ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุยสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก อเมริกากลาง อเมริกาใต้ และอัฟริกา 26 ประเทศ 74 วัน ตอนที่ 12 โปเลงเก้ ใต้สุดเม็กซิโก
(ตอนอยู่ตปท. ภาพนิ่งล้นไอโฟน จึงลบออกหลังโพสต์เพจแล้ว ส่วนพันทิปโหลดหน้ารีวิวไม่ได้ ต้องกลับมาทำใทย ตอนนี้ขอให้ชมยูทูปไปก่อน ถ้ารีบชมภาพนิ่ง ให้ไปที่เพจ ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก)
https://www.youtube.com/watch?v=qnN6o8Q2dXU&index=58&list=PLNNEpgjidh3peDayS3ikBCPP6tJVMso-6

พฤหัสบดีที่ 23 มิ.ย. เวลา 06.45 น. ถึงสถานีปาเลงเก้ รัฐ ชิอาปัส ใต้สุดขิงเม็กซิโก เจอน้อง Zuzanna จากสาธารณรัฐเชค เคยทำงานที่ปาเลงเก้ กลับมาเที่ยว 1 เดือน บอกวิธีการไป เมืองเก่าปาเลงเก้ ให้เดินลงถนน ไปที่เซนโตร้ แล้วหาดูรถไมโครบัสมีป้ายหน้ารถเขียนว่า Ruinas หรือ Zona Archeologica แต่ถ้าจะไป หมู่บ้าน San Christabal de las Cascade ต้องนั่งรถไป 9 ชม. ซื้อตั๋วที่ช่องขายตั๋ว
เดินไปถามคนขายตั๋ว ว่า รถไป Flores กัวเตมาลา ออกวันละกี่เที่ยว เขาบอกว่า ต้องไปซื้อตั๋วอีกที่หนึ่ง เขาพยายามอธิบาย พูดวนไปวนมา ในที่สุด เขาก็บอกว่า รอสักครู่
เขาโทรเรียกคนเข้ามาให้ เขา คือ Ivan Velazwuez Berganza ตัวแทนบริษัทท่องเที่ยว Tulum เขาเสนอแพ็คเกจ ทัวร์เมืองเก่าปาเลงเก้ (Palenque Ruins) น้ำตกมิโซลฮา (Misol Ha Cascade) กับน้ำตกอะกัว อะซูล (Agua Azul Cascade) ราคา 180 เปโซ มีรอบ 8.00 น. พาเที่ยวทั้งวัน เขาหาที่พักเป็นโรงแรมของเพื่อน คืนละ 350 เปโซ และจะไปรับเราที่โรงแรมพรุ่งนี้ เวลา 06.00 น. เพื่อไปฟลอเรส กัวเตมาลา ในราคาคนละ 400 เปโซ
เราตกลงตามนั้น เดินตามเขาไปที่ออฟฟิศ อยู่ทางลงเขาไปเซนโตร้ จ่ายเงินค่าทัวร์ กับค่ารถไปฟลอเรส 1,160 เปโซ แล้วเข้าห้องน้ำรอรถไปรับ
ไอวานถามว่า จะไปโรงแรมก่อน หรือแวะตอนขากลับ เราบอกว่า แวะตอนขากลับ เขารับปาก
ผอ.บริษัท ชื่อ Juan Calos Rodiguez Marales บอกให้เราเอากระเป๋าไปเก็บ เราบอกว่า ขากลับเราจะแวะที่พักเลย เขาบอกว่า งั้นก็เอากระเป๋าติดไป
เวลา 08.00 น. รถมารับ แต่คนขับไม่ใช่ ไอวาน เขา ชื่อ Francisco มีน้อง Alexandra จากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รัสเซีย ไปกับเราด้วย
ตอนแรกป้าคิดว่า มีแค่เรา 3 คน รู้สึก เห็นใจ คนทำทัวร์ พอขึ้นเขาเข้าเขตอุทยานแห่งชาติ ฟรานซิสโก จอดรถแล้วพูดรัว น้องอะเล็กซานดร้า บอกว่า เราต้องจ่ายค่าเข้าอุทยาน คนละ 31 เปโซ ระหว่างทาง รถแวะไปรับ 2 สาว เม็กซิกัน ที่พักในเขตอุทยาน แล้วพาขึ้นเขา ผ่านป่าดิบชื้น ธรรมชาติ ไปถึงจุดที่เป็นทางออก ฟรานซิสโก นัดหมาย น้องอะเล็กซานดร้า บอกว่า ขากลับเขาจะมารับเราที่จุดนี้ เวลา 12.00 น. รถวิ่งขึ้นไปจอดที่ลานจอดรถ พอลงรถ มีจนท. เดินมา บอกว่า ให้ตามไปฟังการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ว่าโซนไหนเป็นอะไร พูดภาษาสเปนสลับกับภาษาอังกฤษ ไม่มีแผนที่แจก ให้ถ่ายรูปแผนที่กันเอง
ป้าเห็นเด็กวิ่งมาขายโลชั่นกันยุง จึงวิ่งไปขอให้ฟรานซิสโก เปิดรถ เพื่อเอาโลชั่น แล้วก็ปิดกระเป๋าไม่เรียบร้อย เพราะเกรงใจเขา และคิดว่า มันจะอยู่ตรงนั้นไม่ปนกับคนอื่น
ฟรานซิสโก บอกให้เราไปซื้อตั๋ว ก่อนเข้าชมเมืองเก่า ค่าตั๋วคนละ 65 เปโซ เราเดินชมบริเวณที่เรียกว่า Plaza เป็นโซนที่สิ่งก่อสร้างยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด ปิรามิดที่ใหญ่ สวย และสมบูรณ์ที่สุด เป็นที่บรรจุหลุมฝังศพของ Pakal K'inichanahb กษัตริย์ที่มีอำนาจที่สุดของมายัน เขา บอกว่า เขา คือ เทพแห่งข้าวโพด เพราะเขาเป็นคนทำให้ข้าวโพดผุดขึ้นมาบนโลก ทำให้มนุษย์มีอาหารกิน
หลุมศพของเขาลึกจากพื้นดิน 25 เมตร บรรจุอยู่ในโลงหินหนา ห่อด้วยผ้าอาบยาพิษ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเครื่องประดับที่เป็นอัญมณี....รอบบริเวณนอกจากสิ่งก่อสร้างที่เป็นหินแสดงความยิ่งใหญ่แล้ว ยังมีลานหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่ มีต้นมะม่วงใหญ่มาก หลายต้น เกือบทุกต้นมีลูกสุกร่วงเกลื่อน เป็นมะม่วงลูกยาวๆ รีๆ ป้ากะจะเก็บมนลองชิม แต่จับลูกไหนก็เละ จึงเปลี่ยนใจ เราปีนขึ้นไปบนยอดของวัดหนึ่ง เห็นทัศนียภาพรอบเมืองเก่า และเมืองใหม่เต็มไปด้วยป่าไม้ ตอนปีนลง จึงเห็นป้ายห้ามผ่าน จนท.ที่รวมตัวกันอยู่ด้านล่างของปิรามิดที่เราผ่านมามองไม่เห็น ลุงแอบยิงกระต่ายในป่าด้านหลังด้วย พอลุงเสร็จธุระ ก็มีคู่สามี ภรรยา เดินขึ้นมา รอดตัวไป ป้าก็อยากเก็บดอกไม้ด้วย รอจนพวกเขาลับตา จึงรีบจัดการ ... พอเราเดินลงมา เจอหนุ่มญี่ปุ่นเดินสวนขึ้นไป
เราเดินออกจากพลาซ่า ไปเที่ยวน้ำตก มีป้ายบอกว่า มีลิงสีดำอยู่ชุกชุม ลุงเห็นน้ำใส อดใจไม่ไหว ขออาบน้ำ พอขึ้นจากน้ำ ใส่กางเกงเสร็จก็มีจนท.หนุ่มเดินมาจากในป่า ....รอดตัวไป...ป้าถามหาลิง เขาบอกว่า ต้องเดินเข้าไปในป่าลึก อีก 1 กม....เราจึงเดินออกไปตามถนน รอเวลาให้รถมารับ
ความจริงถ้าเราไม่ออกมาทางน้ำตก ก็จะเป็นทสงเดินตามรอยเมืองเก่าที่มีซากปรักหักพัง ของวัด และเมืองเก่าอีก กว่า 20 อย่าง เท่าที่เราเห็นก็อลังการมากอยู่แล้ว สิ่งก่อสร้างต่างสมัยกัน ทุกอย่างสร้างด้วยหิน แข็งแรง ใช้แรงงานและฝีมือมากมาย กว่าจะเอาหินแต่ละก้อนมาทำให้เป็นสี่เหลี่ยมเท่าๆ กัน คงเจ็บมือกันน่าดู และสมัยนั้นสามารถทำให้หินแต่ละก้อนยึดติดกันได้ แสดงว่า มีภูมิปัญญาล้ำเลิศจริงๆ มีเด็กมายัน มาเสนอขายปฏิทินมายัน เขาพูดภาษาอังกฤษสื่อสารได้โดยไม่ต้องเรียนหนังสือ โดยใช้สถานการณ์จริงทุกวัน นึกถึงเด็กตัวเล็กที่มาตื๊อขายของที่นครวัด กัมพูชา พวกเขาก็ไม่ได้เรียนหนังสือ ตัวเล็กๆ กล้าพูด พอโตมาก็เก่งไปเอง คนพูดเก่ง ไม่จำเป็นต้องฉลาด หรือเรียนเก่ง แค่มีอวัยวะในการพูดที่สมบูรณ์ หูไม่หนวก ก็พูดได้แล้ว คนฉลาด เรียนเก่ง ที่มัวแต่อาย และกลัวผิด เลยพูดไม่เก่งเหมือนคนกล้าพูด ไม่กลัวผิด 🙂. ขณะนั่งรอก็ซื้อทาโค ซัลซ่า กับไอติม กินกัน รสชาติอาหารเม็กซิกันเปรี้ยว เค็ม และเผ็ดนิดๆ ถูกใจมาก....
