สวัสดีค่ะ ช่วงนี้มีข่าวคนเป็นโรคซึมเศร้าเยอะ บางคนก็เกิดคำถามว่า "จะฮิตเป็นโรคซึมเศร้ากันทำไม?" ชีวิตในต่างแดนที่สนุกที่แปลกๆเราก็เล่าไปเยอะแล้ว วันนี้จึงขอมาเล่าด้านจิตใจและการปรับตัวค่ะ เราเลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ซึมเศร้าของตัวเอง
เราเป็นคนนึงที่เคยเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ แต่ไม่ไปพบแพทย์ เพราะแฟนรู้อาการเราเลยแนะนำให้เปลี่ยนวิธีคิดและเยียวยาจิตใจตัวเอง เราเลยลองทำตามที่เค้าบอกก่อน ตอนนั้นคิดว่าถ้าไม่ดีขึ้นจะไปปรึกษาจิตแพทย์ แต่สุดท้ายเราก็สามารถเข้มแข็งขึ้นด้วยตัวเอง และชนะอาการพวกนี้ไป
สำหรับเรา(และสำหรับเด็กนอกไกลบ้านอีกหลายคน) แน่นอนว่าเราจะเจอภาวะ Home sick หรือการคิดถึงบ้านเพราะต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมาไกล แล้วก็มี culter shock คือปัญหาการปรับตัวกับวัฒนธรรมของชาติอื่นเพราะรเาอยู่หอใน มันก็เลือกเมทเลือกอะไรไม่ค่อยได้ แต่พออยู่ไปประมาณ 3 เดือน เราก็ปรับตัวได้และไม่มีปัญหาเรื่องพวกนี้อีกต่อไป แต่ช้าแต่...
เราไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นเหมือนกันมั้ย แต่สำหรับเราพออยู่มานานเรื่อยๆ (เกือบๆสองปีแล้วไม่ได้กลับไทยเลย) เรียนก็หนัก อาหารก็ทำกินเองไม่ได้ (ต้องอยู่หอในเพราะอายุยังไม่ถึง 21 ปี) กินแต่อาหารในโรงอาหารซึ่งก็มีอาหารฝรั่งทั้งนั้นแหละ (อาหารไทยเค้าก็ทำแบบฝรั่ง กินไม่ได้เลย) ส่วนนึงอาจจะเป็นเพราะเราเป็นประเภท introvert คือเราชอบอยู่กับตัวเอง อยู่ในห้อง เราไม่ชอบไปเที่ยวกับเพื่อนหรือเข้าสังคมบ่อยๆเพราะเรารู้สึกเหนื่อยเร็วและไม่มีความสุขเท่ากับอยู่คนเดียว จริงๆเราก็ไม่มีปัญหาเรื่องเพื่อนหรอก เรามีเพื่อนไม่มาก(ฝรั่งหมดเลย)แต่ทุกคนพึ่งพาได้ ปรึกษาได้ ช่วยกันคิดช่วยกันทำการบ้านได้ แต่เราเริ่มรับรู้ว่าช่วงนั้นเราจิตตกบ่อยขึ้น เห็นเพื่อนในเฟสโพสต์รูปไปเที่ยวกับครอบครัว เราก็นึกถึงหน้าพ่อกับแม่แล้วก็ร้องไห้เฉยเลย พอเรียนเหนื่อยทำการบ้านเสร็จก็เที่ยงคืน ตอนนอนก็มีความคิดว่า "จริงๆแล้วเรามาทำอะไรที่นี่เหรอ?" บางทีก็เครียดเพราะต้องรักษาเกรด (เราตั้งเองว่าเราต้องได้เอทุกตัว จริงๆก็ไม่มีใครสั่ง) นานๆไปมันก็เริ่มแย่ลงนะ ไม่ค่อยมีอารมณ์จะเรียน ไปเรียนก็เหม่อบ่อย รู้สึกเพลียตลอดเวลา บางทีก็ร้องไห้ไม่มีเหตุผล รู้สึกหดหู่ ไม่เข้าใจว่าชีวิตจริงๆต้องทำอะไร ไม่ค่อยมีความสุขกับอะไรเลย แต่โชคดีที่เราไม่ได้เสียการเรียน ยังคง 4.00 นะ อิอิ (ไม่รู้ทำไปได้ไงเหมือนกัน) และไม่เคยคิดอยากตายเพราะยังรู้สึกว่าตัวเรามีค่า และเราต้องใช้ทุน ตายไม่ได้นะ แม้บางทีความคิดมันก็ขัดแย้งกันเอง
แต่ตอนนี้เราหายจากอาการเหล่านี้แล้วค่ะ เราโชคดีที่มีครอบครัวและแฟนใส่ใจ เราไม่พูดอะไรแต่เค้าเห้นสีหน้าเค้าก็รู้แล้วว่าเราไม่โอเค ก็เยียวยาทางความรู้สึกกันไป ส่วนเรื่องความคิด เราก็ลดอาการทุกอย่างต้องดีต้องเพอร์เฟ็กต์ ทุกวิชาต้องได้เต็ม (มันเหมือนเป้นความรับผิดชอบว่าต้องได้คะแนนดี โรคจิตมากอ่ะ ฮาาา) เราเปลี่ยนความคิด เอาเท่าที่ได้แล้วกันเราทำเต็มที่แล้ว
และสำหรับใครที่คิดว่าคิดว่าคนที่มีภาวะเหล่านี้เป็นเด็กมีปัญหา เป็นคนไม่ปกติ เราขอบอกเลยว่าไม่ใช่ค่ะ ก็เป็นคนปกตินี่แหละค่ะ เราก็เป็นคนปกติ แต่อาการนี้มันเป็นของมันเอง พอรู้ตัวอีกทีก็จมดิ่งไปกับมันแล้ว สาเหตุของเราน่าจะมาจากสภาพแวดล้อม ความเครียด และความกดดัน แต่บางคนก็เป็นกรรมพันธุ์ ภาวะซึมเศร้านี้ไม่มีใครอยากเป็นหรอกค่ะ มันแย่มาก ก็อยากให้ทุกคนเข้าใจคนที่เป็นโรคซึมเศร้า ถ้านึกวิธีช่วยเหลือไม่ออกก็ไม่ต้องแนะนำอะไรหรอกค่ะ แค่อยู่ข้างๆ เข้าใจ ปลอบโยนหรือดึงเค้าออกจากความรู้สึกแย่ๆ ชวนไปทำกิจกรรมอื่นหรือหาอะไรให้ทำ พาไปรักษา แต่ว่าอย่าไปซ้ำเติม ตำหนิ หรือท้าให้ตายให้ทำอะไรแย่ๆเลยนะคะ โรคเหล่านี้หายได้แต่ต้องการความเข้าใจค่ะ
ตอนนี้เรามีความสุขดีกับชีวิตที่เหมือนเดิม (แต่เราก็ย้ายออกมาอยู่อพาร์ทเมนต์ข้างนอกแล้ว ทำอาหารกินเองทุกวัน รู้สึกมีความสุขขึ้นเยอะเลยยยย) เราเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่มีอาการซึมเศร้าหรือกำลังอยู่ในช่วงอ่อนแอนะคะ เราเข้าใจความรู้สึกเหล่านี้ดี ตอนที่เรามีอาการพวกนี้ไม่ว่าเราจะหดหู้คิดลบแค่ไหน เราจะมีความคิดนึงที่คงที่ตลอดคือ "ตัวเรามีค่า เรามีค่าที่สุด มีค่ามากกว่าจะตายไปเฉยๆโดยไม่ได้ทำอะไรเลย" ใครมีปัญหาอะไรหรือมีภาวะนี้เหมือนกัน มาแชร์กันได้นะ บางครั้งการพูด/ปรึกษากับคนอื่นก็ช่วยบรรเทาความคิดด้านลบไปได้เยอะเหมือนกัน
