หลายคนตำนิไทยบอกว่ารถไฟความเร็วสูงของเราคืบหน้าช้ากว่าชาวบ้าน
แต่หากเจาะลึกลงไปในรายละเอียด จะเห็นว่าฝ่ายไทยเราเจรจาอย่ารอบครอบมาก
ถ้าเราปล่อยเลยตามเลยตั้งแต่แรก เราอาจเริ่มสร้างไปแล้ว แต่ผลในระยะยาวจะตามมาหลอกหลอนแน่ๆ
โครงการรถไฟความเร็วสูงในลาว มักถูกยกมาเทียบกับไทย
โดยมักจะโจมตีว่าว่าทำไมลาวถึงได้ ดอกเบี้ยราคาถูกกว่า ใด้วงเงินกู้มากกว่า และระยะทางต่อกิโลเมตรถูกกว่านิดหน่อย
ก็แน่นอนหล่ะ ในเมื่อลาวมีออฟชั่นนอกรอบในการให้สัมปทาน เหมืองใหญ่สี่แห่งกับจีน และสัมปทานการพัฒนาพื้นที่บริเวณที่รถไฟผ่าน
ยังไม่รวมด้านอื่นๆที่ลาวร่วมทำกับจีนอยู่แล้วอีกหลายโครการ
การที่ได้ผลตอบแทนทางอื่นมาประกันความเสี่ยง จีนก็พร้อมยื่นข้อเสนอที่ดีมากๆให้ลาวเพื่อเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทนเช่นกัน
ส่วนไทยที่ไม่มีออฟชั่นเหล่านี้ แต่จะขอดอกเบี้ยเท่ากับลาว ขอวงเงินกู้สูงๆ
แถมจะให้ทางจีน เพิ่มเปอร์เซนต์การถือหุ้น (ถือหุ้นมาก ขาดทุนมากก็ยิ่งเข้าตัวมาก)
คือถ้าจีนยอม ถ้าไม่บ้าก็เมากาวแล้ว
เงินก็กู้จากตรู ดอกเบี้ยก็จะเอาต่ำติดดิน แถมให้ตรูถือหุ้นเยอะๆ ขาดทุนมาตรูก็รับไปเต็มๆ
จีนเค้าก็ไม่โง่หรอก แต่ฝ่ายไทยก็เขี้ยวลากดินพอตัว
งั้นเปลี่ยนใหม่ไทยลงทุนเองทั้งหมด ไทยลงทุนเองหมายถึงเราวิ่งหาแหล่งเงินกู้ต่ำจากแหล่งอื่นได้โดยไม่ติดพันธ๋สัญญากับจีน
พวกผลประโยชน์ ต่างๆ พวกพื้นที่ที่ทางรถไฟเราก็บริหารจัดการเอง
จีนเองก็ดูจะแฮปปักว่าเดิม ไม่ใช่อะไรก็จะโยนภาระให้จีนทั้งหมด
ส่วนราคาก่อสร้าง ก็เจรจากันอยู่ ช่วงใหนไม่ต้องยกพื้นได้ก็ไม่ต้องยก ราคาจะได้ไม่แพงทะลุโลกไปกว่านี้
จากสัญาตอนแรกที่จีนยื่นมา ที่ดูไทยออกจะเสียเปรียบ(แผนแรกนี่ไทยเสียเปรียบเยอะเลย ดีที่คนเจรจาฝ่ายไทยฉลาดพอ)
คุยไปคุยมาจนไทยได้เปรียบทุกประตู จนทางจีนงอนจนแทบจะถอนตัว
ตอนนี้สัญญากลับมาวินๆทั้งคู่ เหลือแค่ราคาแล้วที่นี้ว่าจะเคาะออกมาที่เท่าไหร่ ให้พอใจกันทั้งสองฝ่าย
ถ้าใครบอกว่าไทยเจรจารถไฟความเร็วสูงล่าช้า ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ เราเจรจาอย่างรอบครอบมากกว่า
มาดูที่อินโดนีเซีย ที่ประกาศสร้างก่อนใครเพื่อน เจรจาแป๊บๆ ประกาศ สร้างซะแล้ว
เนื่องด้วยประธานาธิบดี อยากมีผลงาน ก็เร่งซะ ขอให้ได้สร้างอย่างอื่นค่อยว่ากัน
พอสร้างจริงปัญหามาเพียบ ดูยังไงก็คงได้เรื้อสัญญาทำกันใหม่
ถ้าจะแก้สัญญาเพื่อหาแหล่งเงินกู้จากแหล่งใหม่ จีนคงไม่ยอม ถ้ายอมย่างน้อยเงินกู้ที่กู้จากจีนดอกเบี้ยคงเพิ่มขึ้นแน่
วงเงินการก่อสร้างก็อาจจะเพิ่มอีกบาน
ของไทยช้าแต่ชัวร์ดีแล้วหล่ะ
http://www.thansettakij.com/2016/08/20/85997
โครงการรถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุงซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างอินโดนีเซียและจีน ยังไม่ตั้งไข่ หลังวางศิลาฤกษ์โครงการเมื่อต้นปีล่วงเข้าครึ่งปีหลังวิบากกรรมยังซ้ำซัด ขาดความคืบหน้า พื้นที่สำคัญรายรอบเส้นทางยังไม่สามารถเวนคืน ส่งผลให้ธนาคารจีนแหล่งเงินทุนไม่ยอมปล่อยกู้ตามแผน หวั่นหากล่าช้ายืดเยื้อแนวโน้มเป็นไปได้ที่ผู้นำอินโดฯ อาจสั่งรื้อสัญญา
เพิ่งประกาศข่าวลงเสาเข็มโครงการไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่ในขณะนี้ การก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงสายแรกของอินโดนีเซีย เส้นทางระหว่างกรุงจาการ์ตาและเมืองบันดุง ก็ดูจะประสบภาวะชะงักงันแล้ว โดยบริษัทร่วมทุนอินโดนีเซีย-จีนที่ได้รับสัมปทานการก่อสร้างโครงการ แทบจะไม่ได้สร้างความคืบหน้าแม้ว่าเวลาจะผ่านไปครึ่งปีแล้วก็ตาม
รายงานข่าวระบุว่า มีหลากหลายปัจจัยที่ก่อให้เกิดความล่าช้าอย่างไม่คาดฝัน เช่น ความยากลำบากในการเวนคืนที่ดิน อุปสรรคในการขอใบอนุญาตตามกำหนดเงื่อนไขของทางภาครัฐ และปัญหาในด้านเงินทุน แม้กระทั่งประธานาธิบดี โจโค วิโดโด ที่มาเป็นประธานพิธีเปิดโครงการนี้เมื่อต้นปี ก็ยังพูดถึงโครงการดังกล่าวน้อยลงมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ส่วนบริเวณพื้นที่ทำพิธีเปิดโครงการเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจุดที่จะก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงเมืองบันดุง ยังคงมีสภาพเป็นพื้นที่ถมดินลูกรังแดงๆและมีคนงานนั่งปรับพื้นที่อยู่เพียงไม่กี่คน
บริษัทร่วมทุนที่ได้รับสัมปทานก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงสายนี้ คือบริษัท เคเรทา เซปัต อินโดนีเซีย ไชน่า (KCIC) ออกมายอมรับว่าโครงการแทบจะไม่มีความคืบหน้าเนื่องจากปัญหาสำคัญคือ ขาดแหล่งเงินทุนมาสนับสนุนโครงการซึ่งประมาณการณ์ว่าจะมีมูลค่ารวมที่เกือบๆ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 1.75 แสนล้านบาท ในตอนแรกนั้นบริษัทเชื่อว่าจะสามารถหาแหล่งเงินกู้ได้จากบรรดาธนาคารของจีน แต่สุดท้ายแล้วการเจรจาเรื่องเงินกู้ก็แทบจะไม่มีอะไรคืบหน้าเช่นกัน
ปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงสถานะการเงินของโครงการ นายฮังโกโร บูดี วิรยาวัน ประธาน KCIC กล่าวยอมรับทั้งน้ำตาว่า การระดมทุนสำหรับโครงการนี้ประสบความยากลำบากมาก ทั้งนี้ ฝ่ายธนาคารจีนหลายรายที่เป็นผู้ปล่อยกู้มาก้อนหนึ่งแล้ว ได้ปฏิเสธที่จะให้เงินกู้เพิ่มเนื่องจากโครงการมีปัญหาในการเวนคืนที่ดินล่าช้ากว่ากำหนด ทางผู้บริหารของ KCIC ก็ได้พยายามเจรจาทำความเข้าใจกับผู้ครอบครองที่ดินตามแนวทางที่เส้นทางรถไฟจะตัดผ่าน แต่สุดท้ายแล้วแม้กระทั่งพื้นที่ที่เป็นต้นทางและสุดปลายทางของสถานีก็ยังไม่สามารถเวนคืนพื้นที่มาเป็นของโครงการ