ได้รู้ว่า ถ้าเรานั่งรถที่เซ็นโตร้ไปเอง ค่ารถไป กลับแค่คนละ 40 เปโซ เท่านั้น..
รถมารับช้าไป 20 นาที จากที่เคยเห็นใจคนจัดทัวร์ ก็เปลี่ยนใจ เพราะเขามารับเราโดยไม่มีกระเป๋า แล้วเขาก็เอาเราไปส่งต่อ คันที่ต้องนั่งเบียดกัน ไปเที่ยวน้ำตก รถวิ่งขึ้นเขาผ่านหมู่บ้าน ที่เป็นชนบทแท้ๆ เด็กๆ และชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ใส่รองเท้า บ้านสร้างด้วยไม้บ้าง ซีเมนต์บล็อคบ้าง ปูนบ้าง สร้างให้อยู่ได้ เป็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ หลังคามุงสังกะสียกมุมเล็กน้อย แปะอยู่บนพื้นราบบ้าง บากไหล่เขา แล้วสร้างบ้านแปะไว้บ้าง บ้านไม้ใช้ไม้แผ่นหนากว้างประมาณ 2 ฟุต ตีแปะรอบบ้าน ประตูไม่ได้แน่นหนา เอาแค่อยู่ได้ มีบ้านจำนวนมาก เป็นพื้นดินอัด ไม่มีห้อง เป็นบ้านโล่งๆ ไม่มีหน้าต่าง กว้าง ยาวไม่น่าจะเกิน 5×6 เมตร ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆ มองดูแล้วไม่แน่ใจว่า มีส้วมทุกบ้านหรือไม่ บางบ้านก็มีระเบียงที่มีไม้กระดานตีแปะขอบไม้ข้างล่างกับข้างบน แผ่นเว้นแผ่นเป็นช่องว่าง บางทีก็มองดูเหมือนเล้าไก่
เป็นภาพที่เห็นแล้วคิดถึงบ้านนอกสมัยเป็นเด็ก และบ้านที่เราทำไว้พักหุงหาอาหารเวลาที่เราพาคนงานไปทำสวน
ระหว่างทางมีเด็กขึงเถาวัลย์กั้นให้รถจอดเพื่อขายของ เช่น กล้วย มะม่วง ลูกโกโก้ น้ำผึ้ง ฯลฯ แต่พอรถวิ่งไปไม่ชะลอ เด็กๆ ก็ปล่อยเถาวัลย์ในมือลง
ส่วนผู้ใหญ่ใช้เชือกเอาผ้าแดงผูกติดเชือก กั้นถนนให้รู้ว่ามีของขาย
มีกลุ่มผู้ชายดักอยู่บนถนน เหมือนจะปล้น แต่ไม่มีอาวุธ คนขับจอดรถแล้วเอาเงินให้ ก่อนผ่านไป เราไม่เข้าใจว่า เขาทำอะไรกัน เพราะไม่ได้ยิน ต่อให้ได้ยินก็ฟังไมีรูเรื่อง
น้องอะเล็กซ่านดร้า ช่วยเป็นล่ามให้เรา เธอบอกว่า เธอเข้าใจ พวกพูดภาษาสเปน ไม่เคยเข้าใจคนอื่น พวกเขาเห็นว่า ภาษาของพวกเขายิ่งใหญ่จนมองว่า ใครๆ ก็ต้องพูดให้ได้ จึงไม่ยอมเรียนรู้ภาษาอื่น...ต้องยอมรับว่ามน้องพูดเก่งทั้งสเปน อังกฤษ ส่วนภาษาแม่อย่างรัสเซียนั้นไม่ต้องพูดถึง...น้องอยู่เม็กศิโกมา 3 เดือนแล้ว เรียนโยคะ กับเที่ยว หาที่นอนถูกๆ
ความจริงเรียนภาษาสเปนที่เมืองเล็กๆ ในเม็กซิโก ประหยัดค่าใช้จ่าย และเรียนได้เร็วมากเพราะต้องใช้ตลอดเวลา ค่าครองชีพก็ถูกด้วย ถ้าป้ายังเอ๊าะ คงจะเอากับเขาบ้างแหละ แต่นี่ไม่รู้ว่าเรียนแล้วจะคุ้มมั้ย จึงไม่เรียนดีกว่า 🙂
ไปถึงน้ำตกแรก คนขับเก็บเงินค่าเข้าคนละ 90 เปโซ น้องบอกว่า เขาเก็บควบ 2 ที่ ที่แรกให้เวลาครึ่งชั่วโมง ชื่อน้ำตก Misol Ha Cadcade คำว่า cascade แปลว่า น้ำตก
น้ำตกนี้สูงประมาณ 50 เมตร ตกลงมาจากผาหิน มี 3 สาย พาดลงมา ในแอ่งข้างล่าง เหมือนว่า น้ำจะเป็นสีน้ำเงิน น่าลงเล่น แต่เราไม่ได้เตรียมตัว และเวลาก็น้อย
