พระราชวังหลวงกรุงศรีอยุธยาจำลอง
ณ ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา

ให้มีการจัดกระบวนแห่พระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการ พร้อมกับคณะราชทูตลังกาอย่างยิ่งใหญ่
ครั้นถึงเขตพระนครศรีอยุธยานั้น เป็นเวลาประมาณตีห้า ของวันที่ ๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๒๙๔
ที่ท่าถนนหลวงประตูใหญ่ติดกำแพงเมือง (เข้าใจว่าคือประตูไชย บริเวณโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา)
ทูตานุทูตขึ้นรถเทียบม้า ไปตามถนนหลวงคณะทูตแลเห็นฟากถนนตกแต่งไปด้วยผ้าต่างๆ มีโคม
ลูกเท่าแตงโมหุ้มตะกั่วประดับกระจก แขวนระยะไปตามถนนนับหมื่น ไฟสว่างไสวทั่วพระนครศรีอยุธยา
ดังกับแสงเดือน รถทูตานุทูตวิ่งมาตามถนนหลวงจนถึงประตูพระราชวังหลวงอันมีชื่อว่า พรหมสุคต
ตั้งแต่ท่าตลอดมา ทั้ง ๒ ข้างถนนขึงผ้าห้าสีปักทอง มีร้านขายเครื่องเงินเครื่องทอง เครื่องทองเหลือง
ทองแดง ทองสำฤทธิ์ และสังกะสี ขายไม้จันทร์แดง จันทร์ขาว ขายฟูกเบาะและม่านปัก ขายเครื่องยาต่างๆ
มีทั้งขายข้าวสาร กล้วย มะพร้าว ส้ม ขนมหวาน ดอกไม้ และเครื่องกิน ร้านเหล่านี้ตกแต่งประดับประดา
ไปด้วยลายทอง แลดูถนนงามอร่ามตลอดไป
เมื่อถึงเขตพระราชวังหลวงนั้น แลเห็นปราสาทราชมณเฑียรล้วนปิดทองอร่าม พวกทูตานุทูตลงจากรถ
แล้วเข้าไปในเขตพระชวังนั้น มีเจ้าพนักงานพาไปนั่งพักที่ศาลาลูกขุน ซึ่งผูกม่านตกแต่งอย่างสวยงาม
วิจิตรตระการตา เจ้าพนักงานนำดอกสะปุมา (เข้าใจว่าคือดอกจำปา) ให้ทูตานุทูตตามประเพณีอยุธยา
เมื่อได้เวลาแล้วเจ้าพนักงานจึงนำทูตานุทูตเข้าไปในเขตพระราชฐาน ผ่านประตูเข้าไป ๒ ชั้น ที่ประตู
ก็ประดับประดาไปด้วยสีทองและสีอื่นๆ เมื่อล่วงประตูชั้นที่ ๒ เข้าไปถึงพระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาท
สองข้างฐานมุขเด็จพระที่นั่ง มีรูปปั้นต่างๆตั้งไว้คือ รูปหมี ราชสีห์ รากษส โทวาริก นาค พิราวะยักษ์
รูปทั้งหลายเหล่านี้ปิดทองเหลืองอร่ามตั้งอย่างละคู่ ตรงหมู่รูปขึ้นไปเป็นมุขเด็จ ตั้งราชบัลลังค์
สูงประมาณ ๑๐ คืบ (พระที่นั่งบุษบกมาลา) ตั้งเครื่องสูงรอบมุขเด็จ ราชบัลลังค์นั้นผูกม่านปิดทองงามน่าพิศวง
ฝาผนังพระที่นั่งก็ปิดทอง บนราชบัลลังค์ตั้งบุษบกที่ประทับ เสด็จออกที่บุษบกนั้น พวกทูตานุทูตเข้าเฝ้า