นอกจากนี้ KCIC ยังได้รับใบอนุญาตดำเนินการก่อสร้างโครงการสำหรับระยะทางเพียงไม่กี่กิโลเมตรจากระยะทางทั้งหมด 140 กิโลเมตร เนื่องจากเส้นทางบางส่วนที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตนั้นเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลอินโดนีเซียเข้มงวดในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่สุ่มเสี่ยงต่อพายุฝน ฟ้าผ่า และสภาพอากาศที่เลวร้าย แหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์ออกนามยังระบุด้วยว่า บางฝ่ายยังได้หยิบยกประเด็นความคุ้มค่าและประโยชน์ของโครงการขึ้นมาแสดงท่าทีคัดค้านหลังจากที่มีการปรับเปลี่ยนแผน จากเดิมที่จะให้สถานีต้นทางเริ่มที่ใจกลางกรุงจาการ์ตา ปัจจุบันได้ขยับเลื่อนมาเป็นใกล้ๆสนามบินนานาชาติฮาลิม เพอร์ดา กุสุมา ซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางกรุงจาการ์ตาไปอีก 15 กิโลเมตร
ความล่าช้าดังกล่าวทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุงจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ทันในเดือนพฤษภาคม 2562 ตามที่วางแผนไว้หรือไม่ บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า ถึงแม้จะมีความล่าช้าอย่างชัดเจนของโครงการ แต่ผู้นำอินโดนีเซียก็ยังไม่มีท่าทีที่จะออกมาเร่งรัดหรือตำหนิติเตียนผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการแต่อย่างใด ซึ่งนักวิเคราะห์ระบุว่า ท่าทีดังกล่าวสะท้อนอิทธิพลของจีนที่มีต่อผู้นำรัฐบาลของอินโดนีเซีย การนิ่งเฉยไม่กล่าวถึงโครงการที่ล่าช้านี้ อาจจะเป็นการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่น่าลำบากใจ เพราะด้านหนึ่งรัฐบาลอาจจะเกรงใจจีน แต่อีกด้านก็คือประชาชนที่ทุกวันนี้เริ่มมองจีนอย่างไม่ไว้วางใจมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในปัจจุบันที่อินโดนีเซียกำลังประสบปัญหาแรงงานผิดกฎหมายจากจีนหลั่งไหลเข้ามาแย่งงานทำ หนำซ้ำจีนเองยังมีท่าทีแข็งกร้าวในกรณีข้อพิพาทหมู่เกาะสแปรตลีย์ในทะเลจีนใต้ ฉะนั้นภายใต้สถานการณ์ที่กดดันดังกล่าว จึงเป็นไปได้ว่าผู้นำอินโดนีเซียเลือกที่จะเลี่ยงพูดถึงโครงการร่วมทุนที่กำลังมีอยู่กับจีนในเวลานี้
แหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์ออกนามแสดงความเห็นว่า ประธานาธิบดีวิโดโดของอินโดนีเซียเป็นคนคิดเร็วตัดสินใจเร็ว และโครงการนี้ก็เป็นโครงการแห่งความภูมิใจที่เกิดขึ้นในเทอมแรกของการดำรงตำแหน่งของเขา ดังนั้น จึงยังมีความเป็นไปได้ที่ว่าหากโครงการไม่คืบหน้า เขาอาจสั่งรื้อทบทวนสัญญาโครงการก็เป็นได้