น้ำตกที่ 2 อยู่ห่างจากน้ำตกแรกไม่น้อยกว่า 10 กม. ชื่อ Agua Azul Cascade ความสูงไม่มาก แต่ความกว้างและใหญ่ เหลือเฟือ เป็นน้ำตก 9 ชั้น แยกเป็น 3 แพร่ง ส่วนใหญ่เป็นจุดอันตราย น้ำลึก และหินลื่น เขาเตรียมนักประดาน้ำไว้ช่วยคนตกน้ำด้วย น้ำตกแรง และไหลเชี่ยว แต่ยน้ำไม่ค่อยใส เขาให้เวลา 2.30 ชม. สองสาวเม็กกันที่รถแวะรับ เตรียมตัวมาเล่นน้ำเต็มที่ น้องอะเล็กซานดร้าด้วย ส่วนป้านั่งพิมพ์งานได้เยอะเลย ปล่อยให้ลุงนั่งหลับเฝ้า...มีเด็กแวะมาขายกล้วยบ้าง มะม่วงบ้าง แป้งทอดบ้าง...ดูเหมือนพวกเธอพยายามจะพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งอีกไม่นานก็คงเก่ง เพราะพูดทุกวัน ไม่เห็นต้องไปโรงเรียน ทำไม ครูไทยที่อยู่ในเมืองท่องเที่ยว ไม่สั่งงานที่มันใช้ในชีวิตจริงได้แบบนี้บ้างนะ?
ขากลับแต่ละคนตัวเปียก ขากลับมีเด็กดักบ้างเหมือนกัน ข้างทางมีชุดผ้าปักแขวนขายมากมาย โดยที่คนขายไม่เห็นมีใครใส่ชุดแบบนั้นกัน
เห็นป่าที่ผ่านนึกถึงสวนกล้วยบ้านเรา ที่เดินเข้าไปต้องได้ผักมาแกง ไม่อย่สงใดก็อย่างหนึ่ง
มีไร่ข้าวโพดบนเขา สวนกล้วยหอม มะพร้าว โกโก้
รถจอดให้ซื้อของ เขาเอากล้วยไข่ กล้วยทอด เนื้อมะพร้าวทึนทึกหั่นเป็นเส้น กับน้ำมะพร้าวอ่อนพร้อมเนื้อมะพร้าวทั้งลูก มะม่วงปอกใส่ถุงมาขาย ทุกอย่าง 10 บาท เราซื้อน้ำมะพร้าวอ่อน กับกล้วยไข่ ทุกอย่างรสชาติธรรมชาติ ดั้งเดิม
เนื้อมะพร้าวเขามีมะนาวกับพริกบ๊วย เหมือนมะม่วง ที่นี่เขากินอะไรก็บีบมะนาวใส่พริกบ๊วย เขาชอบรสขาติเปรี้ยว เค็ม เผ็ด และมัน
ข้าวโพดต้ม เขาก็กินแบบนั้น....รถไปส่งที่บริษัทตอนใกล้ทุ่ม คิดว่า ต้องรอกระเป๋า พอออกจากห้องน้ำมา กระเป๋าก็มาพอดี
สอบถามการเดินทางวันพรุ่งนี้ ไอวานบอกว่า รถจะไปรับเรา 6.00 น. ตามที่นัดไว้ 7 โมงจอดให้กินอาหารเช้า เดินทางต่อไป ถึงด่านขายแดน ให้เราทำใบผ่านแดน แล้วไปส่งเราที่สะพาน ให้เราเดินข้ามสะพานไปเมืองฟลอเรส ใช้เวลา 5 นาที ในการเดินข้าม ค่าวีซ่า เข้ากัวเตมาลา ประมาณ 10-20 ดอลล่าร์
เราเดินหาที่พัก เดินเลยไปไกล เพราะฟังผิด จาก Pasada เป็น Posidon แต่ก็ได้เห็นร้านค้าขายเปลยวน หลายร้าน ที่ตนเม็กซิกันนิยมนอน เตอโบสถ์ของเมือง และอะไรหลายๆ อย่าง ซื้อวาอาย่า กับ อะไรที่เป็นฝักคล้ายสะตอ ข้างในมีเนื้อสีขาวหุ้มเป็นปุยเมล็ด รสชาติคล้ายกระท้อน ชื่อว่า Navalsa
พอดีเดินมาเจอ ฮวน คาลอส ผอ.บริษัท ยืนอยู่หน้าโรงแรม จึงได้เช็คอิน ที่โรงแรม Posada Reginal L.A. จ่ายค่านอน คืนละ 350 เปโซ ห้องนอนติดถนนคนเดิน ตอนหัวค่ำคึกคัก ฝนตกตั้งแต่ก่อน 5 ทุ่ม จนถึงตอนนี้ใกล้เที่ยงคืนยังไม่หยุด ถนนคนเดินเงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงฝน กับรถยนต์วิ่งบนน้ำ
(ยังมีต่อ)
[CR] ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุยสหรัฐ เม็กซิโก อเมริกากลาง เมกาใต้ อัฟริกา 26 ประเทศ 74 วัน ตอน 12 โปเลงเก้ ใต้สุดเม็กซิโก