ถวายราชศาสน์เสร็จแล้ว พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา จึงทรงโปรดเกล้าพระราชราชทานพระบรมราชานุญาติ
ให้คณะทูตไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆในพระราชวังหลวงต่อไป
ข้างฝ่ายขวาพระที่นั่งสรรเพชญมหาปราสาทนั้น มีโรงช้างปิดทอง มีพระยาช้างยืนแท่นปิดทองตัวหนึ่ง
(สีตัว)สี ตา สีขน เหมือนกับทองแดง อีกโรงหนึ่ง เป็นโรงอย่างเดียวกันมีช้างพลายกระ ข้างฝ่ายซ้าย
ของพระที่นั่งก็มีโรงช้าง ๒ โรงเหมือนกัน หน้าประตูพระราชวังชั้นใน ออกมาฝ่ายหนึ่งมีโรงลายทอง
ยืนม้าต้นหลายตัว ล้วนผูกเครื่องทองอันงามวิจิตร อีกฝ่ายหนึ่งมีโรงยืนช้างผูกเครื่องลายทองเป็นหลายเชือก
ต่อนั้นมามีพลทหาร นั่งกลบาดอยู่เป็นอันมาก บ้างถือดาบฝักลายทอง บ้างสวมเกราะถือตรีศูล
บ้างถือธนูสะพัดแล่งปิดทอง บางพวกล้วนแต่เป็นคนที่มีรูปร่างล่ำสันสวมตลอมพอก บางพวกยืนถือปืนคันชีบ
นอกจากพวกพลทหาร ยังมีพวกอื่นมานั่งอยู่เป็นอันมาก ล้วนแต่งตัวโอ่โถ่ง มีผ้าโพกศีรษะสีต่างๆ
เป็นแขกปัตตานีบ้าง แขกมัวบ้าง แขกไวทึกบ้าง มีทั้งชาวเมืองเดลี มะละกา เมืองกาวิสี พวกจีน
พวกฝรั่ง พวกวิลันดา พวกสันยาสี พวกโยคี พวกอังกฤษ ฝรั่งเศส พวกสเปน พวกเดน และชาวเมืองสุรัส
เมืองอังวะ เมืองหงษาวดี ล้วนแล้วมีคนมาประชุมกันหลายชาติหลายภาษา
ที่ริมประตูพระราชวังทั้ง ๒ ข้าง มีแท่งตั้งปืนใหญ่อันหล่อด้วยเบญจโลหะ และมีพลถือตระบองรักษาปืน
ประตูพระราชวังก็ดี ศาลาลูกขุนอันเป็นที่เจ้าพระยามหาอุปราชและข้าราชการประชุมกันก็ดี ประตูพระราชวัง
ยอดปิดทองประดับดอกและเครื่องไม้ เมื่อแลดูกลับเข้าไปเห็นพระที่นั่งหลังคา ๕ ชั้นมียอดอันปิดทอง
ต่อพระที่นั่งออกมาทั้ง ๔ มุม มีหอสูง ๕ ชั้น ล้วนมีหน้าต่างลูกกรง และยังมีพระราชมณเฑียรอีกหลายหลัง
ล้วนปิดทองและหลังคาเป็น ๒ ชั้น ตำหนักพระโอรส ธิดา มเหษี ก็มีรูปแบบเดียวกัน พระราชวังอันงามวิจิตร
ที่กล่าวมานี้ สร้างอยู่ริมกำแพงเมืองติดริมแม่น้ำ
กำแพงนี้ติดต่อตั้งแต่พระราชวังวกวนไปจนบรรจบรอบพระนคร ตั้งแต่ประตูไชยที่ท่าขึ้น กำแพงเมือง
มีเชิงเทินตลอดไปทางด้านขวา มาบรรจบกันที่ด้านแม่น้ำ ภายในกำแพงเมืองมีคลองหลายสาย ยื่นเป็นแนวเดียวกัน
มีเรือและผู้คนที่สัญจรไปมาทางเรือสุดจะพรรณณา จะเห็นว่าภายในพระนครศรีอยุธยานั้น ล้วนตกแต่งเครื่องประดับ
สวยงามเพื่อต้อนรับราชทูต
อ้างอิงจากจดหมายเหตุระวางทูตลังกากับสยามครั้งกรุงศรีอยุธยา
