สวัสดีครับ อาทิตย์นี้เอาเคสแปลกๆมาฝากกันอีกเคสครับ
สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านของอาทิตย์ที่แล้วนะครับ:
http://pantip.com/topic/35489033
เรื่องนี้ผมไม่ได้เจอขึ้นกับตัวเอง แต่ได้ไปอ่านมาจาก New York Magazine น่ะครับ ส่วนการอธิบายเพิ่มเติมก็หามาจากตำราต่างๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นครับ รูปทั้งหมดใส่มาเพื่อเพิ่มความเข้าใจในการอ่าน และผมหวังว่าจะชอบกันน่ะครับ
บทความนี้ไม่ใช่การวินิจฉัย ท่านไม่ควรวินิจฉัยโรคด้วยตัวเอง ถ้าหากมีอาการให้ปรึกษาแพทย์น่ะครับผม
ณ แผนกกุมารเวชศาสตร์ ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
“สวัสดีค่ะคุณหมอ” เป็นเสียงของคุณแม่ที่กำลังอุ้มเด็กชายอายุสองขวบเข้ามาในห้องตรวจ
คุณหมอที่ได้รับเคสเป็นหมอฝึกหัดชั้นปีที่สอง ของสาขากุมารเวชศาสตร์
เด็กที่อยู่ในอ้อมอกของแม่นั้นมีหน้าตาที่เศร้าหมอง และสะอื้นตลอดเวลา
“ไหนเป็นอะไรมาขอหมอดูหน่อยน่ะครับคนเก่ง ไม่ต้องร้องไห้น่ะครับ แป๊ปเดียว ไม่เจ็บ” หมอพูดอย่างยิ้มแย้ม และ ใจเย็น
แต่ถึงอย่างนั้น เสียงของหมอ ทำให้เด็กคนนี้ร้องไห้หนักขึ้นไปอีก น้ำตาไหลลงมาที่แก้มทั้งสองข้าง
หน้าของหนูน้อยตอนนี้แดงก่ำจากการเปล่งเสียงร้องไห้
“ไม่เป็นไรน่ะครับ” หมอกล่าว
แต่ดูเหมือนเด็กคนนี้ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากการร้องไห้
“ที่บ้านน้องมีอาการอะไรบ้างหรอครับ?” หมอถามผู้เป็นแม่ และแม่ของเด็กก็ได้อธิบายถึงเหตุผลกลุ้มใจที่ต้องพาลูกมาโรงพยาบาล ทั้งที่ไกลจากบ้านตัวเองหลายชั่วโมง
เรื่องราวของเด็กพิเศษคนหนึ่ง
เด็กน้อยคนนี้เป็นเด็กพิเศษ
(autistic) แตกต่างจากพี่ๆทั้งสองของเค้า
เค้าเป็นเด็กน่ารักน่าเอ็นดู แต่มีการพัฒนาการที่ช้ากว่าเด็กปกติทั่วไป
ตอนนี้น้องอายุ 26 เดือน
แต่ยังพูดไม่ได้ เพิ่งเรียนรู้ที่จะเดินด้วยตัวเองไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเท่านั้นเอง
“หลังๆนี้แก
ล้มบ่อยมากค่ะหมอ” แม่พูดอย่างกังวล “
ทำให้บางทีแกกลับไปคลานก่อนซักสองสามวัน นี่แกก็เพิ่งจะเริ่มลุกขึ้นมาเดินใหม่”
หมอได้แต่คิดว่าจะเป็นเพราะอะไร แต่มันอาจจะเป็นเพราะเด็กคนนี้มีพัฒนาการที่ช้ากว่าเด็กทั่วไปอยู่แล้ว อาจจะต้องให้แม่ใจเย็นมากกว่านี้
หมอได้แต่ปลอบคนที่เป็นแม่ไปว่า “ลูกชายของคุณแค่ตอนนี้อาจจะลำบากกว่าเด็กคนอื่นนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ”
