Ep.1 เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมกับแฟนผมคบกันมาตั้งแต่ปี 2551 ช่วงนั้นเราต่างคนต่างเรียนอยู่ครับ
ได้มาเจอกันบ้างเป็นครั้งคราว ได้เพียงแค่โทรคุยกันเอาน่ะครับ มีบ้างที่มีปัญหากัน บ่อยครั้งเธอบอกเลิกผม
ผมก็ได้แค่ตามโทรง้อเธอ ส่งข้อความง้อเธอบ้าง เธอก็กลับมาคุยกันต่อ จนกระทั้งผมเรียนจบ ปวส.ในปี 2553 แต่เธอแต่เธอกำลังจะขึ้นปี 2
ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจีงหวัดชลบุรี (อ่อลืมบางไปครับทางบ้านผมฐานะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมทำงานส่งตัวเองเรียนจบ)
หลังจากเรียนจบชีวิตก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่ใครหลายคนคิดไว้ว่าต้องได้งานดีๆทำเลย ผมเรียนช่างก่อสร้างมาน่ะครับ แต่ติดที่ยังไม่ผ่านการเกณฑ์ทหาร
หลายๆบริษัทจึงยังไม่รับเข้าทำงานไปสมัครทุกที่ครับที่เปิดรับแต่ก็ต้องเจอกับคำถามเดิมๆที่ว่า "คุณเกณฑ์ทหารรึยัง" พอตอบว่ายังหลายที่ก็บอกให้ผมค่อยมาสมัครใหม่ ผมจึงต้องไปทำงานเป็นคนงานก่อสร้างกับพี่ชายอยู่สักระยะหนึ่งในจังหวัดชลบุรี จึงโชคดีครับได้งานอย่างที่หวัง หลังจากที่ผมได้งานก็ริ่มเก็บเงินได้บ้างนิดหน่อยซื้อรถมอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน เพื่อที่จะขับไปหาแฟนที่อยู่ห่างกันเกือบ 40 กิโลเมตร ไปๆมาอยู่สักระยะใหญ่ๆ ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนะครับ
เธอบอกไม่อยากคบกันอีกในใจผมได้แต่งงจึงสงสัยจึงได้รู้ความจริงว่าเธอคบใครคนนึงอยู่ ก็ตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้าตามแบบคนอกหักทั่วๆไป
งานก็ไม่มีกำลังใจทำครับ จึงตัดสินใจย้ายที่ทำงานเข้ามาอยู่ในกรุงเทพเพื่อหนีความเศร้า แต่ถึงแม้จะทำอย่างไรก็หนีไม่พ้นใช่มั้ยครับระหว่างนั่งรถเมล์ไปทำงานมองไปนอกหน้าต่างก็ซึมแล้วครับ เป็นแบบนี้อยู่ห้าหกเดือนเหมือนมีอะไรมาเหยียบซำ้ เขาโทรมาหาผมอีกครั้งตอนกลางคืน ในตอนนั้นที่ผมยังอ่อนแออยู่เพราะผมไม่ยังไม่ได้คบใครใหม่ด้วยครับ เธอโทรมาเสียงเธอร้องให้ บอกว่าเธอโดนคนใหม่าทำร้ายเธอแล้วตอนนี้เธอได้เลิกลากันไปแล้ว
ส่วนในใจผมต่อให้รู้ว่าเธอไม่ได้รักผมก็ไม่อาจกั้นความห่วงใยที่ผมมีให้เธอในวันนั้นได้ ผมจึงรีบนั่งรถจากกรุงเทพเพื่อไปหาเธอ และก็จะไปจัดการกับไอคนที่มันทำร้ายเธอ พอไปถึงความรักและความห่วงใยของผมก็กำเริบอีกครั้งบอกกับเธอว่าที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปจากนี้ไปฉันจะดูแลเธอเอง
ก็กลับมาคนกันไปมาหากันอีกเหมือนเดิม แต่ส่วนใหญ่ผมจะเป็นฝ่ายไปหาเธอซะมากกว่าเพราะไม่อยากให้เธอต้องลำบากครับยังไงผู้ชายก็ไปไหนมาไหนสะดวกกว่าผู้หญิงจริงมั้ยครับ (เดี๋ยวมาเล่าต่อนะครับ)