คณะทูตลังกาที่เดินทางเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พรรณนาถึงความสวยงามของวังหลวงกรุงศรีอยุธยา
ให้มีการจัดกระบวนแห่พระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการ พร้อมกับคณะราชทูตลังกาอย่างยิ่งใหญ่
ครั้นถึงเขตพระนครศรีอยุธยานั้น เป็นเวลาประมาณตีห้า ของวันที่ ๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๒๙๔
ที่ท่าถนนหลวงประตูใหญ่ติดกำแพงเมือง (เข้าใจว่าคือประตูไชย บริเวณโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา)
ทูตานุทูตขึ้นรถเทียบม้า ไปตามถนนหลวงคณะทูตแลเห็นฟากถนนตกแต่งไปด้วยผ้าต่างๆ มีโคม
ลูกเท่าแตงโมหุ้มตะกั่วประดับกระจก แขวนระยะไปตามถนนนับหมื่น ไฟสว่างไสวทั่วพระนครศรีอยุธยา
ดังกับแสงเดือน รถทูตานุทูตวิ่งมาตามถนนหลวงจนถึงประตูพระราชวังหลวงอันมีชื่อว่า พรหมสุคต
ตั้งแต่ท่าตลอดมา ทั้ง ๒ ข้างถนนขึงผ้าห้าสีปักทอง มีร้านขายเครื่องเงินเครื่องทอง เครื่องทองเหลือง
ทองแดง ทองสำฤทธิ์ และสังกะสี ขายไม้จันทร์แดง จันทร์ขาว ขายฟูกเบาะและม่านปัก ขายเครื่องยาต่างๆ
มีทั้งขายข้าวสาร กล้วย มะพร้าว ส้ม ขนมหวาน ดอกไม้ และเครื่องกิน ร้านเหล่านี้ตกแต่งประดับประดา
ไปด้วยลายทอง แลดูถนนงามอร่ามตลอดไป
เมื่อถึงเขตพระราชวังหลวงนั้น แลเห็นปราสาทราชมณเฑียรล้วนปิดทองอร่าม พวกทูตานุทูตลงจากรถ
แล้วเข้าไปในเขตพระชวังนั้น มีเจ้าพนักงานพาไปนั่งพักที่ศาลาลูกขุน ซึ่งผูกม่านตกแต่งอย่างสวยงาม
วิจิตรตระการตา เจ้าพนักงานนำดอกสะปุมา (เข้าใจว่าคือดอกจำปา) ให้ทูตานุทูตตามประเพณีอยุธยา
เมื่อได้เวลาแล้วเจ้าพนักงานจึงนำทูตานุทูตเข้าไปในเขตพระราชฐาน ผ่านประตูเข้าไป ๒ ชั้น ที่ประตู
ก็ประดับประดาไปด้วยสีทองและสีอื่นๆ เมื่อล่วงประตูชั้นที่ ๒ เข้าไปถึงพระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาท
สองข้างฐานมุขเด็จพระที่นั่ง มีรูปปั้นต่างๆตั้งไว้คือ รูปหมี ราชสีห์ รากษส โทวาริก นาค พิราวะยักษ์
รูปทั้งหลายเหล่านี้ปิดทองเหลืองอร่ามตั้งอย่างละคู่ ตรงหมู่รูปขึ้นไปเป็นมุขเด็จ ตั้งราชบัลลังค์
สูงประมาณ ๑๐ คืบ (พระที่นั่งบุษบกมาลา) ตั้งเครื่องสูงรอบมุขเด็จ ราชบัลลังค์นั้นผูกม่านปิดทองงามน่าพิศวง
ฝาผนังพระที่นั่งก็ปิดทอง บนราชบัลลังค์ตั้งบุษบกที่ประทับ เสด็จออกที่บุษบกนั้น พวกทูตานุทูตเข้าเฝ้า