อันนี้เป็นตารางการพัฒนาของเด็กน่ะครับ
สังเกตว่าถ้าเด็กปกติอายุประมาณ 2 ขวบจะต้อง เดินได้คล่อง รวมถึงวิ่งได้แล้ว และสามารถขึ้นบันไดได้เองด้วยครับ
แม่ได้แต่พยักหน้า เธอรู้สึกเศร้า แต่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เหมือนเธอเคยได้ยินคำตอบนี้มาจากหมออีกหลายๆท่านที่เธอไปหามาก่อนหน้านี้
“ค่ะหมอ ขอบคุณมากน่ะคะ”
ในระหว่างที่กำลังจะลากับคุณหมอ ลูกชายของเธอก็ดิ้นทำให้คนที่เป็นแม่ต้องปล่อยให้ลูกยืน และจูงมือลูงเดินออกไปจากห้องตรวจ
“เดี๋ยวก่อนครับ!” หมอตะโกนออกมาจากที่โต๊ะ
“ไหนเดินกลับมาหาหมอใหม่ได้ไหมครับ”
สิ่งที่หมอสังเกตเห็นคือ
เด็กเดินกลับมาในลักษณะเอียงไปทางด้านซ้าย เหมือนลงน้ำหนักของร่างกายไปทางด้านซ้ายมากกว่าด้านขวา
หรือว่าการที่เค้าเป็นเด็กพิเศษไม่ได้เป็นเหตุผลที่ทำไมเด็กคนนี้ถึงเดินได้ช้า
แต่มันเป็นเพราะร่างกายเค้าต่างหากที่ทำให้เค้าเดินได้ยากและทำให้เด็กไม่อยากเดิน
หมอสงสัยว่าคนไข้จะเป็น โรคหัวกระดูกต้นขาแบน
(Perthes Disease)
หมอได้ส่งเคสให้กับแพทย์ศัลยกรรมกระดูกและข้อ
(Orthopedic Surgeon)
โรค
Perthes เป็นความผิดปกติของข้อต่อตะโพก ไม่ลุกลาม เกิดจากการที่กระดูกบริเวณข้อต่อตะโพกขาดเลือดไปเลี้ยง สาเหตุจริงๆยังไม่มีใครทราบ อาจจะเป็นเพราะเส้นเลือดบริเวณมีลักษณะเล็กกว่าปกติ ทำให้เวลาเกิดการอักเสบของเยื่อบุข้อและเกิดอาการบวม ทำให้ไปกดทับเส้นเลือด และทำให้กระดูกขาดเลือด พอขาดเลือดเซลล์กระดูกก็ตายครับ อาจจะทำให้มีอาการเดินไม่สะดวก และปวดบริเวณข้อต่อตะโพก
“โรคนี้ไม่ได้เจอบ่อยๆ แต่ควบคุมได้ง่ายครับ ในเด็กอายุแค่นี้ยังไม่ต้องผ่าตัดหรอก” หมอกระดูกพูดอย่างมีกำลังใจ
“เดี๋ยวขอหมอดูผล X-Ray หน่อยน่ะครับ”
ผลออกมาไม่ได้น่าพอใจมาก ยังสรุปไม่ได้ เพราะไม่เห็นสิ่งผิดปกติในข้อต่อตะโพก แต่หมอไม่ได้กังวลอะไร เพราะมันต้องใช้เวลาซักพักกว่าจะเห็นบนฟิล์ม X-Ray
“
ยังไม่ชัดเท่าไหร่ แต่มันอาจจะยังมองไม่เห็น เดี๋ยวหมอจะให้รายการออกกำลังกายสำหรับโรคนี้ไว้แล้วกันน่ะครับ ให้ทำตามนี้ทุกวัน แล้วเดี๋ยวอีกหนึ่งเดือนลองมา X-Ray ดูใหม่” พูดจบก็ยื่นกระดาษรายการท่าทางออกกำลังกายให้
คุณแม่ดีใจมาก ที่ตอนนี้รู้แล้วว่าลูกเป็นอะไร เธอขอบคุณหมอทั้งสองคน และรับรายการออกกำลังกายไว้ และพาลูกของเธอกลับบ้านอย่างสบายใจ
