พ่อเรารู้จักคนตำแหน่งสูงๆจากหลายๆบริษัท แต่พ่อก็ไม่เคยฝากงานให้เราเลย ใช่ว่าเราจะอยากให้พ่อฝากงานให้หรอก เราเรียนจบ ป.ตรี ด้วยเกรดสวยๆ ตอนเรียนก็เป็นนักศึกษาทุน และเราก็ทำงานมาหลายที่ ที่ไหนทำแล้วรู้สึกว่าไม่ดีก็ลาออก แล้วเปลี่ยนงานใหม่ แต่ไม่มีงานไหนที่พ่อฝากให้ มีแต่ญาติที่เคยช่วยฝากให้(แต่เราไม่ได้ขอให้ญาติฝากให้ เราไปสมัครเอง แล้วญาติรู้ทีหลังก็เลยโทรไปบอกคนรู้จักที่บริษัทนั้นให้รับเรา) เราก็คิดเหมือนกันว่าทำไมญาติต้องฝากงานให้เรา ขนาดพ่อยังไม่ฝากให้เลย(พ่อก็รู้จักคนที่บริษัทนั้นเหมือนกัน) พอเราเข้าไปทำงาน ได้สนิทสนมกับคนที่สัมภาษณ์เรา เขาก็บอกว่าที่เขารับเราเข้าทำงาน เพราะว่าเราวางตัวได้เป็นธรรมชาติ เขาจึงถูกใจเรา เขาไม่เคยพูดเรื่องที่เราเป็นเด็กฝาก(หรือเขาอาจเก็บไว้ในใจก็ได้) แต่ตอนนี้เราลาออกแล้ว
เราหางานใหม่เรื่อยๆ จนกระทั่งได้งานที่กรุงเทพ(เราเป็นคนต่างจังหวัด) จริงๆแล้วเราก็อยากทำงานแถวๆบ้าน แต่ตอนนั้นแถวๆบ้านไม่ค่อยมีงานที่เราสนใจ หางานยาก เงินเดือนก็น้อยมาก และเราก็ไม่เก่งภาษาอังกฤษ จึงไม่กล้าไปสมัครตามบริษัทใหญ่ๆที่รับคนพูดภาษาอังกฤษได้ แต่พอดีเรามีน้องเรียนอยู่ในมหาลัยที่กรุงเทพ เราจึงเดินทางมากรุงเทพ นอกจากนี้เรายังไปสมัครสอบงานราชการไว้หลายที่ แต่ก็ไม่ผ่านสัมภาษณ์ พ่อเราก็บ่นๆ ว่าไม่อยากให้เราไปสอบแล้ว เพราะต้องเสียค่าสมัครสอบ สมัครหลายที่ก็ยิ่งเสียเงินเยอะ ทั้งค่าสมัคร ค่าเดินทาง และค่าหนังสือติวสอบ มีแต่ขาดทุน ทำงานเอกชนดีกว่า (แต่จริงๆมันก็เป็นเรื่องปกติของงานราชการ คนสมัครเป็นพันเป็นหมื่น แต่รับไม่ถึงสิบคน ยังไงก็สอบติดยากอยู่แล้ว)
ทีนี้มาเรื่องของน้องบ้าง น้องไม่ได้เรียนเก่งเหมือนเรา น้องเรียนจบ ปวส. แล้วพ่อก็ส่งมาเรียนที่มหาลัยเอกชนในกรุงเทพ(เพราะสอบไม่ติดมหาลัยแถวบ้าน) น้องเรียนคณะบริหารฯเหมือนเรา(แต่คนละเอกกัน คนละมหาลัย) พอเรียนไปได้แค่ 1 ปีก็ลาออก เพราะเรียนไม่ไหว บอกว่ายาก เกรดก็น้อยจนจะโดนรีไทร์แล้ว น้องจึงซิ่ว พ่อก็ไม่ว่าอะไร อยากซิ่วก็ให้ซิ่ว ส่วนเราก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้น้องทนเรียนต่อให้จบ เพราะเราอยู่หอกับน้อง เราเห็นพฤติกรรมของน้อง น้องเอาแต่คุยโทรศัพท์กับแฟน เล่นเกมส์ และไปเที่ยว(เราก็ฟ้องพ่อหลายครั้ง แต่พ่อไม่เคยว่าน้องเลย เอาแต่ปล่อย) แต่เราแทบไม่เคยเห็นน้องหยิบหนังสือเรียนมาอ่านเลย ทั้งๆที่มีเวลาว่างตั้งเยอะ เพราะเรียนหลักสูตรต่อเนื่อง 2 ปี ไม่ได้เรียนทุกวัน วันนึงก็เรียนแค่ไม่กี่ชั่วโมง นักศึกษาบางคนเขาเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย แต่น้องเราแค่เรียนอย่างเดียว เราคิดว่ามันไม่ได้เรียนยาก แต่น้องยังพยายามไม่พอ จึงพยายามพูดให้น้องทนเรียนต่อให้จบ แต่สุดท้ายน้องก็ซิ่ว แล้วกลับไปอยู่บ้าน
แม่ก็โทรมาบอกเราว่าช่วยหางานแถวๆบ้านให้น้องทำหน่อย ส่วนเราอยู่กรุงเทพ ก็ช่วยโดยการส่งเว็บหางานไปให้น้อง แล้วให้น้องหาเองว่าอยากได้งานแบบไหน แต่ผ่านไป 1 เดือนแล้ว น้องก็ยังไม่ได้งาน จนกระทั่งวันนี้ พ่อเราติดต่อเรามา แล้วบอกว่าตอนนี้พ่อฝากงานให้น้องแล้ว โดยให้เป็นผู้ช่วยสอนครูฝรั่งที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง และทางโรงเรียนก็รับด้วย เราก็อึ้ง ถามพ่อว่าน้องพูดภาษาอังกฤษได้เหรอถึงจะไปช่วยครูฝรั่ง เพราะทักษะภาษาอังกฤษของน้องก็ไม่ได้ดีไปกว่าเรา ขนาดเรายังไม่กล้าไปสมัครงานแบบนี้เลย แต่พ่อบอกว่าน้องเป็นคนพูดคุยเก่ง และก็ชอบช่วยเหลือคนด้วย คงฝึกได้ไม่ยากหรอก
คำตอบของพ่อทำให้เรารู้สึกฉุน พ่อชอบน้องเพราะน้องเป็นพูดเก่ง แต่เราก็คิดว่างานสอนหนังสือมันต้องใช้ความรู้ ต้องสอนเก่ง ไม่ใช่แค่คุยโม้เก่ง น้องเราเป็นคนพูดเก่งก็จริง แต่ก็ไม่ได้พูดเรื่องที่มีสาระ ไม่ได้พูดจาอ่อนหวานออดอ้อนใคร แต่จะออกแนวพูดเรื่องเล่นๆ น้องเราเป็นสาวสังคม เที่ยวเก่ง ใช้เงินเก่ง(ตอนเรียนมหาลัยพ่อส่งเงินให้น้องใช้อาทิตย์ละหลายพัน แม่ยังบ่นเลยว่ามากไป เวลาแม่บ่น พ่อก็ว่าแม่) มีแฟน มีเพื่อนมาหาบ่อยๆ เพื่อนมาชวนไปเที่ยวบ้าง มาชวนไปทำกิจกรรมที่โบสถ์บ้าง และน้องก็อาจเคยทำกิจกรรมในโรงเรียนด้วย ตอนเรียนมหาลัยก็ต้องทำกิจกรรมช่วยเหลือผู้อื่น(เพราะน้องสมัครขอทุนการศึกษา แล้วทางมหาลัยบังคับให้ทำกิจกรรม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทุน เพราะทำเกรดไม่ถึง) เราคิดว่าคงเป็นเพราะเรื่องนี้แหละที่ทำให้พ่อมองว่าน้องชอบช่วยเหลือคน