ถวายราชศาสน์เสร็จแล้ว พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา จึงทรงโปรดเกล้าพระราชราชทานพระบรมราชานุญาติ
ให้คณะทูตไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆในพระราชวังหลวงต่อไป
ข้างฝ่ายขวาพระที่นั่งสรรเพชญมหาปราสาทนั้น มีโรงช้างปิดทอง มีพระยาช้างยืนแท่นปิดทองตัวหนึ่ง
(สีตัว)สี ตา สีขน เหมือนกับทองแดง อีกโรงหนึ่ง เป็นโรงอย่างเดียวกันมีช้างพลายกระ ข้างฝ่ายซ้าย
ของพระที่นั่งก็มีโรงช้าง ๒ โรงเหมือนกัน หน้าประตูพระราชวังชั้นใน ออกมาฝ่ายหนึ่งมีโรงลายทอง
ยืนม้าต้นหลายตัว ล้วนผูกเครื่องทองอันงามวิจิตร อีกฝ่ายหนึ่งมีโรงยืนช้างผูกเครื่องลายทองเป็นหลายเชือก
ต่อนั้นมามีพลทหาร นั่งกลบาดอยู่เป็นอันมาก บ้างถือดาบฝักลายทอง บ้างสวมเกราะถือตรีศูล
บ้างถือธนูสะพัดแล่งปิดทอง บางพวกล้วนแต่เป็นคนที่มีรูปร่างล่ำสันสวมตลอมพอก บางพวกยืนถือปืนคันชีบ
นอกจากพวกพลทหาร ยังมีพวกอื่นมานั่งอยู่เป็นอันมาก ล้วนแต่งตัวโอ่โถ่ง มีผ้าโพกศีรษะสีต่างๆ
เป็นแขกปัตตานีบ้าง แขกมัวบ้าง แขกไวทึกบ้าง มีทั้งชาวเมืองเดลี มะละกา เมืองกาวิสี พวกจีน
พวกฝรั่ง พวกวิลันดา พวกสันยาสี พวกโยคี พวกอังกฤษ ฝรั่งเศส พวกสเปน พวกเดน และชาวเมืองสุรัส
เมืองอังวะ เมืองหงษาวดี ล้วนแล้วมีคนมาประชุมกันหลายชาติหลายภาษา
ที่ริมประตูพระราชวังทั้ง ๒ ข้าง มีแท่งตั้งปืนใหญ่อันหล่อด้วยเบญจโลหะ และมีพลถือตระบองรักษาปืน
ประตูพระราชวังก็ดี ศาลาลูกขุนอันเป็นที่เจ้าพระยามหาอุปราชและข้าราชการประชุมกันก็ดี ประตูพระราชวัง
ยอดปิดทองประดับดอกและเครื่องไม้ เมื่อแลดูกลับเข้าไปเห็นพระที่นั่งหลังคา ๕ ชั้นมียอดอันปิดทอง
ต่อพระที่นั่งออกมาทั้ง ๔ มุม มีหอสูง ๕ ชั้น ล้วนมีหน้าต่างลูกกรง และยังมีพระราชมณเฑียรอีกหลายหลัง
ล้วนปิดทองและหลังคาเป็น ๒ ชั้น ตำหนักพระโอรส ธิดา มเหษี ก็มีรูปแบบเดียวกัน พระราชวังอันงามวิจิตร
ที่กล่าวมานี้ สร้างอยู่ริมกำแพงเมืองติดริมแม่น้ำ
กำแพงนี้ติดต่อตั้งแต่พระราชวังวกวนไปจนบรรจบรอบพระนคร ตั้งแต่ประตูไชยที่ท่าขึ้น กำแพงเมือง
มีเชิงเทินตลอดไปทางด้านขวา มาบรรจบกันที่ด้านแม่น้ำ ภายในกำแพงเมืองมีคลองหลายสาย ยื่นเป็นแนวเดียวกัน
มีเรือและผู้คนที่สัญจรไปมาทางเรือสุดจะพรรณณา จะเห็นว่าภายในพระนครศรีอยุธยานั้น ล้วนตกแต่งเครื่องประดับ
สวยงามเพื่อต้อนรับราชทูต
อ้างอิงจากจดหมายเหตุระวางทูตลังกากับสยามครั้งกรุงศรีอยุธยา