ขอแท็กชีวิตในต่างแดนกับนร.ทุนต่างประเทศ เพราะเราก็เป็นนร.ทุน และนี่สุขภาพจิตก็ส่งผลต่อการเรียนเหมือนกัน
[บันทึกในต่างแดน] ตอน โรคซึมเศร้าใครเล่าจะเข้าใจ
เราเป็นคนนึงที่เคยเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ แต่ไม่ไปพบแพทย์ เพราะแฟนรู้อาการเราเลยแนะนำให้เปลี่ยนวิธีคิดและเยียวยาจิตใจตัวเอง เราเลยลองทำตามที่เค้าบอกก่อน ตอนนั้นคิดว่าถ้าไม่ดีขึ้นจะไปปรึกษาจิตแพทย์ แต่สุดท้ายเราก็สามารถเข้มแข็งขึ้นด้วยตัวเอง และชนะอาการพวกนี้ไป
สำหรับเรา(และสำหรับเด็กนอกไกลบ้านอีกหลายคน) แน่นอนว่าเราจะเจอภาวะ Home sick หรือการคิดถึงบ้านเพราะต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมาไกล แล้วก็มี culter shock คือปัญหาการปรับตัวกับวัฒนธรรมของชาติอื่นเพราะรเาอยู่หอใน มันก็เลือกเมทเลือกอะไรไม่ค่อยได้ แต่พออยู่ไปประมาณ 3 เดือน เราก็ปรับตัวได้และไม่มีปัญหาเรื่องพวกนี้อีกต่อไป แต่ช้าแต่...
เราไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นเหมือนกันมั้ย แต่สำหรับเราพออยู่มานานเรื่อยๆ (เกือบๆสองปีแล้วไม่ได้กลับไทยเลย) เรียนก็หนัก อาหารก็ทำกินเองไม่ได้ (ต้องอยู่หอในเพราะอายุยังไม่ถึง 21 ปี) กินแต่อาหารในโรงอาหารซึ่งก็มีอาหารฝรั่งทั้งนั้นแหละ (อาหารไทยเค้าก็ทำแบบฝรั่ง กินไม่ได้เลย) ส่วนนึงอาจจะเป็นเพราะเราเป็นประเภท introvert คือเราชอบอยู่กับตัวเอง อยู่ในห้อง เราไม่ชอบไปเที่ยวกับเพื่อนหรือเข้าสังคมบ่อยๆเพราะเรารู้สึกเหนื่อยเร็วและไม่มีความสุขเท่ากับอยู่คนเดียว จริงๆเราก็ไม่มีปัญหาเรื่องเพื่อนหรอก เรามีเพื่อนไม่มาก(ฝรั่งหมดเลย)แต่ทุกคนพึ่งพาได้ ปรึกษาได้ ช่วยกันคิดช่วยกันทำการบ้านได้ แต่เราเริ่มรับรู้ว่าช่วงนั้นเราจิตตกบ่อยขึ้น เห็นเพื่อนในเฟสโพสต์รูปไปเที่ยวกับครอบครัว เราก็นึกถึงหน้าพ่อกับแม่แล้วก็ร้องไห้เฉยเลย พอเรียนเหนื่อยทำการบ้านเสร็จก็เที่ยงคืน ตอนนอนก็มีความคิดว่า "จริงๆแล้วเรามาทำอะไรที่นี่เหรอ?" บางทีก็เครียดเพราะต้องรักษาเกรด (เราตั้งเองว่าเราต้องได้เอทุกตัว จริงๆก็ไม่มีใครสั่ง) นานๆไปมันก็เริ่มแย่ลงนะ ไม่ค่อยมีอารมณ์จะเรียน ไปเรียนก็เหม่อบ่อย รู้สึกเพลียตลอดเวลา บางทีก็ร้องไห้ไม่มีเหตุผล รู้สึกหดหู่ ไม่เข้าใจว่าชีวิตจริงๆต้องทำอะไร ไม่ค่อยมีความสุขกับอะไรเลย แต่โชคดีที่เราไม่ได้เสียการเรียน ยังคง 4.00 นะ อิอิ (ไม่รู้ทำไปได้ไงเหมือนกัน) และไม่เคยคิดอยากตายเพราะยังรู้สึกว่าตัวเรามีค่า และเราต้องใช้ทุน ตายไม่ได้นะ แม้บางทีความคิดมันก็ขัดแย้งกันเอง
