ปิดฉากไปเรียบร้อยแล้วสำหรับโอลิมปิก 2016 ที่เมืองริโอ เด จาเนโร ประเทศบราซิล แล้วอีก 4 ปีข้างหน้าจะพบกันอีกครั้งที่เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ดิฉันตั้งคำถาม 2 ประเด็นในกระทู้เดียว (ขี้เกียจตั้งแยกต่างหาก) เลยดีกว่า
ประเด็นแรก จงบอกเรื่องราวที่ประทับใจที่สุดในโอลิมปิก 2016 ไม่ว่าจะเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีเปิดหรือปิด รวมทั้งการแข่งขันของผู้ชนะหรือแพ้ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่นักกีฬาทุกคนควรต้องมีคือน้ำใจนักกีฬา และกีฬาประเภทไหนที่ทำให้คุณรู้สึกประทับใจมากที่สุดตลอดโอลิมปิก 2016
ส่วนตัวคิดว่าเรื่องประทับใจที่สุดคือ ไมเคิล เฟลป์ส คว้า 5 เหรียญทอง และ 1 เหรียญเงินในโอลิมปิกครั้งสุดท้ายของเขา ทุกครั้งที่ได้เหรียญเจ้าตัวมาหาลูกชายที่เพิ่งคลอดดูลึกซึ้งมาก และที่สำคัญทัพนักกีฬาไทยในโอลิมปิกครั้งนี้คว้า 2 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง ซึ่งจำนวนได้เหรียญดีกว่าลอนดอน 2012 ทีได้แค่ 2 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง ตอนที่น้องแนน โสภิตา และน้องฝ้าย สุกัญญา ได้เหรียญทองโอลิมปิก ตอนมอบเหรียญได้ยินเสียงเพลงชาติไทยอีกครั้งในรอบ 8 ปี ตั้งแต่ปักกิ่ง 2008 เป็นช่วงเวลาที่ประทับใจสุดๆ
ประเด็นที่สองเกี่ยวกับโอลิมปิก 2020 สิ่งควรจะเปลี่ยนแปลง และเกิดขึ้นไปทางที่ดีในอีก 4 ปีข้างหน้ามีอะไรบ้าง?
ส่วนตัวมองว่ามี 3 อย่างที่ต้องเปลี่ยนแปลง ได้แก่
1.นักกีฬาไทยควรพัฒนาศักยภาพให้ดีกว่านี้ทุกชนิดกีฬา ทั้งโอลิมปิก เอเชียนเกมส์ ซีเกมส์ และรายการกีฬาอื่นๆ และทางผู้ใหญ่ทางสมาคมทุกกีฬาควรจริงจัง ใส่ใจ และสนับสนุนอย่างเต็มที่ ไม่ใช่สร้างภาพเมื่อนักกีฬาได้เหรียญหรือรางวัลอย่างเดียว ซึ่งโอลิมปิกครั้งนี้ทัพนักกีฬาสู้อย่างเต็มที่ จนได้ 2 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง ได้มาจากยกน้ำหนัก และเทควันโด ไม่แน่ครั้งต่อไปอาจจะได้เหรียญจากกีฬาชนิดอื่น หลังจากครั้งนี้หมดหวังจากแบตมินตัน,กอล์ฟ,จักรยานบีเอ็มเอซ และยิงปืน แต่น่าผิดหวังสุดๆคือมวยสากลสมัครเล่น ซึ่งส่งแค่ 5 คน ชาย 4 หญิง 1 แต่ไม่ได้เหรียญ แม้ว่าจะสู้อย่างเต็มที่แล้ว แต่กลับโดนโกง จนกลายเป็นกีฬาสีเทาไปแล้ว ไอบ้าควรจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ล้างอำนาจเก่า และกลับมาใช้บอกคะแนนระหว่างการแข่งขันเหมือนครั้งก่อนๆ เท่าที่จำได้ตอนโอลิมปิกที่ซิดนี่ย์ 2000 ส่งนักมวยตั้ง 9 รุ่น นอกจากนี้ครั้งต่อไป มีกีฬาสาธิต 5 ชนิด อย่าง เบสบอล-ซอลฟ์บอล,คาราเต้,กระดานโต้คลื่น,สเก็ตบอร์ด และปืนหน้าผา ซึ่งเป็นกีฬาใหม่ที่ท้าทาย และต้องพัฒนาศักยภาพให้มากกว่านี้ ไม่แน่อาจจะส่งนักกีฬาไทยเข้าร่วมการแข่งขันในกีฬาดังกล่าวก็ได้ (อาจจะไม่ทั้งหมด)