(ตอนอยู่ตปท. ภาพนิ่งล้นไอโฟน จึงลบออกหลังโพสต์เพจแล้ว ส่วนพันทิปโหลดหน้ารีวิวไม่ได้ ต้องกลับมาทำใทย ตอนนี้ขอให้ชมยูทูปไปก่อน ถ้ารีบชมภาพนิ่ง ให้ไปที่เพจ ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก)
https://www.youtube.com/watch?v=qnN6o8Q2dXU&index=58&list=PLNNEpgjidh3peDayS3ikBCPP6tJVMso-6
พฤหัสบดีที่ 23 มิ.ย. เวลา 06.45 น. ถึงสถานีปาเลงเก้ รัฐ ชิอาปัส ใต้สุดขิงเม็กซิโก เจอน้อง Zuzanna จากสาธารณรัฐเชค เคยทำงานที่ปาเลงเก้ กลับมาเที่ยว 1 เดือน บอกวิธีการไป เมืองเก่าปาเลงเก้ ให้เดินลงถนน ไปที่เซนโตร้ แล้วหาดูรถไมโครบัสมีป้ายหน้ารถเขียนว่า Ruinas หรือ Zona Archeologica แต่ถ้าจะไป หมู่บ้าน San Christabal de las Cascade ต้องนั่งรถไป 9 ชม. ซื้อตั๋วที่ช่องขายตั๋ว
เดินไปถามคนขายตั๋ว ว่า รถไป Flores กัวเตมาลา ออกวันละกี่เที่ยว เขาบอกว่า ต้องไปซื้อตั๋วอีกที่หนึ่ง เขาพยายามอธิบาย พูดวนไปวนมา ในที่สุด เขาก็บอกว่า รอสักครู่
เขาโทรเรียกคนเข้ามาให้ เขา คือ Ivan Velazwuez Berganza ตัวแทนบริษัทท่องเที่ยว Tulum เขาเสนอแพ็คเกจ ทัวร์เมืองเก่าปาเลงเก้ (Palenque Ruins) น้ำตกมิโซลฮา (Misol Ha Cascade) กับน้ำตกอะกัว อะซูล (Agua Azul Cascade) ราคา 180 เปโซ มีรอบ 8.00 น. พาเที่ยวทั้งวัน เขาหาที่พักเป็นโรงแรมของเพื่อน คืนละ 350 เปโซ และจะไปรับเราที่โรงแรมพรุ่งนี้ เวลา 06.00 น. เพื่อไปฟลอเรส กัวเตมาลา ในราคาคนละ 400 เปโซ
เราตกลงตามนั้น เดินตามเขาไปที่ออฟฟิศ อยู่ทางลงเขาไปเซนโตร้ จ่ายเงินค่าทัวร์ กับค่ารถไปฟลอเรส 1,160 เปโซ แล้วเข้าห้องน้ำรอรถไปรับ
ไอวานถามว่า จะไปโรงแรมก่อน หรือแวะตอนขากลับ เราบอกว่า แวะตอนขากลับ เขารับปาก
ผอ.บริษัท ชื่อ Juan Calos Rodiguez Marales บอกให้เราเอากระเป๋าไปเก็บ เราบอกว่า ขากลับเราจะแวะที่พักเลย เขาบอกว่า งั้นก็เอากระเป๋าติดไป
เวลา 08.00 น. รถมารับ แต่คนขับไม่ใช่ ไอวาน เขา ชื่อ Francisco มีน้อง Alexandra จากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รัสเซีย ไปกับเราด้วย
ตอนแรกป้าคิดว่า มีแค่เรา 3 คน รู้สึก เห็นใจ คนทำทัวร์ พอขึ้นเขาเข้าเขตอุทยานแห่งชาติ ฟรานซิสโก จอดรถแล้วพูดรัว น้องอะเล็กซานดร้า บอกว่า เราต้องจ่ายค่าเข้าอุทยาน คนละ 31 เปโซ ระหว่างทาง รถแวะไปรับ 2 สาว เม็กซิกัน ที่พักในเขตอุทยาน แล้วพาขึ้นเขา ผ่านป่าดิบชื้น ธรรมชาติ ไปถึงจุดที่เป็นทางออก ฟรานซิสโก นัดหมาย น้องอะเล็กซานดร้า บอกว่า ขากลับเขาจะมารับเราที่จุดนี้ เวลา 12.00 น. รถวิ่งขึ้นไปจอดที่ลานจอดรถ พอลงรถ มีจนท. เดินมา บอกว่า ให้ตามไปฟังการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ว่าโซนไหนเป็นอะไร พูดภาษาสเปนสลับกับภาษาอังกฤษ ไม่มีแผนที่แจก ให้ถ่ายรูปแผนที่กันเอง
ป้าเห็นเด็กวิ่งมาขายโลชั่นกันยุง จึงวิ่งไปขอให้ฟรานซิสโก เปิดรถ เพื่อเอาโลชั่น แล้วก็ปิดกระเป๋าไม่เรียบร้อย เพราะเกรงใจเขา และคิดว่า มันจะอยู่ตรงนั้นไม่ปนกับคนอื่น