รถไฟความเร็วสูงอินโดนีเซียโคม่า รีบเกินไปผลก็เป็นอย่างที่เห็น
แต่หากเจาะลึกลงไปในรายละเอียด จะเห็นว่าฝ่ายไทยเราเจรจาอย่ารอบครอบมาก
ถ้าเราปล่อยเลยตามเลยตั้งแต่แรก เราอาจเริ่มสร้างไปแล้ว แต่ผลในระยะยาวจะตามมาหลอกหลอนแน่ๆ
โครงการรถไฟความเร็วสูงในลาว มักถูกยกมาเทียบกับไทย
โดยมักจะโจมตีว่าว่าทำไมลาวถึงได้ ดอกเบี้ยราคาถูกกว่า ใด้วงเงินกู้มากกว่า และระยะทางต่อกิโลเมตรถูกกว่านิดหน่อย
ก็แน่นอนหล่ะ ในเมื่อลาวมีออฟชั่นนอกรอบในการให้สัมปทาน เหมืองใหญ่สี่แห่งกับจีน และสัมปทานการพัฒนาพื้นที่บริเวณที่รถไฟผ่าน
ยังไม่รวมด้านอื่นๆที่ลาวร่วมทำกับจีนอยู่แล้วอีกหลายโครการ
การที่ได้ผลตอบแทนทางอื่นมาประกันความเสี่ยง จีนก็พร้อมยื่นข้อเสนอที่ดีมากๆให้ลาวเพื่อเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทนเช่นกัน
ส่วนไทยที่ไม่มีออฟชั่นเหล่านี้ แต่จะขอดอกเบี้ยเท่ากับลาว ขอวงเงินกู้สูงๆ
แถมจะให้ทางจีน เพิ่มเปอร์เซนต์การถือหุ้น (ถือหุ้นมาก ขาดทุนมากก็ยิ่งเข้าตัวมาก)
คือถ้าจีนยอม ถ้าไม่บ้าก็เมากาวแล้ว
เงินก็กู้จากตรู ดอกเบี้ยก็จะเอาต่ำติดดิน แถมให้ตรูถือหุ้นเยอะๆ ขาดทุนมาตรูก็รับไปเต็มๆ
จีนเค้าก็ไม่โง่หรอก แต่ฝ่ายไทยก็เขี้ยวลากดินพอตัว
งั้นเปลี่ยนใหม่ไทยลงทุนเองทั้งหมด ไทยลงทุนเองหมายถึงเราวิ่งหาแหล่งเงินกู้ต่ำจากแหล่งอื่นได้โดยไม่ติดพันธ๋สัญญากับจีน
พวกผลประโยชน์ ต่างๆ พวกพื้นที่ที่ทางรถไฟเราก็บริหารจัดการเอง
จีนเองก็ดูจะแฮปปักว่าเดิม ไม่ใช่อะไรก็จะโยนภาระให้จีนทั้งหมด
ส่วนราคาก่อสร้าง ก็เจรจากันอยู่ ช่วงใหนไม่ต้องยกพื้นได้ก็ไม่ต้องยก ราคาจะได้ไม่แพงทะลุโลกไปกว่านี้
จากสัญาตอนแรกที่จีนยื่นมา ที่ดูไทยออกจะเสียเปรียบ(แผนแรกนี่ไทยเสียเปรียบเยอะเลย ดีที่คนเจรจาฝ่ายไทยฉลาดพอ)
คุยไปคุยมาจนไทยได้เปรียบทุกประตู จนทางจีนงอนจนแทบจะถอนตัว
ตอนนี้สัญญากลับมาวินๆทั้งคู่ เหลือแค่ราคาแล้วที่นี้ว่าจะเคาะออกมาที่เท่าไหร่ ให้พอใจกันทั้งสองฝ่าย
ถ้าใครบอกว่าไทยเจรจารถไฟความเร็วสูงล่าช้า ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ เราเจรจาอย่างรอบครอบมากกว่า
มาดูที่อินโดนีเซีย ที่ประกาศสร้างก่อนใครเพื่อน เจรจาแป๊บๆ ประกาศ สร้างซะแล้ว
เนื่องด้วยประธานาธิบดี อยากมีผลงาน ก็เร่งซะ ขอให้ได้สร้างอย่างอื่นค่อยว่ากัน
พอสร้างจริงปัญหามาเพียบ ดูยังไงก็คงได้เรื้อสัญญาทำกันใหม่
ถ้าจะแก้สัญญาเพื่อหาแหล่งเงินกู้จากแหล่งใหม่ จีนคงไม่ยอม ถ้ายอมย่างน้อยเงินกู้ที่กู้จากจีนดอกเบี้ยคงเพิ่มขึ้นแน่
วงเงินการก่อสร้างก็อาจจะเพิ่มอีกบาน
ของไทยช้าแต่ชัวร์ดีแล้วหล่ะ
http://www.thansettakij.com/2016/08/20/85997
โครงการรถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุงซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างอินโดนีเซียและจีน ยังไม่ตั้งไข่ หลังวางศิลาฤกษ์โครงการเมื่อต้นปีล่วงเข้าครึ่งปีหลังวิบากกรรมยังซ้ำซัด ขาดความคืบหน้า พื้นที่สำคัญรายรอบเส้นทางยังไม่สามารถเวนคืน ส่งผลให้ธนาคารจีนแหล่งเงินทุนไม่ยอมปล่อยกู้ตามแผน หวั่นหากล่าช้ายืดเยื้อแนวโน้มเป็นไปได้ที่ผู้นำอินโดฯ อาจสั่งรื้อสัญญา
เพิ่งประกาศข่าวลงเสาเข็มโครงการไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่ในขณะนี้ การก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงสายแรกของอินโดนีเซีย เส้นทางระหว่างกรุงจาการ์ตาและเมืองบันดุง ก็ดูจะประสบภาวะชะงักงันแล้ว โดยบริษัทร่วมทุนอินโดนีเซีย-จีนที่ได้รับสัมปทานการก่อสร้างโครงการ แทบจะไม่ได้สร้างความคืบหน้าแม้ว่าเวลาจะผ่านไปครึ่งปีแล้วก็ตาม
รายงานข่าวระบุว่า มีหลากหลายปัจจัยที่ก่อให้เกิดความล่าช้าอย่างไม่คาดฝัน เช่น ความยากลำบากในการเวนคืนที่ดิน อุปสรรคในการขอใบอนุญาตตามกำหนดเงื่อนไขของทางภาครัฐ และปัญหาในด้านเงินทุน แม้กระทั่งประธานาธิบดี โจโค วิโดโด ที่มาเป็นประธานพิธีเปิดโครงการนี้เมื่อต้นปี ก็ยังพูดถึงโครงการดังกล่าวน้อยลงมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ส่วนบริเวณพื้นที่ทำพิธีเปิดโครงการเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจุดที่จะก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงเมืองบันดุง ยังคงมีสภาพเป็นพื้นที่ถมดินลูกรังแดงๆและมีคนงานนั่งปรับพื้นที่อยู่เพียงไม่กี่คน
บริษัทร่วมทุนที่ได้รับสัมปทานก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงสายนี้ คือบริษัท เคเรทา เซปัต อินโดนีเซีย ไชน่า (KCIC) ออกมายอมรับว่าโครงการแทบจะไม่มีความคืบหน้าเนื่องจากปัญหาสำคัญคือ ขาดแหล่งเงินทุนมาสนับสนุนโครงการซึ่งประมาณการณ์ว่าจะมีมูลค่ารวมที่เกือบๆ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 1.75 แสนล้านบาท ในตอนแรกนั้นบริษัทเชื่อว่าจะสามารถหาแหล่งเงินกู้ได้จากบรรดาธนาคารของจีน แต่สุดท้ายแล้วการเจรจาเรื่องเงินกู้ก็แทบจะไม่มีอะไรคืบหน้าเช่นกัน
ปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงสถานะการเงินของโครงการ นายฮังโกโร บูดี วิรยาวัน ประธาน KCIC กล่าวยอมรับทั้งน้ำตาว่า การระดมทุนสำหรับโครงการนี้ประสบความยากลำบากมาก ทั้งนี้ ฝ่ายธนาคารจีนหลายรายที่เป็นผู้ปล่อยกู้มาก้อนหนึ่งแล้ว ได้ปฏิเสธที่จะให้เงินกู้เพิ่มเนื่องจากโครงการมีปัญหาในการเวนคืนที่ดินล่าช้ากว่ากำหนด ทางผู้บริหารของ KCIC ก็ได้พยายามเจรจาทำความเข้าใจกับผู้ครอบครองที่ดินตามแนวทางที่เส้นทางรถไฟจะตัดผ่าน แต่สุดท้ายแล้วแม้กระทั่งพื้นที่ที่เป็นต้นทางและสุดปลายทางของสถานีก็ยังไม่สามารถเวนคืนพื้นที่มาเป็นของโครงการ