2.ส่วนเรื่องการถ่ายทอดสดทางฟรีทีวี ทรท. ควรใจปล้ำซื้อลิขสิทธิ์แบบ HD เพราะสมัยนี้คนนิยมชอบดูความคมชัดสูง และถ่ายฟรีทีวีทุกช่อง(หรืออาจะกระจายทางทีวีดิจิตอล) ในช่วงวันและเวลาไล่เลี่ยกัน เหมือน 20-30 ปีก่อน เท่าที่จำได้ตอนซีเกมส์ทีเชียงใหม่ปี 38 ,เอเชียนเกมส์ที่กรุงเทพปี 41 หรือรายการกีฬาอื่นๆ ถ่ายทอดสดในวันและเวลาไล่เลี่ยกัน แต่คนละชนิดกีฬา ให้ดูได้ตามอำเภอใจ เท่าที่ทราบมาขาดทุนตั้งร้อยล้าน เพราะคนส่วนใหญ่นิยมดูทางสตรีมมิ่งที่มีความหลากหลายกว่า เข้าใจว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปที่นิยมดูทางอินเตอร์เน็ตมากกว่าทางทีวี แถมถ่ายดึก คนดูน้อย เอาเทปแห้งๆมาให้ดู และตัดบางช่วงบางตอนแบบดื้อๆ ไหนๆครั้งหน้าได้ติดตามถ่ายทอดสดง่ายขึ้น เพราะเวลาเร็วกว่าบ้านเราแค่ 2 ชั่วโมง อารมณ์คล้ายๆตอนปักกิ่ง 2008 หรือบอลโลก 2002 และควรสละเวลารายการทางสถานี แล้วถ่ายทอดสดกีฬาสำคัญมาให้ชมกัน เพราะดูจากครั้งนี้ผิดหวังกับบางช่องที่สัญญาว่าจะถ่ายกีฬานั้นมาให้ดู แต่พอถึงเวลานั้นจริงๆกลับไม่ถ่ายทอดเลย ออกอากาศแต่รายการตามปกติทางสถานีเพื่อโกยเรตติ้ง
3.ความคาดหวังใน Tokyo 2020 ที่จะเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดีขึ้นกว่า Rio 2016 ในเรื่องความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพ ทั้งสถานที่การแข่งขัน ส่วนใหญ่มีแต่สนามที่เปิดใช้แล้ว (ส่วนใหญ่ในช่วงโอลิมปิก 1964 และฟุตบอลโลก 2002) และใช้กีฬาหลายชนิด แม้อาจจะล่าช้าโดยเฉพาะแบบสนามกีฬาแห่งชาติที่งบประมาณสูงเลยต้องเปลี่ยนแบบใหม่ รวมทั้งการท่องเที่ยวของโตเกียวและญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี และนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นในช่วงปีในการแข่งขัน ซึ่งเป็นส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่น การที่ญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกอีกครั้ง เป็นสัญญาณบ่งบอกก้าวไปข้างหน้าของญี่ปุ่น หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่,คลื่นสึนามิ และการรั่วไหลของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะไดอิจิเมื่อปี 2011 ไม่ต่างอะไรจากการเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 1964 ในช่วงที่ญี่ปุ่นฟื้นฟูหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนเรื่องพิธีเปิดหรือปิดอาจจะมีการแสดงโชว์ความร่วมสมัย หรือโชว์ Pop-Culture ของญี่ปุ่น ทั้งเพลง,แฟชั่น หรือการ์ตูนญี่ปุ่น และต้องอลังการกว่า Rio 2016 หากไม่มีอะไรมาขัดข้อง แค่เห็นโชว์ตอนพิธีปิดใน Rio 2016 ขอบอกว่าการนำเสนอมันเจ๋งจริงๆ