ฟรานซิสโก บอกให้เราไปซื้อตั๋ว ก่อนเข้าชมเมืองเก่า ค่าตั๋วคนละ 65 เปโซ เราเดินชมบริเวณที่เรียกว่า Plaza เป็นโซนที่สิ่งก่อสร้างยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด ปิรามิดที่ใหญ่ สวย และสมบูรณ์ที่สุด เป็นที่บรรจุหลุมฝังศพของ Pakal K'inichanahb กษัตริย์ที่มีอำนาจที่สุดของมายัน เขา บอกว่า เขา คือ เทพแห่งข้าวโพด เพราะเขาเป็นคนทำให้ข้าวโพดผุดขึ้นมาบนโลก ทำให้มนุษย์มีอาหารกิน
หลุมศพของเขาลึกจากพื้นดิน 25 เมตร บรรจุอยู่ในโลงหินหนา ห่อด้วยผ้าอาบยาพิษ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเครื่องประดับที่เป็นอัญมณี....รอบบริเวณนอกจากสิ่งก่อสร้างที่เป็นหินแสดงความยิ่งใหญ่แล้ว ยังมีลานหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่ มีต้นมะม่วงใหญ่มาก หลายต้น เกือบทุกต้นมีลูกสุกร่วงเกลื่อน เป็นมะม่วงลูกยาวๆ รีๆ ป้ากะจะเก็บมนลองชิม แต่จับลูกไหนก็เละ จึงเปลี่ยนใจ เราปีนขึ้นไปบนยอดของวัดหนึ่ง เห็นทัศนียภาพรอบเมืองเก่า และเมืองใหม่เต็มไปด้วยป่าไม้ ตอนปีนลง จึงเห็นป้ายห้ามผ่าน จนท.ที่รวมตัวกันอยู่ด้านล่างของปิรามิดที่เราผ่านมามองไม่เห็น ลุงแอบยิงกระต่ายในป่าด้านหลังด้วย พอลุงเสร็จธุระ ก็มีคู่สามี ภรรยา เดินขึ้นมา รอดตัวไป ป้าก็อยากเก็บดอกไม้ด้วย รอจนพวกเขาลับตา จึงรีบจัดการ ... พอเราเดินลงมา เจอหนุ่มญี่ปุ่นเดินสวนขึ้นไป
เราเดินออกจากพลาซ่า ไปเที่ยวน้ำตก มีป้ายบอกว่า มีลิงสีดำอยู่ชุกชุม ลุงเห็นน้ำใส อดใจไม่ไหว ขออาบน้ำ พอขึ้นจากน้ำ ใส่กางเกงเสร็จก็มีจนท.หนุ่มเดินมาจากในป่า ....รอดตัวไป...ป้าถามหาลิง เขาบอกว่า ต้องเดินเข้าไปในป่าลึก อีก 1 กม....เราจึงเดินออกไปตามถนน รอเวลาให้รถมารับ
ความจริงถ้าเราไม่ออกมาทางน้ำตก ก็จะเป็นทสงเดินตามรอยเมืองเก่าที่มีซากปรักหักพัง ของวัด และเมืองเก่าอีก กว่า 20 อย่าง เท่าที่เราเห็นก็อลังการมากอยู่แล้ว สิ่งก่อสร้างต่างสมัยกัน ทุกอย่างสร้างด้วยหิน แข็งแรง ใช้แรงงานและฝีมือมากมาย กว่าจะเอาหินแต่ละก้อนมาทำให้เป็นสี่เหลี่ยมเท่าๆ กัน คงเจ็บมือกันน่าดู และสมัยนั้นสามารถทำให้หินแต่ละก้อนยึดติดกันได้ แสดงว่า มีภูมิปัญญาล้ำเลิศจริงๆ มีเด็กมายัน มาเสนอขายปฏิทินมายัน เขาพูดภาษาอังกฤษสื่อสารได้โดยไม่ต้องเรียนหนังสือ โดยใช้สถานการณ์จริงทุกวัน นึกถึงเด็กตัวเล็กที่มาตื๊อขายของที่นครวัด กัมพูชา พวกเขาก็ไม่ได้เรียนหนังสือ ตัวเล็กๆ กล้าพูด พอโตมาก็เก่งไปเอง คนพูดเก่ง ไม่จำเป็นต้องฉลาด หรือเรียนเก่ง แค่มีอวัยวะในการพูดที่สมบูรณ์ หูไม่หนวก ก็พูดได้แล้ว คนฉลาด เรียนเก่ง ที่มัวแต่อาย และกลัวผิด เลยพูดไม่เก่งเหมือนคนกล้าพูด ไม่กลัวผิด 🙂. ขณะนั่งรอก็ซื้อทาโค ซัลซ่า กับไอติม กินกัน รสชาติอาหารเม็กซิกันเปรี้ยว เค็ม และเผ็ดนิดๆ ถูกใจมาก....