แต่ตอนนี้เราหายจากอาการเหล่านี้แล้วค่ะ เราโชคดีที่มีครอบครัวและแฟนใส่ใจ เราไม่พูดอะไรแต่เค้าเห้นสีหน้าเค้าก็รู้แล้วว่าเราไม่โอเค ก็เยียวยาทางความรู้สึกกันไป ส่วนเรื่องความคิด เราก็ลดอาการทุกอย่างต้องดีต้องเพอร์เฟ็กต์ ทุกวิชาต้องได้เต็ม (มันเหมือนเป้นความรับผิดชอบว่าต้องได้คะแนนดี โรคจิตมากอ่ะ ฮาาา) เราเปลี่ยนความคิด เอาเท่าที่ได้แล้วกันเราทำเต็มที่แล้ว
และสำหรับใครที่คิดว่าคิดว่าคนที่มีภาวะเหล่านี้เป็นเด็กมีปัญหา เป็นคนไม่ปกติ เราขอบอกเลยว่าไม่ใช่ค่ะ ก็เป็นคนปกตินี่แหละค่ะ เราก็เป็นคนปกติ แต่อาการนี้มันเป็นของมันเอง พอรู้ตัวอีกทีก็จมดิ่งไปกับมันแล้ว สาเหตุของเราน่าจะมาจากสภาพแวดล้อม ความเครียด และความกดดัน แต่บางคนก็เป็นกรรมพันธุ์ ภาวะซึมเศร้านี้ไม่มีใครอยากเป็นหรอกค่ะ มันแย่มาก ก็อยากให้ทุกคนเข้าใจคนที่เป็นโรคซึมเศร้า ถ้านึกวิธีช่วยเหลือไม่ออกก็ไม่ต้องแนะนำอะไรหรอกค่ะ แค่อยู่ข้างๆ เข้าใจ ปลอบโยนหรือดึงเค้าออกจากความรู้สึกแย่ๆ ชวนไปทำกิจกรรมอื่นหรือหาอะไรให้ทำ พาไปรักษา แต่ว่าอย่าไปซ้ำเติม ตำหนิ หรือท้าให้ตายให้ทำอะไรแย่ๆเลยนะคะ โรคเหล่านี้หายได้แต่ต้องการความเข้าใจค่ะ
ตอนนี้เรามีความสุขดีกับชีวิตที่เหมือนเดิม (แต่เราก็ย้ายออกมาอยู่อพาร์ทเมนต์ข้างนอกแล้ว ทำอาหารกินเองทุกวัน รู้สึกมีความสุขขึ้นเยอะเลยยยย) เราเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่มีอาการซึมเศร้าหรือกำลังอยู่ในช่วงอ่อนแอนะคะ เราเข้าใจความรู้สึกเหล่านี้ดี ตอนที่เรามีอาการพวกนี้ไม่ว่าเราจะหดหู้คิดลบแค่ไหน เราจะมีความคิดนึงที่คงที่ตลอดคือ "ตัวเรามีค่า เรามีค่าที่สุด มีค่ามากกว่าจะตายไปเฉยๆโดยไม่ได้ทำอะไรเลย" ใครมีปัญหาอะไรหรือมีภาวะนี้เหมือนกัน มาแชร์กันได้นะ บางครั้งการพูด/ปรึกษากับคนอื่นก็ช่วยบรรเทาความคิดด้านลบไปได้เยอะเหมือนกัน
ขอแท็กชีวิตในต่างแดนกับนร.ทุนต่างประเทศ เพราะเราก็เป็นนร.ทุน และนี่สุขภาพจิตก็ส่งผลต่อการเรียนเหมือนกัน