เราเจอกับสามีในที่ทำงาน เป็นเพื่อนร่วมงานกันสักพักเค้าก็มาจีบและตกลงเป็นแฟนกัน
สามีเป็นคนหน้าตาดี สุภาพอ่อนโยน เอาอกเอาใจ ใครอยู่ใกล้จะชอบเค้าทุกคน
ตลอดระยะเวลาที่เป็นแฟน และแต่งงานกัน เรารู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่มีคนที่รักเรามากได้ขนาดนี้
แต่งงานกันปีเดียวก็มีลูก เราออกจากงานมาเลี้ยงลูกอยู่บ้าน สามีไปทำงานทุกวัน (จากที่เคยไปด้วยกันตลอด)
หลังจากนั้นพฤติกรรมเค้าเริ่มเปลี่ยนไป
พอลูกอายุได้ 2 ขวบ เราก็จับได้ว่าเค้ามีผู้หญิงคนใหม่เป็นเด็กฝึกงานที่ทำงานนั่นเอง
ตอนนั้นเราไม่มีสติเลย ก็หาเรื่องทะเลาะกับเค้าทุกวัน เพราะความที่มั่นใจในตัวเองมากว่าเค้ารักเราและลูกสุดๆเค้าต้องเลือกเรา
แต่สามีที่เราคิดว่ารู้จักเค้าดี กลับไม่ใช่อย่างที่เราคิด
เค้าไม่อ่อนโยนกับเราอีกต่อไป และย้ายออกจากบ้านไปอยู่บ้านเก่าที่เราปิดเอาไว้
แทนที่เราจะสงบจิตสงบใจ คุยกับเค้าดีๆแต่กลับอาละวาดหนักขึ้น และตามไปกดดันให้เค้าเลือกเรากับลูกให้ได้
ทางบ้านเราพยายามดึงเราไว้ บอกว่าให้เวลาเค้าคิดทบทวนบ้าง อย่าไปกดดันเค้า
เราจึงสงบลงและเริ่มกลับไปทำงานอีกครั้ง
ภายในเวลาไม่นานเค้าเลิกกับเด็กฝึกงานและเริ่มจริงจังกับผู้หญิงอีกคนที่เค้าคบไปพร้อมๆกัน
เราไม่รู้เรื่องผู้หญิงคนนี้มาก่อน จนกระทั่งมีคนบอกว่าเห็นสามีไปไหนมาไหนกับคนนี้หลายครั้ง
พอคาดคั้นจนรู้ความจริงเราก็สติแตกอีกครั้ง และเหมือนเดิม แทนที่จะฉลาด เรากลับปล่อยให้โทสะครอบงำจิตใจ
ตามอาละวาดสามีอย่างไม่ลดละ เพื่อกดดันให้เค้าเลิกกับผู้หญิงคนนี้ให้ได้
โดยไม่รู้เลยว่าการกระทำแบบนั้นมันยิ่งทำลายคุณค่าในตัวลงไปอย่างมากมาย
มันยิ่งทำให้เห็นการเปรียบเทียบระหว่างภรรยาที่มีแต่อารมณ์ กับ หญิงอีกคนที่มีแต่ความอ่อนหวานเอาใจ
ในที่สุดสามีเรามาบอกเลิกต่อหน้าพ่อแม่ ทำเอาเราเกือบบ้าเลย
เหตุการณ์รุนแรงมากจนแม่เราบอกให้เค้ากลับไปก่อน
เค้าก็หนีหายไป และย้ายที่อยู่ไม่ให้เราตามตัวได้
ทิ้งเรากับลูกให้อยู่กันเองแบบไม่ติดต่อมาอีกเลย
ระหว่างนั้นทุกข์ใจมากที่สุด ทำใจไม่ได้ แต่ไม่รู้จะทำยังไง
ร้องไห้ทุกวัน กินอะไรไม่ลง ทุกข์ทรมานมากที่สุดในชีวิต
เราพยายามทำงานอย่างหนัก เพื่อให้เหนื่อยให้ลืม
จนลูกเข้าโรงเรียนก็มีกำลังใจขึ้นมาบ้างเพราะลูกน่ารัก ร่าเริงมาก
แต่ในใจก็ยังไม่สามารถลืมสามีได้
เวรกรรมยังไม่หมด ต่อมาเราตามเจอว่าเค้าไปเช่าบ้านอยู่กับผู้หญิงคนนั้น
เราก็ขาดสติ แล้วตามไปอาละวาดทันที
อันนี้เราขอเตือนผู้หญิงทุกคนเลยว่าสติเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
