Leh Ladakh; ทริปจบ ความทรงจำยังไม่จบ

Intro by P.

กระทู้นี้เป็นการท่องเที่ยวของหญิงผู้มีอันจะกิน (แปลว่ากินไม่หยุด หัวเราะ) 4 คน ที่คิดว่าชีวิตยังลำบากไม่พอ มีความเชื่อว่าสิ่งที่สวยงาม ยากต่อการได้มา นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ แฮร่...
ป่าวหรอก เรื่องมันมีอยู่ว่า หญิงวัยรุ่นตอนปลาย (หราาา ที่บ้านเรียกใกล้กลางคน) อยากจะไปปีนเขาที่เน้พ่าล Everest base camp ประมาณนี้ แต่ทางบ้านกลัวว่าจะไม่รอด เพื่อนสาวก็เซย์โน สุดท้ายหาทางออกให้ป้าว่า แกๆ ไปนี่มั้ย Leh Ladakh พอเห็นรูปเท่านั้นแหละ Yes ทันที ไม่คิดอะไรทั้งนั้น ช้านจิไป

เมื่อตกลงปลงใจกับแก๊งเพื่อนสาวทั้ง 4 นางได้ว่าเราจะไปเที่ยวช่วง 11-17 สค 59 ก็เริ่มวางแผนทันที อย่างว่าอะนะอายุอานามประมาณนี้ ถ้าจะให้แบกเป้ โบกรถก็คงมิไหว แต่จะให้ไปกะทัวร์ แหม กัวจะไม่ฟิน เราเลยเลือกวิธีกลางๆคือให้ทาง agency จองตั๋วราคาถูก และที่พักระดับ deluxe ให้ ซึ่งขอบอกเลยว่าตัดสินใจถูกที่สุดแล้ว (ช้อยส์ที่ด้อยกว่าคือ standard ส่วนที่หรูกว่าคือ premium) นอกจากนั้นทาง agency ได้จองรถสำหรับ 4 คน และคนขับท้องถิ่นให้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็น key person เลยนะ การเที่ยวใน Leh ต้องใช้รถยนต์เป็นส่วนใหญ่ ขับขึ้นเขาที่มีทั้งเหว น้ำตก หินถล่ม และเหล่าสัตว์ข้างทาง ดังนั้นคนขับดีถือว่ามีบุญมากๆ เจอคนขับไม่ดี อาจอ้วกแตกอ้วกแตนตลอดทางได้ สรุปค่าเสียหายประมาณ 30,000 บาท สำหรับ 7 วัน 6 คืน

เริ่มเดินทางกันเลย เราบินด้วย JET airways (BKK-New Delhi, New Delhi-Leh) เพราะช่วงที่ไปคือ 11-17 สค 59 ได้ราคาดีสุด การให้ agency จองให้มีข้อดีคือ สามารถ request ได้ว่า เค้าขอติดหน้าต่างทั้ง 4 คนเลยนะตัว เค้าอยากดูภูเขาสูงงงงง และวิวที่ได้คือ แถ่นแทนแถ้นนน

ภาพที่เห็นมันสุดจะบรรยาย อะไรคือภูเขาสีน้ำตาลล้านเฉดสุดลูกหูลูกตาขนาดนั้น เกิดมาไม่เคยเห็น น้ำตาจะไหล แต่ยิ่งกว่านั้นคือ คุณกัปตันคะ อะไรจะบินเอียงซ้ายเอียงขวาหลบเขาได้เก่งขนาดนั้น กราบบบ

เมื่อเดินทางถึงสนามบิน Leh เราสัมผัสได้เลยถึงความอบอุ่น ที่นี่เป็นประเทศอินเดียก็จริงแต่พรมแดนติดกับทิเบต ดังนั้นผู้คนจึงนับถือศาสนาพุธเป็นส่วนใหญ่ ทานมังสวิรัติ และที่สำคัญใจดีและใจเย็นมาก เจ้าหน้าที่สนามบินชาวลาดั้คกี้พูดเพราะยิ้มแย้ม (ต่างกันกับที่ New Delhi ที่เจ้าหน้าที่หน้าตาดุมาก และไม่ค่อยบริการลูกค้าเลย) เเละเมื่อผ่านตม.ออกมาด้วยความไม่ยุ่งยาก ก็มีชายหนุ่มหน้าตาทิเบ๊ตทิเบตมารอรับ อมยิ้ม17