ได้รู้ว่า ถ้าเรานั่งรถที่เซ็นโตร้ไปเอง ค่ารถไป กลับแค่คนละ 40 เปโซ เท่านั้น..
รถมารับช้าไป 20 นาที จากที่เคยเห็นใจคนจัดทัวร์ ก็เปลี่ยนใจ เพราะเขามารับเราโดยไม่มีกระเป๋า แล้วเขาก็เอาเราไปส่งต่อ คันที่ต้องนั่งเบียดกัน ไปเที่ยวน้ำตก รถวิ่งขึ้นเขาผ่านหมู่บ้าน ที่เป็นชนบทแท้ๆ เด็กๆ และชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ใส่รองเท้า บ้านสร้างด้วยไม้บ้าง ซีเมนต์บล็อคบ้าง ปูนบ้าง สร้างให้อยู่ได้ เป็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ หลังคามุงสังกะสียกมุมเล็กน้อย แปะอยู่บนพื้นราบบ้าง บากไหล่เขา แล้วสร้างบ้านแปะไว้บ้าง บ้านไม้ใช้ไม้แผ่นหนากว้างประมาณ 2 ฟุต ตีแปะรอบบ้าน ประตูไม่ได้แน่นหนา เอาแค่อยู่ได้ มีบ้านจำนวนมาก เป็นพื้นดินอัด ไม่มีห้อง เป็นบ้านโล่งๆ ไม่มีหน้าต่าง กว้าง ยาวไม่น่าจะเกิน 5×6 เมตร ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆ มองดูแล้วไม่แน่ใจว่า มีส้วมทุกบ้านหรือไม่ บางบ้านก็มีระเบียงที่มีไม้กระดานตีแปะขอบไม้ข้างล่างกับข้างบน แผ่นเว้นแผ่นเป็นช่องว่าง บางทีก็มองดูเหมือนเล้าไก่
เป็นภาพที่เห็นแล้วคิดถึงบ้านนอกสมัยเป็นเด็ก และบ้านที่เราทำไว้พักหุงหาอาหารเวลาที่เราพาคนงานไปทำสวน
ระหว่างทางมีเด็กขึงเถาวัลย์กั้นให้รถจอดเพื่อขายของ เช่น กล้วย มะม่วง ลูกโกโก้ น้ำผึ้ง ฯลฯ แต่พอรถวิ่งไปไม่ชะลอ เด็กๆ ก็ปล่อยเถาวัลย์ในมือลง
ส่วนผู้ใหญ่ใช้เชือกเอาผ้าแดงผูกติดเชือก กั้นถนนให้รู้ว่ามีของขาย
มีกลุ่มผู้ชายดักอยู่บนถนน เหมือนจะปล้น แต่ไม่มีอาวุธ คนขับจอดรถแล้วเอาเงินให้ ก่อนผ่านไป เราไม่เข้าใจว่า เขาทำอะไรกัน เพราะไม่ได้ยิน ต่อให้ได้ยินก็ฟังไมีรูเรื่อง
น้องอะเล็กซ่านดร้า ช่วยเป็นล่ามให้เรา เธอบอกว่า เธอเข้าใจ พวกพูดภาษาสเปน ไม่เคยเข้าใจคนอื่น พวกเขาเห็นว่า ภาษาของพวกเขายิ่งใหญ่จนมองว่า ใครๆ ก็ต้องพูดให้ได้ จึงไม่ยอมเรียนรู้ภาษาอื่น...ต้องยอมรับว่ามน้องพูดเก่งทั้งสเปน อังกฤษ ส่วนภาษาแม่อย่างรัสเซียนั้นไม่ต้องพูดถึง...น้องอยู่เม็กศิโกมา 3 เดือนแล้ว เรียนโยคะ กับเที่ยว หาที่นอนถูกๆ
ความจริงเรียนภาษาสเปนที่เมืองเล็กๆ ในเม็กซิโก ประหยัดค่าใช้จ่าย และเรียนได้เร็วมากเพราะต้องใช้ตลอดเวลา ค่าครองชีพก็ถูกด้วย ถ้าป้ายังเอ๊าะ คงจะเอากับเขาบ้างแหละ แต่นี่ไม่รู้ว่าเรียนแล้วจะคุ้มมั้ย จึงไม่เรียนดีกว่า 🙂
ไปถึงน้ำตกแรก คนขับเก็บเงินค่าเข้าคนละ 90 เปโซ น้องบอกว่า เขาเก็บควบ 2 ที่ ที่แรกให้เวลาครึ่งชั่วโมง ชื่อน้ำตก Misol Ha Cadcade คำว่า cascade แปลว่า น้ำตก
น้ำตกนี้สูงประมาณ 50 เมตร ตกลงมาจากผาหิน มี 3 สาย พาดลงมา ในแอ่งข้างล่าง เหมือนว่า น้ำจะเป็นสีน้ำเงิน น่าลงเล่น แต่เราไม่ได้เตรียมตัว และเวลาก็น้อย