หากคิดว่าการไปร้องไห้ ตีโพยตีพาย ขอความเห็นใจแล้วเค้าจะกลับมา หรือเค้าจะสงสาร
เป็นไปไม่ได้เลย มันยิ่งทำให้คุณค่าในตัวเราลดลงไปอีก
ถ้าเค้าคิดถึงจิตใจเรา เค้าจะไม่ทิ้งเราไปหรอก
เราไปร้องไห้ ขอร้องจนน้ำตาจะเป็นสายเลือด เค้าก็จะยิ่งสมเพท
กรณีของเรา พอเกิดเหตุครั้งนี้ เค้าก็หนีไปอีก
คราวนี้ย้ายเข้าบ้านผู้หญิงไปเลย เรารู้แต่คราวนี้ไม่กล้าตามแล้ว หมดอาลัยตายอยากในชีวิต
เสียใจจนแทบบ้า แต่ก็ต้องค่อยๆหาทางดำเนินชีวิตต่อไปให้ได้
โชคดีที่เราได้งานดี เป็นงานที่สนุก เพื่อนๆร่วมงานดีมาก ทำให้หลายๆอย่างดีขึ้น
และไม่เดือดร้อนเรื่องการเงินแม้จะต้องเลี้ยงดูลูกเองตามลำพัง
เวลาผ่านไปเป็นปี เมื่อจิตใจดีขึ้น มีโอกาสที่เราและสามีได้กลับมาเจอกันอีก
เพราะเราเคยทำงานด้วยกัน และยังคงวนเวียนในงานประเภทงานเดียวกัน
เราก็เริ่มกลับมาคุยกันดีๆ
เค้าก็ค่อยๆกลับมาในชีวิตบ้าง มาหาลูก ไปกินข้าวกัน
แต่เรารู้ว่าเค้าก็ยังมีผู้หญิงอยู่ เราก็ไม่อยากจะถามว่าเป็นใคร คนเดิมหรือรายใหม่
ในใจยังคงเจ็บปวดอยู่ทุกครั้งที่ได้เจอกัน แต่ก็พยายามสะกดความรู้สึกไว้ และเลือกที่เก็บช่วงเวลาดีๆเอาไว้
แต่มันไม่ง่ายเพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เราก็ยังรู้สึกรักและผูกพัน
ยิ่งเค้ากลับมาใช้เวลาอยู่ด้วยกัน บางทีมาอยู่ที่บ้านทั้งวันตั้งแต่เช้าจนค่ำถึงจะกลับ
เราก็เริ่มจะเรียกร้องเวลาจากเค้ามากขึ้น
เราสับสนมากใจนึงเรายังไม่คิดว่าอยากจะกลับมาอยู่ด้วยกัน แต่อีกใจก็นึกถึงวันที่เค้าดูแลเราอย่างดี
มันทำใจไม่ได้ที่จะนึกถึงว่าเค้าไปดูแลคนอื่นเหมือนที่ทำกับเรา
ตลอดสิบปีมานี่ สถานการณ์ของเราวนเวียนเป็นวังวน กลับมาพูดคุยกันใหม่
แต่แล้วก็ทรุดลงไปใหม่ ทะเลาะกันอีก (ช่วงเค้าเปลี่ยนหญิงคนใหม่) แยกกันไปอีก
เราฟื้นฟูจิตใจสร้างเนื้อสร้างตัวใหม่
แล้ววนเวียนกลับมาเจอกันอีก คุยกันได้ดีๆ จนคนภายนอกคิดว่ากลับมาคืนดีกันแล้ว
ทุกครั้งที่กลับมาคุยกัน เค้าจะทำตัวเหมือนปกติ พาเราและลูกไปเยี่ยมญาติทางครอบครัวเค้า
ไปเที่ยวต่างจังหวัด กินข้าวกันก็จะตักให้ นั่งแกะกุ้ง แกะปูให้ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เราตั้งแต่เป็นแฟนกัน
และทำมาสม่ำเสมอ
อะไรเล็กๆน้อยๆ และบุคคลิกที่สุภาพอ่อนโยน ทำให้เราใจอ่อนลงไปทุกครั้ง
คู่เราคือคู่เวรคู่กรรมใช่ไหมคะ อยู่กันไม่ได้ แต่แยกกันก็ไม่ขาด
เหนื่อยค่ะ เหนื่อยมาก
สถานภาพเราไม่ได้หย่าขาดจากกัน ในส่วนลึกเราก็ยังมีความผูกพันกับเค้ามาก บอกไม่ได้ว่าคืออะไร
ไม่ใช่ความเสน่หา อยากมีสัมพันธ์หรืออะไร แต่เป็นห่วงหรืออะไรสักอย่าง ตัวเราเองก็ยังไม่แน่ใจเลย