คุณหมอคะ สองขวบกว่าแล้ว ทำไมลูกยังเดินไม่ค่อยได้เลย แถมร้องไห้ตลอดเวลา บทความทางการแพทย์จาก New York Magazine
สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านของอาทิตย์ที่แล้วนะครับ: http://pantip.com/topic/35489033
เรื่องนี้ผมไม่ได้เจอขึ้นกับตัวเอง แต่ได้ไปอ่านมาจาก New York Magazine น่ะครับ ส่วนการอธิบายเพิ่มเติมก็หามาจากตำราต่างๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นครับ รูปทั้งหมดใส่มาเพื่อเพิ่มความเข้าใจในการอ่าน และผมหวังว่าจะชอบกันน่ะครับ
บทความนี้ไม่ใช่การวินิจฉัย ท่านไม่ควรวินิจฉัยโรคด้วยตัวเอง ถ้าหากมีอาการให้ปรึกษาแพทย์น่ะครับผม
ณ แผนกกุมารเวชศาสตร์ ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
“สวัสดีค่ะคุณหมอ” เป็นเสียงของคุณแม่ที่กำลังอุ้มเด็กชายอายุสองขวบเข้ามาในห้องตรวจ
คุณหมอที่ได้รับเคสเป็นหมอฝึกหัดชั้นปีที่สอง ของสาขากุมารเวชศาสตร์
เด็กที่อยู่ในอ้อมอกของแม่นั้นมีหน้าตาที่เศร้าหมอง และสะอื้นตลอดเวลา
“ไหนเป็นอะไรมาขอหมอดูหน่อยน่ะครับคนเก่ง ไม่ต้องร้องไห้น่ะครับ แป๊ปเดียว ไม่เจ็บ” หมอพูดอย่างยิ้มแย้ม และ ใจเย็น
แต่ถึงอย่างนั้น เสียงของหมอ ทำให้เด็กคนนี้ร้องไห้หนักขึ้นไปอีก น้ำตาไหลลงมาที่แก้มทั้งสองข้าง
หน้าของหนูน้อยตอนนี้แดงก่ำจากการเปล่งเสียงร้องไห้
“ไม่เป็นไรน่ะครับ” หมอกล่าว
แต่ดูเหมือนเด็กคนนี้ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากการร้องไห้
“ที่บ้านน้องมีอาการอะไรบ้างหรอครับ?” หมอถามผู้เป็นแม่ และแม่ของเด็กก็ได้อธิบายถึงเหตุผลกลุ้มใจที่ต้องพาลูกมาโรงพยาบาล ทั้งที่ไกลจากบ้านตัวเองหลายชั่วโมง
เรื่องราวของเด็กพิเศษคนหนึ่ง
เด็กน้อยคนนี้เป็นเด็กพิเศษ (autistic) แตกต่างจากพี่ๆทั้งสองของเค้า
เค้าเป็นเด็กน่ารักน่าเอ็นดู แต่มีการพัฒนาการที่ช้ากว่าเด็กปกติทั่วไป
ตอนนี้น้องอายุ 26 เดือน แต่ยังพูดไม่ได้ เพิ่งเรียนรู้ที่จะเดินด้วยตัวเองไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเท่านั้นเอง
“หลังๆนี้แก ล้มบ่อยมากค่ะหมอ” แม่พูดอย่างกังวล “ทำให้บางทีแกกลับไปคลานก่อนซักสองสามวัน นี่แกก็เพิ่งจะเริ่มลุกขึ้นมาเดินใหม่”
หมอได้แต่คิดว่าจะเป็นเพราะอะไร แต่มันอาจจะเป็นเพราะเด็กคนนี้มีพัฒนาการที่ช้ากว่าเด็กทั่วไปอยู่แล้ว อาจจะต้องให้แม่ใจเย็นมากกว่านี้
