เกือบเสียบ้านเพราะค้ำประกันรถ

เริ่มเรื่องเลยนะคะ อยากแชร์ประสบการณ์ในวันที่เราเกือบเสียบ้านไปเพราะความใจดีของแม่ แม่เราไปค้ำประกันรถยนต์ให้กับเพื่อนที่ทำงานเพราะมาขอร้องแม่เราก็ใจดีค้ำประกันให้ ปรากฏว่าคนซื้อเอารถไปขายให้ใครไม่รู้แล้วเอารถไปเลย เรากับพ่อไม่รู้เรื่องนี้เพราะแม่ปิดบัง  จนมีเอกสารทวงหนี้มาถึงบ้าน เราก็ถามแม่ว่าเอกสารอะไร แม่กลัวเราต่อว่าก็เลยยังโกหกไม่ยอมบอก แต่เราทำงานธนาคารเกี่ยวกับไฟแนนซ์รถเราดูเอกสารก็รู้แล้วว่ามันเป็นเอกสารทวงหนี้ เราจึงไล่แม่มาเรื่อยๆจนแม่ยอมบอกว่าไปค้ำประกันรถให้คนที่ทำงาน บ้านแตกสิคะ!! เรากับพ่อต่อว่าแม่ใหญ่ (เข้าใจเราหน่อยนะคะคนกำลังโมโหและวิตก) บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปค้ำให้ใคร คือ อารมณ์ตอนนั้นเรารู้ว่า กฎหมายไฟแนนซ์มันบีบบังคับขนาดไหน แต่เพราะความไม่รู้ประสาของแม่ ก็ยังคงคิดว่าคงไม่เป็นอะไรมาก เราก็เช็คสอบถามแน่ใจแล้วว่าไม่มีทางนำรถมาคืนไฟแนนซ์ได้ คนซื้อมันก็ลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ ไฟแนนซ์ก็โทรจี้แม่เรา แม่เราก็รับสายตลอดคะคุยกับฝ่ายกฎหมายของธนาคารตลอด หากเพื่อนๆคนใดที่เกิดเรื่องแบบนี้ รับโทรศัพท์แล้วคุยไปเถอะคะมันเป็นการช่วยประวิงเวลาที่เขาจะส่งฟ้องศาล เพราะธนาคารก็จะพยายามต่อรองเราจนถึงที่สุด ซึ่งเราเองมาทราบภายหลังว่าแม่เคยไปขึ้นศาลมา1 ครั้ง พร้อมทนายของคนซื้อ และแม่ก็ไปเซ็นประนีประนอมหนี้ไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากวันนั้นที่รู้เรื่อง ไม่มีวันไหนที่เราหลับตาลง เรามีแต่ความเครียด ค้นหาข้อมูลทุกอย่าง ปรึกษาทนายที่รับปรึกษาฟรี ที่เราเครียดเพราะเราไปอ่านข้อมูลแล้วพบว่า บ้านที่เราอยู่นั้นถึงจะติดธนาคารอยู่หากโดนยึดทรัพย์จริงก็สามารถนำไปขายทอดตลาดได้   โดยจะนำไปใช้หนี้ธนาคารก่อนและที่เหลือจะนำมาชดใช้ไฟแนนซ์!!! ซึ่งมันไม่ใช่รถเราเลยแล้วเราต้องมารับใช้หนี้ หากถามว่าไม่ไปยึดผู้ซื้อละ ในกรณีของเราผู้ซื้อไม่มีทรัพย์สินใดๆ แต่แม่เรากับพ่อจดทะเบียน บ้านที่ผ่อนอยู่นี้หากขายทอดตลาดได้จริงก็ต้องแบ่งครึ่งส่วนของแม่เราเอาไปใช้หนี้ ส่วนของพ่อเรากฎหมายทำอะไรไม่ได้เพราะไม่ได้ไปค้ำประกันด้วย ตอนนั้นเราเครียดขีดสุดที่บ้านเราราคา2ล้าน ผ่อนกำลังใกล้หมดอีกไม่เกิน2ปี ก็จะหมดแล้ว ตอนนั้นทำใจคะคือไม่ว่าอะไรแม่คะ ผิดแล้วก็ผิด เราต้องช่วยกันผ่านปัญหาครอบครัวไปให้ได้ ต่อให้เราต้องโดนยึดบ้านก็ไม่เป็นไรจะเริ่มซื้อใหม่เอง แต่ฟ้าก็ช่วยเราคะ คือเราปรึกษาสหกรณ์ของธนาคารเรา โดยไหนๆก็ไหนแล้วเราเอาบ้านเข้ารีไฟแนนซ์ได้เงินมาใช้ดีกว่าถึงไฟแนนซ์รถจะมายึด ก็ต้องนำมาเคลียร์ไฟแนนซ์บ้านของสหกรณ์เราก่อน ดีกว่าเราปล่อยให้โดนยึดโดยที่เราไม่ได้อะไรเลย เราพ่อแม่นั่งปรึกษากัน ตอนแรกพ่อไม่ยอม เพราะเห็นว่าเราเหลือหนี้บ้านน้อยลงแล้วจะเป็นหนี้เพิ่มอีกทำไม เราจึงอธิบายให้ท่านฟังว่าถ้าเราไม่ทำแบบนี้บ้านเราก็โดนยึดเงินก็ไม่ได้นะ สุดท้ายเราเริ่มกระบวนการรีไฟแนนซ์กับสหกรณ์จนเรื่องราวเสร็จเรียบร้อย ฝ่ายกฎหมายก็ยังโทรหาแม่ตลอด เราก็บอกให้แม่ประวิงเวลาไปเรื่อยๆก่อน เพราะเราอยากทำเรื่องของเราให้เสร็จก่อน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่