นอกจากนี้ KCIC ยังได้รับใบอนุญาตดำเนินการก่อสร้างโครงการสำหรับระยะทางเพียงไม่กี่กิโลเมตรจากระยะทางทั้งหมด 140 กิโลเมตร เนื่องจากเส้นทางบางส่วนที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตนั้นเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลอินโดนีเซียเข้มงวดในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่สุ่มเสี่ยงต่อพายุฝน ฟ้าผ่า และสภาพอากาศที่เลวร้าย แหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์ออกนามยังระบุด้วยว่า บางฝ่ายยังได้หยิบยกประเด็นความคุ้มค่าและประโยชน์ของโครงการขึ้นมาแสดงท่าทีคัดค้านหลังจากที่มีการปรับเปลี่ยนแผน จากเดิมที่จะให้สถานีต้นทางเริ่มที่ใจกลางกรุงจาการ์ตา ปัจจุบันได้ขยับเลื่อนมาเป็นใกล้ๆสนามบินนานาชาติฮาลิม เพอร์ดา กุสุมา ซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางกรุงจาการ์ตาไปอีก 15 กิโลเมตร
ความล่าช้าดังกล่าวทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุงจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ทันในเดือนพฤษภาคม 2562 ตามที่วางแผนไว้หรือไม่ บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า ถึงแม้จะมีความล่าช้าอย่างชัดเจนของโครงการ แต่ผู้นำอินโดนีเซียก็ยังไม่มีท่าทีที่จะออกมาเร่งรัดหรือตำหนิติเตียนผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการแต่อย่างใด ซึ่งนักวิเคราะห์ระบุว่า ท่าทีดังกล่าวสะท้อนอิทธิพลของจีนที่มีต่อผู้นำรัฐบาลของอินโดนีเซีย การนิ่งเฉยไม่กล่าวถึงโครงการที่ล่าช้านี้ อาจจะเป็นการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่น่าลำบากใจ เพราะด้านหนึ่งรัฐบาลอาจจะเกรงใจจีน แต่อีกด้านก็คือประชาชนที่ทุกวันนี้เริ่มมองจีนอย่างไม่ไว้วางใจมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในปัจจุบันที่อินโดนีเซียกำลังประสบปัญหาแรงงานผิดกฎหมายจากจีนหลั่งไหลเข้ามาแย่งงานทำ หนำซ้ำจีนเองยังมีท่าทีแข็งกร้าวในกรณีข้อพิพาทหมู่เกาะสแปรตลีย์ในทะเลจีนใต้ ฉะนั้นภายใต้สถานการณ์ที่กดดันดังกล่าว จึงเป็นไปได้ว่าผู้นำอินโดนีเซียเลือกที่จะเลี่ยงพูดถึงโครงการร่วมทุนที่กำลังมีอยู่กับจีนในเวลานี้
แหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์ออกนามแสดงความเห็นว่า ประธานาธิบดีวิโดโดของอินโดนีเซียเป็นคนคิดเร็วตัดสินใจเร็ว และโครงการนี้ก็เป็นโครงการแห่งความภูมิใจที่เกิดขึ้นในเทอมแรกของการดำรงตำแหน่งของเขา ดังนั้น จึงยังมีความเป็นไปได้ที่ว่าหากโครงการไม่คืบหน้า เขาอาจสั่งรื้อทบทวนสัญญาโครงการก็เป็นได้