ควรไปต่อ หรือหยุดให้พอแค่นี้ดีครับ
ได้มาเจอกันบ้างเป็นครั้งคราว ได้เพียงแค่โทรคุยกันเอาน่ะครับ มีบ้างที่มีปัญหากัน บ่อยครั้งเธอบอกเลิกผม
ผมก็ได้แค่ตามโทรง้อเธอ ส่งข้อความง้อเธอบ้าง เธอก็กลับมาคุยกันต่อ จนกระทั้งผมเรียนจบ ปวส.ในปี 2553 แต่เธอแต่เธอกำลังจะขึ้นปี 2
ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจีงหวัดชลบุรี (อ่อลืมบางไปครับทางบ้านผมฐานะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมทำงานส่งตัวเองเรียนจบ)
หลังจากเรียนจบชีวิตก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่ใครหลายคนคิดไว้ว่าต้องได้งานดีๆทำเลย ผมเรียนช่างก่อสร้างมาน่ะครับ แต่ติดที่ยังไม่ผ่านการเกณฑ์ทหาร
หลายๆบริษัทจึงยังไม่รับเข้าทำงานไปสมัครทุกที่ครับที่เปิดรับแต่ก็ต้องเจอกับคำถามเดิมๆที่ว่า "คุณเกณฑ์ทหารรึยัง" พอตอบว่ายังหลายที่ก็บอกให้ผมค่อยมาสมัครใหม่ ผมจึงต้องไปทำงานเป็นคนงานก่อสร้างกับพี่ชายอยู่สักระยะหนึ่งในจังหวัดชลบุรี จึงโชคดีครับได้งานอย่างที่หวัง หลังจากที่ผมได้งานก็ริ่มเก็บเงินได้บ้างนิดหน่อยซื้อรถมอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน เพื่อที่จะขับไปหาแฟนที่อยู่ห่างกันเกือบ 40 กิโลเมตร ไปๆมาอยู่สักระยะใหญ่ๆ ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนะครับ
เธอบอกไม่อยากคบกันอีกในใจผมได้แต่งงจึงสงสัยจึงได้รู้ความจริงว่าเธอคบใครคนนึงอยู่ ก็ตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้าตามแบบคนอกหักทั่วๆไป
งานก็ไม่มีกำลังใจทำครับ จึงตัดสินใจย้ายที่ทำงานเข้ามาอยู่ในกรุงเทพเพื่อหนีความเศร้า แต่ถึงแม้จะทำอย่างไรก็หนีไม่พ้นใช่มั้ยครับระหว่างนั่งรถเมล์ไปทำงานมองไปนอกหน้าต่างก็ซึมแล้วครับ เป็นแบบนี้อยู่ห้าหกเดือนเหมือนมีอะไรมาเหยียบซำ้ เขาโทรมาหาผมอีกครั้งตอนกลางคืน ในตอนนั้นที่ผมยังอ่อนแออยู่เพราะผมไม่ยังไม่ได้คบใครใหม่ด้วยครับ เธอโทรมาเสียงเธอร้องให้ บอกว่าเธอโดนคนใหม่าทำร้ายเธอแล้วตอนนี้เธอได้เลิกลากันไปแล้ว
ส่วนในใจผมต่อให้รู้ว่าเธอไม่ได้รักผมก็ไม่อาจกั้นความห่วงใยที่ผมมีให้เธอในวันนั้นได้ ผมจึงรีบนั่งรถจากกรุงเทพเพื่อไปหาเธอ และก็จะไปจัดการกับไอคนที่มันทำร้ายเธอ พอไปถึงความรักและความห่วงใยของผมก็กำเริบอีกครั้งบอกกับเธอว่าที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปจากนี้ไปฉันจะดูแลเธอเอง
ก็กลับมาคนกันไปมาหากันอีกเหมือนเดิม แต่ส่วนใหญ่ผมจะเป็นฝ่ายไปหาเธอซะมากกว่าเพราะไม่อยากให้เธอต้องลำบากครับยังไงผู้ชายก็ไปไหนมาไหนสะดวกกว่าผู้หญิงจริงมั้ยครับ (เดี๋ยวมาเล่าต่อนะครับ)