทุกข์มากมาย ก็เพราะ pattern การปรุงแต่งของเค้าสะสมมาในการปรุงเข้าใจความจริงก็เลยไม่ค่อยเกิดทุกข์
ต่างกับคนที่มี pattern การปรุงแต่งไปในทางที่อยากให้มันเป็นหรือหลีกหนีความจริง นั้นก็ส่งผลให้เค้ารู้สึกถึงเรื่องราวความจริงไม่ได้
การเกิดกระบวนการข้างต้นนี้มันจะมีผลลัพท์ที่ให้สมองแต่ละส่วนทำงานต่างกัน และถ้าเราเข้าใจแล้วว่าการเกิดการปรุงแต่งแบบไหน สมองส่วนไหนทำงานละก็ เราก็ฝึกรู้ก่อนว่าเราอยู่ในสถาณไหน และเราปรุงหรือไม่ปรุงการรับรู้ของเราเป็นอย่างไร แล้วถ้าเราจะปรุงใหม่ จะต้องปรุงอย่างไรให้ดีให้ถูกต้อง
ตรงนี้ก็จะเริ่มยากและสำหรับคนที่เป็นโรคซึมเศร้าแล้วจะมาปรุงใหม่กันเลยทีเดียวหรือมาฝึกกันตอนที่เป็นโรคซึมเศร้าเพราะ ต้องบอกว่าสถาณะตอนนี้สมองส่วน อะมิดาล่า นี้ทำงานหนักมากและทำให้ frontal lope นั้นทำงานไม่ได้เลย ความสามารถในการเรียนรู้ช่วงนี้ต่ำสุดๆ แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
การทำงานกับสถาณะนี้อาจจะต้องใช้เครื่องมือที่ไป access จิตใต้สำนึก ที่เรียกว่าจิตใตสำนึกนั้น ผมขอยกตัวอย่างแบบนี้ การที่บางคนขึ้นเวทีนั้น เหงื่อออก(ผมก็เป็น) หรือหน้าแดง เสียงสั่น นั้นไม่ต้องไปคิดมันเป็นของมันเอง มันมีการสั่งการที่เตรียมไว้แล้ว หรือตอนเดินป่าถ้ามีคนตะโกนว่าเสือมา ก็อาจจะวิ่งเลยทันที ไม่ต้องรอคิดดูว่าเอ้ๆๆเสือมาจริงหรือป่าวมาทางไหนและเราจะวิ่งหรือไม่วิ่ง
ตรงนี้ก็ต้องหากันว่าจิตใตสำนึกของผู้ป่วยนั้นพอจะมีอะไรให้ไปแตะได้บ้าง อย่างของนางกีสานั้น ผมวิเคราะห์ว่าจิตใตสำนึกคือ นางกีสาเชื่อว่าถ้าคนจำนวนมากพูดแบบเดียวกันเค้าจะเชื่อ พอนางกีสาไปเจอคนจำนวนมากพอพูดถึงเรื่องการตายนางกีสาก็เกิดการเรียนรู้จากจิตใตสำนึกเลยทันที
หรือบางคนในศาสนาคริสต์เชื่ออย่างรุนแรงในจิตใต้สำนึกว่าถ้าไปสารภาพบาปกับบาทหลวงก็จะล้างบาปได้เพราะพระเยซูจะมาล้างบาปให้เพราะถูกสอนมาตั้งแต่เด็กๆจนเชื่อลึกๆอยู่ในใจ พอทุกข์มากๆสมมติว่าเคมีในสมองที่หลั่งตอนนี้คือ อะดรีนาลีน พอไปสารภาพบาปกับบาทหลวง อะดรีนาลีน ก็หยุดทันที อันนี้คือการใช้กลวิธีของจิตใต้สำนึกมาหยุดการหลั่งเคมีก็ยังทำได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเหตุปัจจัยนี้เป็นเฉพาะบุคคลกันจริงๆยากที่จะหาสาเหตุ แต่ก็ไม่ได้อยู่เหนือความสามารถในการทำ แต่นักวิทยาศาสตร์นั้น ก็ใช้เหตุปัจจัยอีกแบบคือ เค้ารู้ว่าถ้าได้เคมีตัวนั้นตัวนี้ไป ก็จะทำให้สมองหลั่งสารนั้นสารนี้ออกมา แต่นี้ก็ต้องบอกว่าเป็นการศึกษาที่เป็นส่วนใหญ่คือการตัด curve เอาว่าเกิน 80% หรือที่เรียกว่า significant เพราะ มันก็ไม่ได้ 100% แบบว่ารักษาโรคซึมเศร้าจะหายหมด (ตรงนี้อยากขอความเห็นของจิตแพท์ด้วยก็ดี คือที่ไม่หาย 100% นั้นเป็นความเห็นของผมโดยไม่ได้ทำการศึกษานะครับ)