หลังเสร็จสิ้นโอลิมปิกมาร่วมส่งกำลังใจให้นักกีฬาพิการไทยในพาราลิมปิก 2016 ให้คว้าชัย และอีก 4 ปีข้างหน้า เจอกันอีกครั้งที่โตเกียว
จงบอกเรื่องราวประทับใจใน Rio 2016 และสิ่งที่ควรจะเปลี่ยนแปลงใน Tokyo 2020
ประเด็นแรก จงบอกเรื่องราวที่ประทับใจที่สุดในโอลิมปิก 2016 ไม่ว่าจะเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีเปิดหรือปิด รวมทั้งการแข่งขันของผู้ชนะหรือแพ้ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่นักกีฬาทุกคนควรต้องมีคือน้ำใจนักกีฬา และกีฬาประเภทไหนที่ทำให้คุณรู้สึกประทับใจมากที่สุดตลอดโอลิมปิก 2016
ส่วนตัวคิดว่าเรื่องประทับใจที่สุดคือ ไมเคิล เฟลป์ส คว้า 5 เหรียญทอง และ 1 เหรียญเงินในโอลิมปิกครั้งสุดท้ายของเขา ทุกครั้งที่ได้เหรียญเจ้าตัวมาหาลูกชายที่เพิ่งคลอดดูลึกซึ้งมาก และที่สำคัญทัพนักกีฬาไทยในโอลิมปิกครั้งนี้คว้า 2 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง ซึ่งจำนวนได้เหรียญดีกว่าลอนดอน 2012 ทีได้แค่ 2 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง ตอนที่น้องแนน โสภิตา และน้องฝ้าย สุกัญญา ได้เหรียญทองโอลิมปิก ตอนมอบเหรียญได้ยินเสียงเพลงชาติไทยอีกครั้งในรอบ 8 ปี ตั้งแต่ปักกิ่ง 2008 เป็นช่วงเวลาที่ประทับใจสุดๆ
ประเด็นที่สองเกี่ยวกับโอลิมปิก 2020 สิ่งควรจะเปลี่ยนแปลง และเกิดขึ้นไปทางที่ดีในอีก 4 ปีข้างหน้ามีอะไรบ้าง?
ส่วนตัวมองว่ามี 3 อย่างที่ต้องเปลี่ยนแปลง ได้แก่
1.นักกีฬาไทยควรพัฒนาศักยภาพให้ดีกว่านี้ทุกชนิดกีฬา ทั้งโอลิมปิก เอเชียนเกมส์ ซีเกมส์ และรายการกีฬาอื่นๆ และทางผู้ใหญ่ทางสมาคมทุกกีฬาควรจริงจัง ใส่ใจ และสนับสนุนอย่างเต็มที่ ไม่ใช่สร้างภาพเมื่อนักกีฬาได้เหรียญหรือรางวัลอย่างเดียว ซึ่งโอลิมปิกครั้งนี้ทัพนักกีฬาสู้อย่างเต็มที่ จนได้ 2 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง ได้มาจากยกน้ำหนัก และเทควันโด ไม่แน่ครั้งต่อไปอาจจะได้เหรียญจากกีฬาชนิดอื่น หลังจากครั้งนี้หมดหวังจากแบตมินตัน,กอล์ฟ,จักรยานบีเอ็มเอซ และยิงปืน แต่น่าผิดหวังสุดๆคือมวยสากลสมัครเล่น ซึ่งส่งแค่ 5 คน ชาย 4 หญิง 1 แต่ไม่ได้เหรียญ แม้ว่าจะสู้อย่างเต็มที่แล้ว แต่กลับโดนโกง จนกลายเป็นกีฬาสีเทาไปแล้ว ไอบ้าควรจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ล้างอำนาจเก่า และกลับมาใช้บอกคะแนนระหว่างการแข่งขันเหมือนครั้งก่อนๆ เท่าที่จำได้ตอนโอลิมปิกที่ซิดนี่ย์ 2000 ส่งนักมวยตั้ง 9 รุ่น นอกจากนี้ครั้งต่อไป มีกีฬาสาธิต 5 ชนิด อย่าง เบสบอล-ซอลฟ์บอล,คาราเต้,กระดานโต้คลื่น,สเก็ตบอร์ด และปืนหน้าผา ซึ่งเป็นกีฬาใหม่ที่ท้าทาย และต้องพัฒนาศักยภาพให้มากกว่านี้ ไม่แน่อาจจะส่งนักกีฬาไทยเข้าร่วมการแข่งขันในกีฬาดังกล่าวก็ได้ (อาจจะไม่ทั้งหมด)
