...พ.ศ. ๒๕๐๔ ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม.../วัชรานนท์

กระทู้คำถาม
หากใครที่มาจากชนบทก็คงจะนึกภาพวันนั้นที่ลานหน้าบ้าน "ผู้ใหญ่ลี" ที่คราครั่งไปด้วยบรรดาลูกบ้านมานั่งสลอนรอฟังผู้ใหญ่ลีเปิดการประชุมออก   นั่นตาสี  นี่ยายมา  นู้นก็ป้าตัน ฯลฯ  รวมทั้งบรรดาลูกเล็กเด็กแดงวิ่งเล่นกันคลุ่นฟุ้งที่หน้าบ้านผู้ใหญ่ลีอันเป็นเสมือนหนึ่ง “รัฐสภา” ประจำหมู่บ้าน    ลักษณะและรูปแบบการประชุมก็คงไม่แตกต่างอะไรที่รัฐสภากลางใจกรุงเทพมหานคร   คือมีเห็นด้วย  มีคัดค้าน มีถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดง...แต่ที่แตกต่างเห็นจะเป็นบรรยากาศ     “ลานหน้าบ้าน” ผู้ใหญ่บ้านนั้นไม่มีที่นั่งเบาะนุ่มๆ ให้นั่ง บ้างก็นั่งยองๆ บนลาน  บ้างก็นั่งบนเสื่อที่นำมาจากบ้าน  บ้างก็นั่งบนขอนไม้   ไม่มีแอร์คอนดิชั่น   ไม่มีนาฬิกาแขวนที่แพงระดับปรับปรุงและซ่อมแซมถนนในหมู่บ้านได้ทั้งหมู่บ้าน   ไม่มีไมค์โครโฟนที่แพงระดับขุดบ่อเลี้ยงปลาให้ชาวบ้านได้หลายบ่อ   แถมเวลามีลมพัดฮือมาทีไร...หอบเอากลิ่นโคลนสาปควายของผู้ใหญ่บ้านที่ล้อมเอาไว้ใต้ถุนบ้านกระจายฟุ้งทั่วลานบ้านอีกด้วย



สมัยเป็นเด็ก  หมู่บ้านที่ผมอยู่ยังไม่มีไฟฟ้าลง    เวลาผู้ใหญ่บ้านตีเกราะประชุมทีไร    บรรดาลูกๆ หลานๆ ผู้ใหญ่บ้านรวมทั้งลูกผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอย่างผมก็ต้องลำบากตระเตรียทหาเชื้อไฟมาเตรียมจุดเป็นไต้ส่องสว่างในลานที่ประชุม    รวมทั้งสุมไฟไล่ยุงและไล่ความหนาวให้กับบรรดา “ลูกบ้าน” ที่เข้าร่วมประชุม    นี่คือกิจกรรมเล็กๆ ในระบอบประชาธิปไตยของกลุ่มคนที่อยู่ห่างไกลปืนเที่ยง   ที่บางคนโดยเฉพาะคนในเมืองไม่เคยเห็นหรือสัมผัส   หรือบางคนปรามาสพวกเขาว่าไม่เข้าใจระบบประชาธิปไตย    ในที่ประชุมมีเพียงผู้ใหญ่บ้านคนเดียวที่ได้กินเงินเดือน(ถ้าผมจำไม่ผิดในสมัยผมเป็นเด็กรู้สึกว่าจะได้500บาทต่อเดือนประมาณนี้)  ส่วนคนที่มาร่วมประชุมไม่มีเงินเดือน   ไม่มีเบี้ยเลี้ยงการประชุมอะไร     การประชุมในบางครั้งกว่าจะตกลงกันได้กินเวลาเกือบค่อนคืนก็มี   มติในที่ประชุมของหมู่บ้านก็จะถูกนำไปเป็นวาระในที่ประชุมสูงๆ ขึ้นไป จากหมู่บ้าน  สู่อำเภอ  จากอำเภอสู่จังหวัด  จากสังหวัดสู่ส่วนกลาง.....นั่นก็ถือว่าเป็นระยะทางที่ไกลพอสมควรที่มติเล็กๆ ของหมู่บ้านจะสามารถขึ้นสู่ส่วนกลางระดับประเทศได้    ถ้าไม่ใหญ่หรือมีเส้นสายจริงมติในที่ประชุมของหมู่บ้านส่วนใหญ่ก็มักจะตกหล่นหายๆ เกินๆ แถวตำบลหรือไม่ก็อำเภอ     อย่างไรก็แล้วแต่....นั่นก็ถือว่าเป็นองคาพยพของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ชาวบ้านได้มีสวนสัมผัสและเรียนรู้โดยไม่จำเป็นต้องอ้างวุฒิหรือปริญญาใดๆ    ในขณะที่ชนชั้นที่สูงกว่าบางคนเรียนรู้ระบบการปกครองระบอบนี้ผ่านเพียงแค่ตัวอักษร   แล้วกรีดนิ้วคลี่ผ้าม่านบนหอคอยชั้นสูงลงมามองพวกเขาด้วยสายดูแคลนพร้อมกับรำพึงว่าพวกนี้ไม่เข้าใจประชาธิปไตย!!