และบทความนี้จะมีประโยชน์มากก็คือการที่ตอนนี้ที่เราทุกคนยังไม่เป็นโรคซึมเศร้านี้ เราก็ควรมาฝึกการมองตามความจริง ปรุงแต่งให้ใกล้เคียงความจริง หรือจะฝึกตัวรู้ ให้รู้ว่าตอนนี้ มีการทำงานของอะไรเกิดขึ้นแล้ว แล้วความรู้สึกนั้นนี้ ก็เกิดขึ้นตามการทำงานของแต่ละกลุ่มขันธ์ ที่ทำงานอยู่นั้น
และพอรู้มากพอก็จะเห็นว่า รูปแบบการใช้ชีวิตของเรานั้น เอื้อต่อการให้มี สัญญา หรือสังขาร ที่ถูกต้องหรือควรจะเป็นหรือป่าว หรือเอื้อต่อการสะสมของสังขาร(การปรุงแต่ง) ที่ไม่ดี ไม่ถูกไม่ควร และไม่ได้เป็นไปเพื่อชีวิตทีดีงาม ก็พอรู้เราก็ปฏิบัตให้ถูกต้องให้มากขึ้น เพื่อจะได้เป็นวัคซีนหรือภูมิคุ้มกันโรคซึมเศร้าของเราในอนาคตได้
หรือถ้าผมจะอธิบายอีกสาเหตุของโรคซึมเศร้าก็ใช้อีกศัพท์ได้ว่า เพราะการมีอยู่ของตัว ตัณหา และอุปทาน
- ตัณหา (พอเกิดการรับรู้แล้วไปดึงเรื่องราวในอดีตที่ใกล้เคียงการรับรู้ครั้งนี้แล้วเอาความรู้สึกเดิมในอดีตมา override ความรู้สึก ณ ปัจจุบัน) เช่น เคยกินไก่ KFC แล้วอร่อยมากจำได้แบบนั้น พอมาเจอไก่ทอดยี้ห้อ Texas Chicken ก็ไปนึกเทียบเคียงแล้วรู้สึกอร่อยอยากเข้าไปกิน
- อุปทาน (ยึดถือ เช่นพอเดินผ่าน Texas Chicken ไปแล้ว แล้วไปเห็นเรื่องราวอื่นๆ แต่ในใจยังไปดึงภาพ Texas Chicken ขึ้นมาพิจารณาอยู่ดีทำให้ ตัณหา หรือความอยากนั้นเพิ่มขึ้น และมีความโน้มเอียงให้เดินกลับไปกินอีกรอบ)
การฝึกการรู้นั้นว่ามีตัวอะไรหรืออะไรเกิดขึ้นกับในใจเราแล้วพิจารณาว่าถึงข้อดีข้อเสียตลอดโดยใช้การคิดแบบโยนิโสมนสิการ เพื่อพิจารณาถึงประโยชน์ที่แท้จริงนั้นก็จะช่วยให้เราลดตัวตัณหา และอุปทาน ลงได้
ทั้งนี้ทั้งนั้นผมบอกได้เลยว่าการฝึกกระบวนการขั้นต้นเพื่อลดเหตุและปัจจัยในการเกิดโรคซึมเศร้านั้นยากมาก แต่ก็ไม่เหนือวิสัยของการฝึกฝน และก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนมีความเห็นความสำคัญในเรื่องแบบนี้กับชีวิตขนาดไหน ซึ่งอันนี้ผมจะพูดแบบภาษาคนหมู่มากก็คือแล้วแต่บุญแต่กรรมและโอกาสหรือเรื่องราวในชีวิตแต่ละคนที่จะทำให้คนคนนั้นเข้าใจหรือเห็นอะไรว่าสำคัญกับชีวิตขนาดไหน