หมอได้แต่ปลอบคนที่เป็นแม่ไปว่า “ลูกชายของคุณแค่ตอนนี้อาจจะลำบากกว่าเด็กคนอื่นนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ”
อันนี้เป็นตารางการพัฒนาของเด็กน่ะครับ
สังเกตว่าถ้าเด็กปกติอายุประมาณ 2 ขวบจะต้อง เดินได้คล่อง รวมถึงวิ่งได้แล้ว และสามารถขึ้นบันไดได้เองด้วยครับ
แม่ได้แต่พยักหน้า เธอรู้สึกเศร้า แต่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เหมือนเธอเคยได้ยินคำตอบนี้มาจากหมออีกหลายๆท่านที่เธอไปหามาก่อนหน้านี้
“ค่ะหมอ ขอบคุณมากน่ะคะ”
ในระหว่างที่กำลังจะลากับคุณหมอ ลูกชายของเธอก็ดิ้นทำให้คนที่เป็นแม่ต้องปล่อยให้ลูกยืน และจูงมือลูงเดินออกไปจากห้องตรวจ
“เดี๋ยวก่อนครับ!” หมอตะโกนออกมาจากที่โต๊ะ
“ไหนเดินกลับมาหาหมอใหม่ได้ไหมครับ”
สิ่งที่หมอสังเกตเห็นคือ เด็กเดินกลับมาในลักษณะเอียงไปทางด้านซ้าย เหมือนลงน้ำหนักของร่างกายไปทางด้านซ้ายมากกว่าด้านขวา
หรือว่าการที่เค้าเป็นเด็กพิเศษไม่ได้เป็นเหตุผลที่ทำไมเด็กคนนี้ถึงเดินได้ช้า
แต่มันเป็นเพราะร่างกายเค้าต่างหากที่ทำให้เค้าเดินได้ยากและทำให้เด็กไม่อยากเดิน
หมอสงสัยว่าคนไข้จะเป็น โรคหัวกระดูกต้นขาแบน (Perthes Disease)
หมอได้ส่งเคสให้กับแพทย์ศัลยกรรมกระดูกและข้อ (Orthopedic Surgeon)
โรค Perthes เป็นความผิดปกติของข้อต่อตะโพก ไม่ลุกลาม เกิดจากการที่กระดูกบริเวณข้อต่อตะโพกขาดเลือดไปเลี้ยง สาเหตุจริงๆยังไม่มีใครทราบ อาจจะเป็นเพราะเส้นเลือดบริเวณมีลักษณะเล็กกว่าปกติ ทำให้เวลาเกิดการอักเสบของเยื่อบุข้อและเกิดอาการบวม ทำให้ไปกดทับเส้นเลือด และทำให้กระดูกขาดเลือด พอขาดเลือดเซลล์กระดูกก็ตายครับ อาจจะทำให้มีอาการเดินไม่สะดวก และปวดบริเวณข้อต่อตะโพก
“โรคนี้ไม่ได้เจอบ่อยๆ แต่ควบคุมได้ง่ายครับ ในเด็กอายุแค่นี้ยังไม่ต้องผ่าตัดหรอก” หมอกระดูกพูดอย่างมีกำลังใจ
“เดี๋ยวขอหมอดูผล X-Ray หน่อยน่ะครับ”
ผลออกมาไม่ได้น่าพอใจมาก ยังสรุปไม่ได้ เพราะไม่เห็นสิ่งผิดปกติในข้อต่อตะโพก แต่หมอไม่ได้กังวลอะไร เพราะมันต้องใช้เวลาซักพักกว่าจะเห็นบนฟิล์ม X-Ray
“ยังไม่ชัดเท่าไหร่ แต่มันอาจจะยังมองไม่เห็น เดี๋ยวหมอจะให้รายการออกกำลังกายสำหรับโรคนี้ไว้แล้วกันน่ะครับ ให้ทำตามนี้ทุกวัน แล้วเดี๋ยวอีกหนึ่งเดือนลองมา X-Ray ดูใหม่” พูดจบก็ยื่นกระดาษรายการท่าทางออกกำลังกายให้
คุณแม่ดีใจมาก ที่ตอนนี้รู้แล้วว่าลูกเป็นอะไร เธอขอบคุณหมอทั้งสองคน และรับรายการออกกำลังกายไว้ และพาลูกของเธอกลับบ้านอย่างสบายใจ