2.ส่วนเรื่องการถ่ายทอดสดทางฟรีทีวี ทรท. ควรใจปล้ำซื้อลิขสิทธิ์แบบ HD เพราะสมัยนี้คนนิยมชอบดูความคมชัดสูง และถ่ายฟรีทีวีทุกช่อง(หรืออาจะกระจายทางทีวีดิจิตอล) ในช่วงวันและเวลาไล่เลี่ยกัน เหมือน 20-30 ปีก่อน เท่าที่จำได้ตอนซีเกมส์ทีเชียงใหม่ปี 38 ,เอเชียนเกมส์ที่กรุงเทพปี 41 หรือรายการกีฬาอื่นๆ ถ่ายทอดสดในวันและเวลาไล่เลี่ยกัน แต่คนละชนิดกีฬา ให้ดูได้ตามอำเภอใจ เท่าที่ทราบมาขาดทุนตั้งร้อยล้าน เพราะคนส่วนใหญ่นิยมดูทางสตรีมมิ่งที่มีความหลากหลายกว่า เข้าใจว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปที่นิยมดูทางอินเตอร์เน็ตมากกว่าทางทีวี แถมถ่ายดึก คนดูน้อย เอาเทปแห้งๆมาให้ดู และตัดบางช่วงบางตอนแบบดื้อๆ ไหนๆครั้งหน้าได้ติดตามถ่ายทอดสดง่ายขึ้น เพราะเวลาเร็วกว่าบ้านเราแค่ 2 ชั่วโมง อารมณ์คล้ายๆตอนปักกิ่ง 2008 หรือบอลโลก 2002 และควรสละเวลารายการทางสถานี แล้วถ่ายทอดสดกีฬาสำคัญมาให้ชมกัน เพราะดูจากครั้งนี้ผิดหวังกับบางช่องที่สัญญาว่าจะถ่ายกีฬานั้นมาให้ดู แต่พอถึงเวลานั้นจริงๆกลับไม่ถ่ายทอดเลย ออกอากาศแต่รายการตามปกติทางสถานีเพื่อโกยเรตติ้ง
3.ความคาดหวังใน Tokyo 2020 ที่จะเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดีขึ้นกว่า Rio 2016 ในเรื่องความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพ ทั้งสถานที่การแข่งขัน ส่วนใหญ่มีแต่สนามที่เปิดใช้แล้ว (ส่วนใหญ่ในช่วงโอลิมปิก 1964 และฟุตบอลโลก 2002) และใช้กีฬาหลายชนิด แม้อาจจะล่าช้าโดยเฉพาะแบบสนามกีฬาแห่งชาติที่งบประมาณสูงเลยต้องเปลี่ยนแบบใหม่ รวมทั้งการท่องเที่ยวของโตเกียวและญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี และนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นในช่วงปีในการแข่งขัน ซึ่งเป็นส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่น การที่ญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกอีกครั้ง เป็นสัญญาณบ่งบอกก้าวไปข้างหน้าของญี่ปุ่น หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่,คลื่นสึนามิ และการรั่วไหลของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะไดอิจิเมื่อปี 2011 ไม่ต่างอะไรจากการเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 1964 ในช่วงที่ญี่ปุ่นฟื้นฟูหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนเรื่องพิธีเปิดหรือปิดอาจจะมีการแสดงโชว์ความร่วมสมัย หรือโชว์ Pop-Culture ของญี่ปุ่น ทั้งเพลง,แฟชั่น หรือการ์ตูนญี่ปุ่น และต้องอลังการกว่า Rio 2016 หากไม่มีอะไรมาขัดข้อง แค่เห็นโชว์ตอนพิธีปิดใน Rio 2016 ขอบอกว่าการนำเสนอมันเจ๋งจริงๆ
หลังเสร็จสิ้นโอลิมปิกมาร่วมส่งกำลังใจให้นักกีฬาพิการไทยในพาราลิมปิก 2016 ให้คว้าชัย และอีก 4 ปีข้างหน้า เจอกันอีกครั้งที่โตเกียว