สุดท้ายอาจจะเขียนเพื่อป้องกันการโดนชาวพันทิปโจมตีไว้นิดหนึ่งคือ เอาเป็นว่าเราแลกเปลี่ยนความรู้กัน ผมมีพื้นคือเรียนจิตวิทยาพัฒนาการ และได้มีโอกาสไปเรียนวิชาหนึ่งกับจิตปรึกษาชื่อวิชาว่า buddhist psychology และชอบมากจนสุดท้ายไปศึกษาแนวนี้อยากเยอะ เพื่อตัวเองเป็นหลัก แต่ผมไม่รู้หลักการของการทำ counselling หรือมีชั่วโมงการฝึกฝนเรื่องนี้เยอะ ส่วนคนที่จะมาโต้แย้งกับผมได้เยอะก็คือสาย จิตแพทย์ ซึ่งการเรียนของทั้งสองสายนี้มีจุดหลักๆต่างกันคือ สาย psychology เรียนกระบวนการการทำงานของจิตใจแล้วใช้จิตบำบัดจริงๆของ buddhist นั้นค่อนข้างออกสาย cognitive therapy แต่สาย จิตแพทย์หรือ psychiatrist เรียนการใช้ยาเพื่อปรับสมดุลของสมอง และเรียนเรื่องการทำงานของจิตใจด้วย แต่จะใช้ยาเป็นตัวเริ่มต้นก่อนแล้วใช้จิตบำบัดตามมา ก็ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นข้อมูลคนละสายที่มาแบ่งปันกันเพื่อการพัฒนา ไม่ได้เป็นไปเพื่อการมาอวดว่าของผมหรือของใครดีกว่ากัน
โรคซึมเศร้า รักษาด้วยหลักการของพุทธศาสนาได้ หรือไม่ได้ มาแบ่งปันความรู้กัน
จริงๆก็ไม่รู้ว่าเกิน 1 วันหรือป่าวก่อนที่นางกีสาจะมาเจอพระพุทธเจ้า แต่เอาว่านางออกเดินทางไปหาคนช่วยเหลือมาหลายคนก่อนหน้านี้และคิดว่าน่าจะเดินทางเกิน 1 วันซึ่งคนที่ลูกตายนั้นคงคิดวนอยู่ถึงความทุกข์นี้นานตลอด
ดังนั้นก็พอสรุปได้ว่านางกีสาน่าจะใช้สมองส่วนลิมบิกหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนมากผิดกว่าคนทั่วไป ขอจบ introduction ไว้ตรงนี้และผมจะต่อไปถึง องค์ความรู้ของพุทธศาสนาที่มาใช้ในการหลังสารเคมีต่างๆในสมองว่าทำงานอย่างไร
*สามารถอ่านเรื่องราวของนางกิสาโคตมี ได้ที่ link นี้ http://goo.gl/zQ4uJD
จาก Introduction ด้านบนของเรื่องนางกีสานั้น ผมจะใช้ framework ของปฏิจจสมุปบาท รวมกับขันธ์ 5 และอริยสัจ 4 ในการอธิบายกระบวนการเกิดทุกข์และนี่แหละเป็นตัวที่ทำให้ สมองส่วนลิมบิกหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนมากและระบบร่างกายก็จะอยู่ในระบบซิมพาเธติก http://goo.gl/XXjSck
อันที่จริงแล้วนักวิทยาศาสตร์นั้นไปศึกษาข้ามกระบวนการของการหลั่งเคมีในสมองไป 1 step คือไปมองที่สมองหลั่งสารเคมีเลย เลยข้ามการมองกระบวนการก่อนที่สมองจะหลั่งสารเคมีนั้นก็คือ การเกิดผัสสะ การใช้สัญญา(ความสามารถในการระลึก หรือจำได้ และหมายรู้เอาไว้ ทั้งๆที่เรื่องราวผ่านมาแล้ว) และ สังขาร(คิดปรุงแต่ง โน้มเอียงไปตามเจตนา หรือความอยากให้เป็นโดยไม่สนใจความจริง) จริงๆถ้าผมลากยาวละก็ต้องไปพูดกันตั้งแต่มิฉาทิฐิ หรือาสาวะกันเลยทีเดียวเอาเป็นว่าผมไม่ลากยาวแล้วกัน