ย้อนกลับมาที่เรื่องราวปี ๒๕๐๔ ที่ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุมตามเนื้อเพลง    เพลงนี้เป็นเพลงที่แฝงไปด้วยความขบขันและน่ารักของทั้งผู้ใหญ่ลีและลูกบ้านที่ชื่อ “ตาสี” โดยเฉพาะในสายตาของคนในเมือง   แต่ถ้ามองลงไปอีกชั้นหนึ่ง   เพลงนี้ได้พยายามที่จะสะท้อนให้”คนเมือง” ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างจากเนื้อเพลง     อย่างน้อยๆ...ปีพุทธศักราช ๒๕๐๔ ซึ่งเป็นปีที่ท่านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ครองเมืองและถืออาญาสิทธิ์ ม.17, ม.21ไว้ในมือ(บางคนเรียกว่ายุคเผด็จการ)   ในขณะที่ชาวชนบทยังคงศรัทธาในระบบประชาธิปไตยอย่างมั่นอยู่    ซึ่งหาก“ผู้ใหญ่ลี” อาจจะใช้อำนาจเผด็จการบ้างโดยทำตาเขียวปั๊ดตวาดกลับใส่ “ตาสี” ที่ถามเรื่องสุกร(ที่ตัวเองรู้ไม่จริง)เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะตอบเสียก็คงไม่มีใครกล้าหือ??    แต่ “ผู้นำ” อย่างผู้ใหญ่ลีก็เคารพในสิทธิ์ลูกบ้านอย่างตาสี    ที่แม้คำตอบจะทำให้ผู้ใหญ่ลีเงิบในภายหลัง   แต่บรรยากาศและการเคารพสิทธิ์ในระบอบและกติกาของประชาธิปไตยยังอยู่   ตรงนี้ก็ต้องขอถอดหมวกค้อมหัวโค้งคำนำทั้ง “ตาสี” และผู้นำอย่าง “ผู้ใหญ่ลี” ครับ