หนุ่มคนนี้เองที่ทาง agency จัดมาให้เป็นผู้ประสานงานและเขาก็หาคนขับรถให้เรา พวกเราปรับตัวกับอากาศกันสักพัก ชมภูเขามองผู้คนและแล้วไม่นานรถของเราก็มารับ มันเป็น Toyota Innova สีขาว เหมาะสำหรับ 4 คนพอดี ตอนแรกก็แอบคิดนะ Toyota ที่บอบบางคันนี้รึที่จะพาเราตะลุยเขา และคนขับตัวดำๆที่ไม่พูดไม่จาเนี่ยนะที่จะขับพาไปไหนต่อไหน แต่คุณเอ๊ย บอกเลยว่า don't judge the book by it's cover! ทั้งรถคันนี้และคนๆนี้แหละ ที่พาเราไปไหนมาไหนจนจบทริป รักมากกกก บอกเลอ

ที่พักที่ทาง agency จองมาให้เราคือ Oriental guest house ห่างจากสนามบินไม่เกิน 15 นาที น่ารักมากถึงมากที่สุด ข้างหน้าที่พักมีลานกว้างซึ่งปลูกไม้ดอกนานาชนิด สีสดใส และมีผักสวนครัวปลูกด้วย เราทุกคนถึงกับตะลึง มันเกินกว่าที่คาดหมายมากๆเลย

ห้องพักของพวกเราเป็นห้องพักเตียง King size นอนกัน 2 คน ต่อ 1 ห้อง มีห้องน้ำในตัวและเป็นชักโครกด้วยล่ะ มีน้ำอุ่นด้วย โอ๊ยดีใจแรง เพื่อนๆอีกสามสาวพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าดีใจอะแกรรร ที่เราเลือกที่พัก deluxe แต่จริงๆแล้วก็ไม่รู้หรอกว่า standard กะ premium ต่างกะ deluxe แค่ไหน เอาเป็นว่าพอใจแย้วกะชีวิต
ก่อนจะเริ่มเที่ยวเราขอเกริ่นเรื่องการเตรียมตัวก่อนนะ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงอันดับแรกคือภาวะป่วยจากการอยู่ที่สูง (high altitude sickness) ซึง Leh นั้นสูงกว่าระดับน้ำทะเลหลายพันฟุต ส่วนที่ท่องเที่ยวอื่นๆก็อยู่ในระดับสูงหลักหมื่น ภาวะนี้อาจจะเป็นกับใครก็ได้ ไม่สำคัญว่าจะเเข็งแรงหรือฟิตแค่ไหน ดังนั้นการป้องกันคือทานยา Diamox 125-250 mg/day ก่อนไปสัก 10 วัน ให้คุณหมอสั่งให้นะคะ ยานี้ร้านยาขายให้ไม่ได้เป็นยาควบคุม เมื่อไปถึงที่สูงในวันแรกต้องให้ร่างกายปรับตัวก่อน อย่าเพิ่งออกแรงทำอะไรมาก จริงๆแล้วแค่เดินใกล้ยังเหนื่อยเลย เราทั้ง 4 ก็ถูกสั่งให้อยู่แต่ในที่พัก 3-4 ชม ซึ่งทำใจยากมากอ่าาา เมืองก็สวย ตลาดก็อยากเดิน สุดท้ายด้วยความเจียมสังขาร เลยนอนพักกัน ตื่นมาอีกที 16 น เย้ ได้เวลาไปเดินตลาด (Leh main market)

ตลาดของ Leh มีทั้งร้านเล็กๆที่ขายเสื้อผ้า ของฝาก กระเป๋า และเครื่องสำอางยี่ห้อดัง Himalaya ซึ่งข้าวของราคาถูกมากเลย ถูกจริงๆนะ ความสุขของนักช้อป และมีผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ พืช ผัก ผลไม้ ที่มาวางขายแบบแบกะดินโดยชาวลาดั้คกี้ เค้ายังใช้ตราชั่งแบบโบราณอยู่เลย ซึ่งจริงๆเราเห็นชั่งเอียงตลอดๆ เอียงแบบให้ลูกค้าได้กำไรนะ อมยิ้ม16
และวันแรกของพวกเราก็จบลงด้วยการเดินตลาด ได้ผลไม้ติดไม้ติดมือมาทานที่โรงแรม มีเรื่องต้องลุ้นอีกจนได้ก็คืออาหารเย็นของเราจะเป็นแบบไหนกันน้าา ที่พักต่างๆมักจะจัดอาหารเย็นค่อนข้างดึกคือประมาณ 19น (หรือ 21น ของบ้านเรา) ซึ่งหิ้วท้องรอ หิวมากกกกก สุดท้ายก็ถึงเวลาอาหาร อย่างที่เล่าตอนแรกว่าชาวลาดั้คกี้ส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัติ อาหารของพวกเราจึงเป็นพาสต้าชีส ซุปผัก ผัดผัก และข้าว สำหรับเราแล้วพอทานได้ไม่ได้มีกลิ่นเครื่องเทศแรงเกินไปแต่อย่างใด >,<

หมดวันแรกไปนะประการละฉะนี้ เดี๋ยวมาต่อวันที่ 2 นะจ๊ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่