**ผมพยามใช้ศัพท์บาลีเดิมแล้วขยายด้วยภาษาไทยนะครับ
ตัวแก่นแท้ของพุทธศาสนาจริงๆแล้วพูดไว้ชัดเจนเรื่อง เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี และเพราะสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้ก็ไม่มี ดังนั้นทุกอย่างเป็นเหตุปัจจัยหมด จะละเลยเหตุปัจจัยอื่นๆไม่ได้ถ้าเราจะมาหาสาเหตุกัน กล่าวคือ ที่เกิดสารเคมีในสมองหลั่งอันนั้นอันนี้มากเกินไป สมองส่วนลิมบิกเบรน (Limbic brain) หรือจะเป็น สมองส่วนหน้า(Frontal Lobe) หรือจะเป็น สมองส่วนหลัง (hindbrain) ต่างมีเหตุปัจจัยในการทำงานอยู่ถ้าเรารู้กฏของธรรมชาติในการทำงาน เราก็สามารถเล่นกับระบบความจริงนี้ที่เกิดขึ้นนี้ได้
ผมเริ่มเลยว่าสมองส่วนต่างๆนั้นจะทำงานก็เพราะผ่าน sensor ที่เรามีทั้งหมดในทางพุทธศาสนานั้นพูดเรื่องผัสสะหรือ contact , sense-impressionไว้ทั้งหมด 6 ช่องทาง
1. จักขุสัมผัส (ความกระทบทางตา คือ ตา + รูป + จักขุวิญญาณ —eye-contact)
2. โสตสัมผัส (ความกระทบทางหู คือ หู + เสียง + โสตวิญญาณ — ear-contact)
3. ฆานสัมผัส (ความกระทบทางจมูก คือ จมูก + กลิ่น + ฆานวิญญาณ — nosecontact)
4. ชิวหาสัมผัส (ความกระทบทางลิ้น คือ ลิ้น + รส + ชิวหาวิญญาณ — tonguecontact)
5. กายสัมผัส (ความกระทบทางกาย คือ กาย + โผฏฐัพพะ + กายวิญญาณ — body-contact)
6. มโนสัมผัส (ความกระทบทางใจ คือ ใจ + ธรรมารมณ์ + มโนวิญญาณ — mind-contact)
อ้างอิงจาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม Dictionary of Buddhism พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
*วิญญาณ ในที่นี้คือตัวรู้ ไม่ได้หมายถึงผีหรือวิญญาณแบบที่ภาษาไทยหมายถึง
ดังนั้นต้องรู้ก่อนว่าก่อนจะไปถึงสมองนั้นหลั่งสารเคมีต่างๆหรือสมองส่วนไหนทำงานก็มีปัจจัยเริ่มต้นดังนี้
สาเหตุก่อนไปถึงสมองเริ่มทำงานนั้นตัวที่ทำให้เป็นโรคซึมเศร้าจากความเข้าใจของผมนั้นมาจาก มโนสัมผัสเป็นส่วนใหญ่ แต่จริงๆแล้วก็ประกอบด้วยผัสสะทั้ง 6 เลยทีเดียว คราวนี้ไม่ว่าเกิดผัสสะทางไหน นี้ตอนแรกเกิดมันก็เกิดความรู้สึก
โดยความรู้สึกนี่แหละจะเป็นตัวเริ่มสร้างปัญหา
และถ้าจับกันดีๆๆความรู้สึกนี้มันซ้อนกันหลายรอบเรามาดูกันช้าๆโดยแยกกระบวนการเกิดความรู้สึกดังนี้
1) ความรู้สึกแรกนั้นเป็นความรู้สึกในระดับ physical เช่น แสงจ้ามาก ตาก็จะปวดรู้สึกแสบตาหรือทุกข์ไม่มีความสุข หรือถ้าแสงสีเข้ามาสบายๆลงตัวก็รู้สึกสบายไม่แสบตา , เสียงก็เช่นกันดังเกินไป หรือเบาสบายๆก็ให้ความรู้สึกต่างกัน