น้ำตกที่ 2 อยู่ห่างจากน้ำตกแรกไม่น้อยกว่า 10 กม. ชื่อ Agua Azul Cascade ความสูงไม่มาก แต่ความกว้างและใหญ่ เหลือเฟือ เป็นน้ำตก 9 ชั้น แยกเป็น 3 แพร่ง ส่วนใหญ่เป็นจุดอันตราย น้ำลึก และหินลื่น เขาเตรียมนักประดาน้ำไว้ช่วยคนตกน้ำด้วย น้ำตกแรง และไหลเชี่ยว แต่ยน้ำไม่ค่อยใส เขาให้เวลา 2.30 ชม. สองสาวเม็กกันที่รถแวะรับ เตรียมตัวมาเล่นน้ำเต็มที่ น้องอะเล็กซานดร้าด้วย ส่วนป้านั่งพิมพ์งานได้เยอะเลย ปล่อยให้ลุงนั่งหลับเฝ้า...มีเด็กแวะมาขายกล้วยบ้าง มะม่วงบ้าง แป้งทอดบ้าง...ดูเหมือนพวกเธอพยายามจะพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งอีกไม่นานก็คงเก่ง เพราะพูดทุกวัน ไม่เห็นต้องไปโรงเรียน ทำไม ครูไทยที่อยู่ในเมืองท่องเที่ยว ไม่สั่งงานที่มันใช้ในชีวิตจริงได้แบบนี้บ้างนะ?
ขากลับแต่ละคนตัวเปียก ขากลับมีเด็กดักบ้างเหมือนกัน ข้างทางมีชุดผ้าปักแขวนขายมากมาย โดยที่คนขายไม่เห็นมีใครใส่ชุดแบบนั้นกัน
เห็นป่าที่ผ่านนึกถึงสวนกล้วยบ้านเรา ที่เดินเข้าไปต้องได้ผักมาแกง ไม่อย่สงใดก็อย่างหนึ่ง
มีไร่ข้าวโพดบนเขา สวนกล้วยหอม มะพร้าว โกโก้
รถจอดให้ซื้อของ เขาเอากล้วยไข่ กล้วยทอด เนื้อมะพร้าวทึนทึกหั่นเป็นเส้น กับน้ำมะพร้าวอ่อนพร้อมเนื้อมะพร้าวทั้งลูก มะม่วงปอกใส่ถุงมาขาย ทุกอย่าง 10 บาท เราซื้อน้ำมะพร้าวอ่อน กับกล้วยไข่ ทุกอย่างรสชาติธรรมชาติ ดั้งเดิม
เนื้อมะพร้าวเขามีมะนาวกับพริกบ๊วย เหมือนมะม่วง ที่นี่เขากินอะไรก็บีบมะนาวใส่พริกบ๊วย เขาชอบรสขาติเปรี้ยว เค็ม เผ็ด และมัน
ข้าวโพดต้ม เขาก็กินแบบนั้น....รถไปส่งที่บริษัทตอนใกล้ทุ่ม คิดว่า ต้องรอกระเป๋า พอออกจากห้องน้ำมา กระเป๋าก็มาพอดี
สอบถามการเดินทางวันพรุ่งนี้ ไอวานบอกว่า รถจะไปรับเรา 6.00 น. ตามที่นัดไว้ 7 โมงจอดให้กินอาหารเช้า เดินทางต่อไป ถึงด่านขายแดน ให้เราทำใบผ่านแดน แล้วไปส่งเราที่สะพาน ให้เราเดินข้ามสะพานไปเมืองฟลอเรส ใช้เวลา 5 นาที ในการเดินข้าม ค่าวีซ่า เข้ากัวเตมาลา ประมาณ 10-20 ดอลล่าร์
เราเดินหาที่พัก เดินเลยไปไกล เพราะฟังผิด จาก Pasada เป็น Posidon แต่ก็ได้เห็นร้านค้าขายเปลยวน หลายร้าน ที่ตนเม็กซิกันนิยมนอน เตอโบสถ์ของเมือง และอะไรหลายๆ อย่าง ซื้อวาอาย่า กับ อะไรที่เป็นฝักคล้ายสะตอ ข้างในมีเนื้อสีขาวหุ้มเป็นปุยเมล็ด รสชาติคล้ายกระท้อน ชื่อว่า Navalsa
พอดีเดินมาเจอ ฮวน คาลอส ผอ.บริษัท ยืนอยู่หน้าโรงแรม จึงได้เช็คอิน ที่โรงแรม Posada Reginal L.A. จ่ายค่านอน คืนละ 350 เปโซ ห้องนอนติดถนนคนเดิน ตอนหัวค่ำคึกคัก ฝนตกตั้งแต่ก่อน 5 ทุ่ม จนถึงตอนนี้ใกล้เที่ยงคืนยังไม่หยุด ถนนคนเดินเงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงฝน กับรถยนต์วิ่งบนน้ำ
(ยังมีต่อ)
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น