การที่   “ตาสี” กล้าลุกขึ้นถาม "ผู้นำ" ตรงๆ ว่าไอ้เจ้า ”สุกร” นั่นน่ะมันคืออะไร?   ตรงนี้สะท้อนอะไร??   ตรงนี้สะท้อนได้หลายมุมมองทีเดียว    สะท้อนให้เห็นบรรยากาศของการประชุมระดับหมู่บ้านว่าไม่ใช่จะไปลักษณะที่ลูกบ้านต้องนั่งผงกหัวฟัง “ผู้นำ” แต่อย่างเดียว  อันไหนไม่เข้าใจ  อันไหนไม่เห็นด้วยก็สามารถลุกขึ้นแย้งได้    อย่างกรณี “ตาสี” ที่ลุกขึ้นถามผุ้ใหญ่บ้านให้ “ตีความ” ของคำว่าสุกร?   (ซึ่งดูเหมือนว่าตาสีเองก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าไอ้เจ้าสุกรนี้คืออะไร?  ตรงนี้ถ้าผู้ใหญ่ลีหัวหมอสักหน่อย  ก็สามารถส่งให้ตุลาการรัฐธรรมนูญเปิดพจนานุกรมตีความให้ก็ได้นะ  ฮ่า ฮ่า ฮ่า)    ก็นับว่าเป็นความกล้าแสดงออกของ “ตาสี” ลูกบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่ง      และถึงแม้ “ตาสี” ไม่ถาม....”ตาสา” ที่นั่งตบยุงอยู่ข้างๆ ก็อาจจะยกมือถามก็ได้  ใครจะรู้??     การถามเรื่องสุกรของตาสี   และการตอบของผู้ใหญ่ลีก็ชี้ให้เห็นว่าผู้ใหญ่ลีเองก็ไม่ใช่ผู้นำที่ละเอียดนัก   ในเมื่อ “ทางการเขาสั่งมาว่า  ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดและสุกร”    ผู้ใหญ่ลีเองก็ไม่ได้แสดงความกล้าที่จะถาม “ทางการ” เสียแต่ตรงนั้นก่อนที่จะมาประชุมลูกบ้านว่าสุกรนั้นคืออะไร?    ตรงนี้ก็ควรจะยกไว้เป็นบทเรียนสำหรับผู้นำหลายๆ ท่านด้วย  


ประการสุดท้าย   การไม่เข้าใจคำว่า “สุกร” ของชาวบ้านชนบทอย่าง “ตาสี” และ “ผู้ใหญ่ลี” นั้นไม่ใช่เรื่องตลกอะไร   หรือถ้าจะเป็นเรื่องตลกก็คงเป็นตลกปนเศร้านะ   อันนี้ถือเป็นความบกพร่องของ “ทางการ” ที่ได้แต่สั่งๆๆๆๆๆๆๆ   สั่งในภาษาราชการของตัวเอง   โดยไม่คำนึงว่าแต่ละท้องถิ่นแต่ละภาคต่างก็มีภาษาพูดของเขาเอง    ยุคโน้น..มันไม่มีเฟสบุ๊ค ไม่มีสื่ออนไลน์   ที่คนไกลปืนเที่ยงพอจะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของภาษา    การพัฒนาและใช้ภาษาไทยบางทีก็ฟุ่มเฟือยไป   นอกจากจะมีคำราชาศัพท์ต่างๆ แล้ว   สุดท้ายยังมีการเพิ่มกลุ่มคำใหม่ขึ้นมาหรือที่เรียกว่า “คำสุภาพ”  โดยนำคำที่ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ไปวางทาบคำเก่าๆ เช่นคำว่า สุกรนี่แหละ  เรียกหมูโดยทั่วๆ ไปก็เข้าใจกันได้   จะเรียก “ปลาใบไม้” ว่าปลาสลิดอย่างหลังก็จะเข้าใจกว้างกว่า   ให้เรียกควายว่ากระบือ   เรียกเมียว่าภรรยาหรือจะให้สุภาพขึ้นไปอีกก็เรียกว่าคู่สมรส......งงพะย่ะค่ะ   งงสิครับ  คนไกลปืนเที่ยงตามไม่ทันหรอก    และกว่าคำใหม่ๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาจะอยู่ในสมอง   คนในเมืองก็ประดิษฐ์คำใหม่ขึ้นมาให้งงอีกแล้ว    เฮ้อ....ไม่รู้ว่าการเรียกสุกรว่าหมู  ปลาสลิดว่าปลาใบไม้  สุนัขว่าหะมา  วานรว่าลิง   โคว่างัว  สามีว่าผัว  ภรรยาว่าเมีย ฯลฯ  นั้นมันไม่สุภาพตรงไหน??   เราใช้คำฟุ่มเฟือยโดยเกินเหตุไปหรือเปล่าเนี๊ยะ


ก้อเป็นเพลงเขียนขึ้นเพื่อความหรรษาละนะ   แต่มันก็สะท้อนให้เห็นอะไรที่เป็นความจริงในสังคมได้หลายอย่างทีเดียวแระ  


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่