2) รู้สึกจาก physical level นั้นส่วนใหญ่เราจะจับกันไม่ทัน เพราะเมื่อเรารับรู้แล้วเกิดผัสสะแล้ว เราจะมีกระบวนการไปทำ look up table หรือใช้ความสามารถของตัวสัญญาที่จำได้หมายรู้เอาไว้ ขึ้นมาและไปเอาความรู้สึกเดิมขึ้นมาเพื่อรู้สึกใหม่โดย แทนที่เราจะรู้สึกกับเรื่องราวตรงหน้ากับไปเอาความรู้สึกในอดีตมา override ทับไป
3) ถัดมาอีกก็จะเกิด วิตักกะ(คิด) และสังขาร ก็เกิดด้วย ณขณะนี้ ไปปรุงแต่งเอา ความอยากให้เป็นตามใจ โดยละเลยความจริงที่เป็น เช่นลูกตายไปแล้วก็ปรุงว่าถ้าเค้ายังอยู่จะกอนเค้า จะเล่นกับเค้าเป็นต้น ทั้งๆที่ภาพที่คิดอยู่นั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ใช้ภายในอดีตบางส่วนมาประกอบแล้วปรุงใหม่
คือใช้ว่ามีลูกอยู่ และมาคิดต่อว่า อยากจูบลูก ตอนนี้อยากเอาแก้มซบลูกตอนนี้เป็นตัน ดังนั้นภาพรวมของตอนนี้จึงเป็นการปรุงแต่งขึ้นใหม่ และไปมีความรู้สึกใหม่อีกที คราวนี้พอมามองความจริงมันไม่ตรงกับสิ่งที่อยากก็ไม่อยากคิดถึงความจริงก็จะซ่อนตัวเองไปในโลกแห่งการปรุงแต่งและไม่ยอมกลับมา ทำให้ทำงานที่อยู่ต่อหน้าไม่ได้ ฟังเสียงคนรอบข้างไม่ได้ คิดเรื่องจริงไม่ได้ และเกิดปัญหาหลายๆอย่าง เพราะเรื่องการรับรู้เป็นสาเหตุคือไม่กลับมารับรู้ความจริงจะอยู่แต่ในโลกความคิดตัวเอง
ในกระบวนการที่เกิด 1) 2) 3) นี้ แต่ละคนจะมีการฝึกซ้อมมาเป็น หมื่นๆ แสนๆ ล้านๆ รอบคือ จะชอบดึงเรื่องราวนั้นเรื่องราวนี้ขึ้นมา และปรุงไปในแนวนั้นแนวนี้บ่อยๆ (และละเลยการมองตามความจริง) ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องใหม่ๆหรือปัญหาใหม่ๆ ก็จะมี pattern การปรุงแต่งค่อนข้างเหมือนเดิมเสมอๆ
ตรงนี้ก็พอจะบอกหรืออธิบายได้ว่าบางคนที่ไม่เป็นโรคซึมเศร้าทั้งๆลูกก็เสียชีวิตหรือมีทุกข์มากมาย ก็เพราะ pattern การปรุงแต่งของเค้าสะสมมาในการปรุงเข้าใจความจริงก็เลยไม่ค่อยเกิดทุกข์
ต่างกับคนที่มี pattern การปรุงแต่งไปในทางที่อยากให้มันเป็นหรือหลีกหนีความจริง นั้นก็ส่งผลให้เค้ารู้สึกถึงเรื่องราวความจริงไม่ได้
การเกิดกระบวนการข้างต้นนี้มันจะมีผลลัพท์ที่ให้สมองแต่ละส่วนทำงานต่างกัน และถ้าเราเข้าใจแล้วว่าการเกิดการปรุงแต่งแบบไหน สมองส่วนไหนทำงานละก็ เราก็ฝึกรู้ก่อนว่าเราอยู่ในสถาณไหน และเราปรุงหรือไม่ปรุงการรับรู้ของเราเป็นอย่างไร แล้วถ้าเราจะปรุงใหม่ จะต้องปรุงอย่างไรให้ดีให้ถูกต้อง
ตรงนี้ก็จะเริ่มยากและสำหรับคนที่เป็นโรคซึมเศร้าแล้วจะมาปรุงใหม่กันเลยทีเดียวหรือมาฝึกกันตอนที่เป็นโรคซึมเศร้าเพราะ ต้องบอกว่าสถาณะตอนนี้สมองส่วน อะมิดาล่า นี้ทำงานหนักมากและทำให้ frontal lope นั้นทำงานไม่ได้เลย ความสามารถในการเรียนรู้ช่วงนี้ต่ำสุดๆ แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