ส่วนเราไม่ใช่คนพูดเก่ง เราเป็นคนเงียบๆ ไม่ชอบเที่ยว มีเพื่อนไม่กี่คน ไม่มีแฟน ถึงเราจะไม่ค่อยพูด แต่เราก็สามารถพูดเรื่องที่เป็นงานเป็นการได้อย่างคล่องแคล่ว เคยผ่านการพูดและการแสดงละครบนเวทีต่อหน้าคนเป็นร้อยๆมาก่อน(เราจะพูดเก่งตอนที่อยากพูดและตอนที่โดนสถานการณ์บังคับ) เคยทำกิจกรรมหลายอย่างที่มหาลัยด้วย(ทั้งกิจกรรมของนักศึกษาทุน และกิจกรรมที่เราอยากทำเอง บางกิจกรรมก็เป็นการช่วยเหลือคนอื่นเหมือนกัน มีออกนอกสถานที่บ้าง แต่เราชอบไป เพราะตอนอยู่บ้านพ่อไม่ค่อยพาไปเที่ยว จึงต้องไปกับมหาลัยแทน) แต่เราไม่ได้พูดเก่งตอนอยู่บ้าน(มีแต่เถียงเก่ง แต่น้องก็เถียงเก่งเหมือนกัน) พ่อจึงไม่เคยเห็นมุมพูดเก่งของเราไง เคยเห็นแต่มุมเงียบๆของเรา พ่อคงไม่ชอบที่เราเป็นคนพูดน้อย ก็เลยบ่นเราบ่อยๆให้เราปรับปรุงตัว เราก็คิดมาตลอดว่าเราผิดตรงไหน เราผิดมากเหรอ ทุกคนมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
เราขอย้ำอีกครั้งว่า เราไม่ได้ต้องการให้พ่อฝากงานให้เรา แต่เราน้อยใจที่เห็นพ่อเอาแต่ช่วยน้อง เรารู้สึกว่าน้องโชคดี และเราโชคร้าย พ่อบอกเราว่าทำงานแถวบ้านดีกว่าทำงานที่กรุงเทพ พ่อพูดแบบนี้ แต่ก็ไม่เคยช่วยหางานให้ ไม่เคยพูดว่าจะฝากงานที่ไหนให้เราเลย (แม่ก็บ่นกับเราอยู่ว่าทำไมพ่อถึงไม่ฝากงานให้เราบ้าง) เราหางานเองอยู่นาน แต่หาไม่ได้ จนต้องดั้นด้นมาหางานที่กรุงเทพนี่แหละ ต้องมาอยู่ไกลจากครอบครัว ทำไมนะ ทำไม ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้แย่กว่าน้อง เราแค่แตกต่างจากน้องเท่านั้น
(ปล. ยาวหน่อย เพราะระบาย คงไม่มีใครระบายสั้นๆกันหรอก)
(ระบาย) พ่อช่วยฝากงานให้น้อง เราได้แต่น้อยใจและอิจฉา
เราหางานใหม่เรื่อยๆ จนกระทั่งได้งานที่กรุงเทพ(เราเป็นคนต่างจังหวัด) จริงๆแล้วเราก็อยากทำงานแถวๆบ้าน แต่ตอนนั้นแถวๆบ้านไม่ค่อยมีงานที่เราสนใจ หางานยาก เงินเดือนก็น้อยมาก และเราก็ไม่เก่งภาษาอังกฤษ จึงไม่กล้าไปสมัครตามบริษัทใหญ่ๆที่รับคนพูดภาษาอังกฤษได้ แต่พอดีเรามีน้องเรียนอยู่ในมหาลัยที่กรุงเทพ เราจึงเดินทางมากรุงเทพ นอกจากนี้เรายังไปสมัครสอบงานราชการไว้หลายที่ แต่ก็ไม่ผ่านสัมภาษณ์ พ่อเราก็บ่นๆ ว่าไม่อยากให้เราไปสอบแล้ว เพราะต้องเสียค่าสมัครสอบ สมัครหลายที่ก็ยิ่งเสียเงินเยอะ ทั้งค่าสมัคร ค่าเดินทาง และค่าหนังสือติวสอบ มีแต่ขาดทุน ทำงานเอกชนดีกว่า (แต่จริงๆมันก็เป็นเรื่องปกติของงานราชการ คนสมัครเป็นพันเป็นหมื่น แต่รับไม่ถึงสิบคน ยังไงก็สอบติดยากอยู่แล้ว)