คู่เวร คู่กรรมมีจริงไหมคะ
สามีเป็นคนหน้าตาดี สุภาพอ่อนโยน เอาอกเอาใจ ใครอยู่ใกล้จะชอบเค้าทุกคน
ตลอดระยะเวลาที่เป็นแฟน และแต่งงานกัน เรารู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่มีคนที่รักเรามากได้ขนาดนี้
แต่งงานกันปีเดียวก็มีลูก เราออกจากงานมาเลี้ยงลูกอยู่บ้าน สามีไปทำงานทุกวัน (จากที่เคยไปด้วยกันตลอด)
หลังจากนั้นพฤติกรรมเค้าเริ่มเปลี่ยนไป
พอลูกอายุได้ 2 ขวบ เราก็จับได้ว่าเค้ามีผู้หญิงคนใหม่เป็นเด็กฝึกงานที่ทำงานนั่นเอง
ตอนนั้นเราไม่มีสติเลย ก็หาเรื่องทะเลาะกับเค้าทุกวัน เพราะความที่มั่นใจในตัวเองมากว่าเค้ารักเราและลูกสุดๆเค้าต้องเลือกเรา
แต่สามีที่เราคิดว่ารู้จักเค้าดี กลับไม่ใช่อย่างที่เราคิด
เค้าไม่อ่อนโยนกับเราอีกต่อไป และย้ายออกจากบ้านไปอยู่บ้านเก่าที่เราปิดเอาไว้
แทนที่เราจะสงบจิตสงบใจ คุยกับเค้าดีๆแต่กลับอาละวาดหนักขึ้น และตามไปกดดันให้เค้าเลือกเรากับลูกให้ได้
ทางบ้านเราพยายามดึงเราไว้ บอกว่าให้เวลาเค้าคิดทบทวนบ้าง อย่าไปกดดันเค้า
เราจึงสงบลงและเริ่มกลับไปทำงานอีกครั้ง
ภายในเวลาไม่นานเค้าเลิกกับเด็กฝึกงานและเริ่มจริงจังกับผู้หญิงอีกคนที่เค้าคบไปพร้อมๆกัน
เราไม่รู้เรื่องผู้หญิงคนนี้มาก่อน จนกระทั่งมีคนบอกว่าเห็นสามีไปไหนมาไหนกับคนนี้หลายครั้ง
พอคาดคั้นจนรู้ความจริงเราก็สติแตกอีกครั้ง และเหมือนเดิม แทนที่จะฉลาด เรากลับปล่อยให้โทสะครอบงำจิตใจ
ตามอาละวาดสามีอย่างไม่ลดละ เพื่อกดดันให้เค้าเลิกกับผู้หญิงคนนี้ให้ได้
โดยไม่รู้เลยว่าการกระทำแบบนั้นมันยิ่งทำลายคุณค่าในตัวลงไปอย่างมากมาย
มันยิ่งทำให้เห็นการเปรียบเทียบระหว่างภรรยาที่มีแต่อารมณ์ กับ หญิงอีกคนที่มีแต่ความอ่อนหวานเอาใจ
ในที่สุดสามีเรามาบอกเลิกต่อหน้าพ่อแม่ ทำเอาเราเกือบบ้าเลย
เหตุการณ์รุนแรงมากจนแม่เราบอกให้เค้ากลับไปก่อน
เค้าก็หนีหายไป และย้ายที่อยู่ไม่ให้เราตามตัวได้
ทิ้งเรากับลูกให้อยู่กันเองแบบไม่ติดต่อมาอีกเลย
ระหว่างนั้นทุกข์ใจมากที่สุด ทำใจไม่ได้ แต่ไม่รู้จะทำยังไง
ร้องไห้ทุกวัน กินอะไรไม่ลง ทุกข์ทรมานมากที่สุดในชีวิต
เราพยายามทำงานอย่างหนัก เพื่อให้เหนื่อยให้ลืม
จนลูกเข้าโรงเรียนก็มีกำลังใจขึ้นมาบ้างเพราะลูกน่ารัก ร่าเริงมาก
แต่ในใจก็ยังไม่สามารถลืมสามีได้
เวรกรรมยังไม่หมด ต่อมาเราตามเจอว่าเค้าไปเช่าบ้านอยู่กับผู้หญิงคนนั้น
เราก็ขาดสติ แล้วตามไปอาละวาดทันที
อันนี้เราขอเตือนผู้หญิงทุกคนเลยว่าสติเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