การทำงานกับสถาณะนี้อาจจะต้องใช้เครื่องมือที่ไป access จิตใต้สำนึก ที่เรียกว่าจิตใตสำนึกนั้น ผมขอยกตัวอย่างแบบนี้ การที่บางคนขึ้นเวทีนั้น เหงื่อออก(ผมก็เป็น) หรือหน้าแดง เสียงสั่น นั้นไม่ต้องไปคิดมันเป็นของมันเอง มันมีการสั่งการที่เตรียมไว้แล้ว หรือตอนเดินป่าถ้ามีคนตะโกนว่าเสือมา ก็อาจจะวิ่งเลยทันที ไม่ต้องรอคิดดูว่าเอ้ๆๆเสือมาจริงหรือป่าวมาทางไหนและเราจะวิ่งหรือไม่วิ่ง
ตรงนี้ก็ต้องหากันว่าจิตใตสำนึกของผู้ป่วยนั้นพอจะมีอะไรให้ไปแตะได้บ้าง อย่างของนางกีสานั้น ผมวิเคราะห์ว่าจิตใตสำนึกคือ นางกีสาเชื่อว่าถ้าคนจำนวนมากพูดแบบเดียวกันเค้าจะเชื่อ พอนางกีสาไปเจอคนจำนวนมากพอพูดถึงเรื่องการตายนางกีสาก็เกิดการเรียนรู้จากจิตใตสำนึกเลยทันที
หรือบางคนในศาสนาคริสต์เชื่ออย่างรุนแรงในจิตใต้สำนึกว่าถ้าไปสารภาพบาปกับบาทหลวงก็จะล้างบาปได้เพราะพระเยซูจะมาล้างบาปให้เพราะถูกสอนมาตั้งแต่เด็กๆจนเชื่อลึกๆอยู่ในใจ พอทุกข์มากๆสมมติว่าเคมีในสมองที่หลั่งตอนนี้คือ อะดรีนาลีน พอไปสารภาพบาปกับบาทหลวง อะดรีนาลีน ก็หยุดทันที อันนี้คือการใช้กลวิธีของจิตใต้สำนึกมาหยุดการหลั่งเคมีก็ยังทำได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเหตุปัจจัยนี้เป็นเฉพาะบุคคลกันจริงๆยากที่จะหาสาเหตุ แต่ก็ไม่ได้อยู่เหนือความสามารถในการทำ แต่นักวิทยาศาสตร์นั้น ก็ใช้เหตุปัจจัยอีกแบบคือ เค้ารู้ว่าถ้าได้เคมีตัวนั้นตัวนี้ไป ก็จะทำให้สมองหลั่งสารนั้นสารนี้ออกมา แต่นี้ก็ต้องบอกว่าเป็นการศึกษาที่เป็นส่วนใหญ่คือการตัด curve เอาว่าเกิน 80% หรือที่เรียกว่า significant เพราะ มันก็ไม่ได้ 100% แบบว่ารักษาโรคซึมเศร้าจะหายหมด (ตรงนี้อยากขอความเห็นของจิตแพท์ด้วยก็ดี คือที่ไม่หาย 100% นั้นเป็นความเห็นของผมโดยไม่ได้ทำการศึกษานะครับ)
และบทความนี้จะมีประโยชน์มากก็คือการที่ตอนนี้ที่เราทุกคนยังไม่เป็นโรคซึมเศร้านี้ เราก็ควรมาฝึกการมองตามความจริง ปรุงแต่งให้ใกล้เคียงความจริง หรือจะฝึกตัวรู้ ให้รู้ว่าตอนนี้ มีการทำงานของอะไรเกิดขึ้นแล้ว แล้วความรู้สึกนั้นนี้ ก็เกิดขึ้นตามการทำงานของแต่ละกลุ่มขันธ์ ที่ทำงานอยู่นั้น
และพอรู้มากพอก็จะเห็นว่า รูปแบบการใช้ชีวิตของเรานั้น เอื้อต่อการให้มี สัญญา หรือสังขาร ที่ถูกต้องหรือควรจะเป็นหรือป่าว หรือเอื้อต่อการสะสมของสังขาร(การปรุงแต่ง) ที่ไม่ดี ไม่ถูกไม่ควร และไม่ได้เป็นไปเพื่อชีวิตทีดีงาม ก็พอรู้เราก็ปฏิบัตให้ถูกต้องให้มากขึ้น เพื่อจะได้เป็นวัคซีนหรือภูมิคุ้มกันโรคซึมเศร้าของเราในอนาคตได้