ทีนี้มาเรื่องของน้องบ้าง น้องไม่ได้เรียนเก่งเหมือนเรา น้องเรียนจบ ปวส. แล้วพ่อก็ส่งมาเรียนที่มหาลัยเอกชนในกรุงเทพ(เพราะสอบไม่ติดมหาลัยแถวบ้าน) น้องเรียนคณะบริหารฯเหมือนเรา(แต่คนละเอกกัน คนละมหาลัย) พอเรียนไปได้แค่ 1 ปีก็ลาออก เพราะเรียนไม่ไหว บอกว่ายาก เกรดก็น้อยจนจะโดนรีไทร์แล้ว น้องจึงซิ่ว พ่อก็ไม่ว่าอะไร อยากซิ่วก็ให้ซิ่ว ส่วนเราก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้น้องทนเรียนต่อให้จบ เพราะเราอยู่หอกับน้อง เราเห็นพฤติกรรมของน้อง น้องเอาแต่คุยโทรศัพท์กับแฟน เล่นเกมส์ และไปเที่ยว(เราก็ฟ้องพ่อหลายครั้ง แต่พ่อไม่เคยว่าน้องเลย เอาแต่ปล่อย) แต่เราแทบไม่เคยเห็นน้องหยิบหนังสือเรียนมาอ่านเลย ทั้งๆที่มีเวลาว่างตั้งเยอะ เพราะเรียนหลักสูตรต่อเนื่อง 2 ปี ไม่ได้เรียนทุกวัน วันนึงก็เรียนแค่ไม่กี่ชั่วโมง นักศึกษาบางคนเขาเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย แต่น้องเราแค่เรียนอย่างเดียว เราคิดว่ามันไม่ได้เรียนยาก แต่น้องยังพยายามไม่พอ จึงพยายามพูดให้น้องทนเรียนต่อให้จบ แต่สุดท้ายน้องก็ซิ่ว แล้วกลับไปอยู่บ้าน
แม่ก็โทรมาบอกเราว่าช่วยหางานแถวๆบ้านให้น้องทำหน่อย ส่วนเราอยู่กรุงเทพ ก็ช่วยโดยการส่งเว็บหางานไปให้น้อง แล้วให้น้องหาเองว่าอยากได้งานแบบไหน แต่ผ่านไป 1 เดือนแล้ว น้องก็ยังไม่ได้งาน จนกระทั่งวันนี้ พ่อเราติดต่อเรามา แล้วบอกว่าตอนนี้พ่อฝากงานให้น้องแล้ว โดยให้เป็นผู้ช่วยสอนครูฝรั่งที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง และทางโรงเรียนก็รับด้วย เราก็อึ้ง ถามพ่อว่าน้องพูดภาษาอังกฤษได้เหรอถึงจะไปช่วยครูฝรั่ง เพราะทักษะภาษาอังกฤษของน้องก็ไม่ได้ดีไปกว่าเรา ขนาดเรายังไม่กล้าไปสมัครงานแบบนี้เลย แต่พ่อบอกว่าน้องเป็นคนพูดคุยเก่ง และก็ชอบช่วยเหลือคนด้วย คงฝึกได้ไม่ยากหรอก