หากคิดว่าการไปร้องไห้ ตีโพยตีพาย ขอความเห็นใจแล้วเค้าจะกลับมา หรือเค้าจะสงสาร
เป็นไปไม่ได้เลย มันยิ่งทำให้คุณค่าในตัวเราลดลงไปอีก
ถ้าเค้าคิดถึงจิตใจเรา เค้าจะไม่ทิ้งเราไปหรอก
เราไปร้องไห้ ขอร้องจนน้ำตาจะเป็นสายเลือด เค้าก็จะยิ่งสมเพท
กรณีของเรา พอเกิดเหตุครั้งนี้ เค้าก็หนีไปอีก
คราวนี้ย้ายเข้าบ้านผู้หญิงไปเลย เรารู้แต่คราวนี้ไม่กล้าตามแล้ว หมดอาลัยตายอยากในชีวิต
เสียใจจนแทบบ้า แต่ก็ต้องค่อยๆหาทางดำเนินชีวิตต่อไปให้ได้
โชคดีที่เราได้งานดี เป็นงานที่สนุก เพื่อนๆร่วมงานดีมาก ทำให้หลายๆอย่างดีขึ้น
และไม่เดือดร้อนเรื่องการเงินแม้จะต้องเลี้ยงดูลูกเองตามลำพัง
เวลาผ่านไปเป็นปี เมื่อจิตใจดีขึ้น มีโอกาสที่เราและสามีได้กลับมาเจอกันอีก
เพราะเราเคยทำงานด้วยกัน และยังคงวนเวียนในงานประเภทงานเดียวกัน
เราก็เริ่มกลับมาคุยกันดีๆ
เค้าก็ค่อยๆกลับมาในชีวิตบ้าง มาหาลูก ไปกินข้าวกัน
แต่เรารู้ว่าเค้าก็ยังมีผู้หญิงอยู่ เราก็ไม่อยากจะถามว่าเป็นใคร คนเดิมหรือรายใหม่
ในใจยังคงเจ็บปวดอยู่ทุกครั้งที่ได้เจอกัน แต่ก็พยายามสะกดความรู้สึกไว้ และเลือกที่เก็บช่วงเวลาดีๆเอาไว้
แต่มันไม่ง่ายเพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เราก็ยังรู้สึกรักและผูกพัน
ยิ่งเค้ากลับมาใช้เวลาอยู่ด้วยกัน บางทีมาอยู่ที่บ้านทั้งวันตั้งแต่เช้าจนค่ำถึงจะกลับ
เราก็เริ่มจะเรียกร้องเวลาจากเค้ามากขึ้น
เราสับสนมากใจนึงเรายังไม่คิดว่าอยากจะกลับมาอยู่ด้วยกัน แต่อีกใจก็นึกถึงวันที่เค้าดูแลเราอย่างดี
มันทำใจไม่ได้ที่จะนึกถึงว่าเค้าไปดูแลคนอื่นเหมือนที่ทำกับเรา
ตลอดสิบปีมานี่ สถานการณ์ของเราวนเวียนเป็นวังวน กลับมาพูดคุยกันใหม่
แต่แล้วก็ทรุดลงไปใหม่ ทะเลาะกันอีก (ช่วงเค้าเปลี่ยนหญิงคนใหม่) แยกกันไปอีก
เราฟื้นฟูจิตใจสร้างเนื้อสร้างตัวใหม่
แล้ววนเวียนกลับมาเจอกันอีก คุยกันได้ดีๆ จนคนภายนอกคิดว่ากลับมาคืนดีกันแล้ว
ทุกครั้งที่กลับมาคุยกัน เค้าจะทำตัวเหมือนปกติ พาเราและลูกไปเยี่ยมญาติทางครอบครัวเค้า
ไปเที่ยวต่างจังหวัด กินข้าวกันก็จะตักให้ นั่งแกะกุ้ง แกะปูให้ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เราตั้งแต่เป็นแฟนกัน
และทำมาสม่ำเสมอ
อะไรเล็กๆน้อยๆ และบุคคลิกที่สุภาพอ่อนโยน ทำให้เราใจอ่อนลงไปทุกครั้ง
คู่เราคือคู่เวรคู่กรรมใช่ไหมคะ อยู่กันไม่ได้ แต่แยกกันก็ไม่ขาด
เหนื่อยค่ะ เหนื่อยมาก
สถานภาพเราไม่ได้หย่าขาดจากกัน ในส่วนลึกเราก็ยังมีความผูกพันกับเค้ามาก บอกไม่ได้ว่าคืออะไร
ไม่ใช่ความเสน่หา อยากมีสัมพันธ์หรืออะไร แต่เป็นห่วงหรืออะไรสักอย่าง ตัวเราเองก็ยังไม่แน่ใจเลย