หรือถ้าผมจะอธิบายอีกสาเหตุของโรคซึมเศร้าก็ใช้อีกศัพท์ได้ว่า เพราะการมีอยู่ของตัว ตัณหา และอุปทาน
- ตัณหา (พอเกิดการรับรู้แล้วไปดึงเรื่องราวในอดีตที่ใกล้เคียงการรับรู้ครั้งนี้แล้วเอาความรู้สึกเดิมในอดีตมา override ความรู้สึก ณ ปัจจุบัน) เช่น เคยกินไก่ KFC แล้วอร่อยมากจำได้แบบนั้น พอมาเจอไก่ทอดยี้ห้อ Texas Chicken ก็ไปนึกเทียบเคียงแล้วรู้สึกอร่อยอยากเข้าไปกิน
- อุปทาน (ยึดถือ เช่นพอเดินผ่าน Texas Chicken ไปแล้ว แล้วไปเห็นเรื่องราวอื่นๆ แต่ในใจยังไปดึงภาพ Texas Chicken ขึ้นมาพิจารณาอยู่ดีทำให้ ตัณหา หรือความอยากนั้นเพิ่มขึ้น และมีความโน้มเอียงให้เดินกลับไปกินอีกรอบ)
การฝึกการรู้นั้นว่ามีตัวอะไรหรืออะไรเกิดขึ้นกับในใจเราแล้วพิจารณาว่าถึงข้อดีข้อเสียตลอดโดยใช้การคิดแบบโยนิโสมนสิการ เพื่อพิจารณาถึงประโยชน์ที่แท้จริงนั้นก็จะช่วยให้เราลดตัวตัณหา และอุปทาน ลงได้
ทั้งนี้ทั้งนั้นผมบอกได้เลยว่าการฝึกกระบวนการขั้นต้นเพื่อลดเหตุและปัจจัยในการเกิดโรคซึมเศร้านั้นยากมาก แต่ก็ไม่เหนือวิสัยของการฝึกฝน และก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนมีความเห็นความสำคัญในเรื่องแบบนี้กับชีวิตขนาดไหน ซึ่งอันนี้ผมจะพูดแบบภาษาคนหมู่มากก็คือแล้วแต่บุญแต่กรรมและโอกาสหรือเรื่องราวในชีวิตแต่ละคนที่จะทำให้คนคนนั้นเข้าใจหรือเห็นอะไรว่าสำคัญกับชีวิตขนาดไหน
สุดท้ายอาจจะเขียนเพื่อป้องกันการโดนชาวพันทิปโจมตีไว้นิดหนึ่งคือ เอาเป็นว่าเราแลกเปลี่ยนความรู้กัน ผมมีพื้นคือเรียนจิตวิทยาพัฒนาการ และได้มีโอกาสไปเรียนวิชาหนึ่งกับจิตปรึกษาชื่อวิชาว่า buddhist psychology และชอบมากจนสุดท้ายไปศึกษาแนวนี้อยากเยอะ เพื่อตัวเองเป็นหลัก แต่ผมไม่รู้หลักการของการทำ counselling หรือมีชั่วโมงการฝึกฝนเรื่องนี้เยอะ ส่วนคนที่จะมาโต้แย้งกับผมได้เยอะก็คือสาย จิตแพทย์ ซึ่งการเรียนของทั้งสองสายนี้มีจุดหลักๆต่างกันคือ สาย psychology เรียนกระบวนการการทำงานของจิตใจแล้วใช้จิตบำบัดจริงๆของ buddhist นั้นค่อนข้างออกสาย cognitive therapy แต่สาย จิตแพทย์หรือ psychiatrist เรียนการใช้ยาเพื่อปรับสมดุลของสมอง และเรียนเรื่องการทำงานของจิตใจด้วย แต่จะใช้ยาเป็นตัวเริ่มต้นก่อนแล้วใช้จิตบำบัดตามมา ก็ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นข้อมูลคนละสายที่มาแบ่งปันกันเพื่อการพัฒนา ไม่ได้เป็นไปเพื่อการมาอวดว่าของผมหรือของใครดีกว่ากัน