คำตอบของพ่อทำให้เรารู้สึกฉุน พ่อชอบน้องเพราะน้องเป็นพูดเก่ง แต่เราก็คิดว่างานสอนหนังสือมันต้องใช้ความรู้ ต้องสอนเก่ง ไม่ใช่แค่คุยโม้เก่ง น้องเราเป็นคนพูดเก่งก็จริง แต่ก็ไม่ได้พูดเรื่องที่มีสาระ ไม่ได้พูดจาอ่อนหวานออดอ้อนใคร แต่จะออกแนวพูดเรื่องเล่นๆ น้องเราเป็นสาวสังคม เที่ยวเก่ง ใช้เงินเก่ง(ตอนเรียนมหาลัยพ่อส่งเงินให้น้องใช้อาทิตย์ละหลายพัน แม่ยังบ่นเลยว่ามากไป เวลาแม่บ่น พ่อก็ว่าแม่) มีแฟน มีเพื่อนมาหาบ่อยๆ เพื่อนมาชวนไปเที่ยวบ้าง มาชวนไปทำกิจกรรมที่โบสถ์บ้าง และน้องก็อาจเคยทำกิจกรรมในโรงเรียนด้วย ตอนเรียนมหาลัยก็ต้องทำกิจกรรมช่วยเหลือผู้อื่น(เพราะน้องสมัครขอทุนการศึกษา แล้วทางมหาลัยบังคับให้ทำกิจกรรม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทุน เพราะทำเกรดไม่ถึง) เราคิดว่าคงเป็นเพราะเรื่องนี้แหละที่ทำให้พ่อมองว่าน้องชอบช่วยเหลือคน
ส่วนเราไม่ใช่คนพูดเก่ง เราเป็นคนเงียบๆ ไม่ชอบเที่ยว มีเพื่อนไม่กี่คน ไม่มีแฟน ถึงเราจะไม่ค่อยพูด แต่เราก็สามารถพูดเรื่องที่เป็นงานเป็นการได้อย่างคล่องแคล่ว เคยผ่านการพูดและการแสดงละครบนเวทีต่อหน้าคนเป็นร้อยๆมาก่อน(เราจะพูดเก่งตอนที่อยากพูดและตอนที่โดนสถานการณ์บังคับ) เคยทำกิจกรรมหลายอย่างที่มหาลัยด้วย(ทั้งกิจกรรมของนักศึกษาทุน และกิจกรรมที่เราอยากทำเอง บางกิจกรรมก็เป็นการช่วยเหลือคนอื่นเหมือนกัน มีออกนอกสถานที่บ้าง แต่เราชอบไป เพราะตอนอยู่บ้านพ่อไม่ค่อยพาไปเที่ยว จึงต้องไปกับมหาลัยแทน) แต่เราไม่ได้พูดเก่งตอนอยู่บ้าน(มีแต่เถียงเก่ง แต่น้องก็เถียงเก่งเหมือนกัน) พ่อจึงไม่เคยเห็นมุมพูดเก่งของเราไง เคยเห็นแต่มุมเงียบๆของเรา พ่อคงไม่ชอบที่เราเป็นคนพูดน้อย ก็เลยบ่นเราบ่อยๆให้เราปรับปรุงตัว เราก็คิดมาตลอดว่าเราผิดตรงไหน เราผิดมากเหรอ ทุกคนมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
เราขอย้ำอีกครั้งว่า เราไม่ได้ต้องการให้พ่อฝากงานให้เรา แต่เราน้อยใจที่เห็นพ่อเอาแต่ช่วยน้อง เรารู้สึกว่าน้องโชคดี และเราโชคร้าย พ่อบอกเราว่าทำงานแถวบ้านดีกว่าทำงานที่กรุงเทพ พ่อพูดแบบนี้ แต่ก็ไม่เคยช่วยหางานให้ ไม่เคยพูดว่าจะฝากงานที่ไหนให้เราเลย (แม่ก็บ่นกับเราอยู่ว่าทำไมพ่อถึงไม่ฝากงานให้เราบ้าง) เราหางานเองอยู่นาน แต่หาไม่ได้ จนต้องดั้นด้นมาหางานที่กรุงเทพนี่แหละ ต้องมาอยู่ไกลจากครอบครัว ทำไมนะ ทำไม ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้แย่กว่าน้อง เราแค่แตกต่างจากน้องเท่านั้น
(ปล. ยาวหน่อย เพราะระบาย คงไม่มีใครระบายสั้นๆกันหรอก)