การุณยฆาตคือ การทำให้บุคคลเสียชีวิตโดยเจตนา โดยได้รับการช่วยเหลือจากบุคลากรทางการแพทย์
ในยุคกรีกโบราณ (900 ปีก่อนคริสตศักราช-คริสตศตวรรษที่ 6) มีการสังหารทารกที่เกิดมาร่างกายพิการ หรือไม่สมบูรณ์ทางปัญญา รวมทั้งหลายประเทศในเอเชียมีการสังหารทารกเพศหญิง เนื่องจากไม่ต้องการให้เป็นภาระของครอบครัว โดยไม่ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย หรือศีลธรรม
ขณะที่ญี่ปุ่นมีประเพณีทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการคว้านท้องตนเอง เพื่อรักษาเกียรติยศของตนเอง และวงศ์ตระกูล
ในยุคมืดของยุโรป (คริสตศตวรรษที่ 5 -15) ศาสนาจักรมีอิทธิพลต่อสังคม และการเมืองในยุโรปมาก ชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคเชื่อว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างชีวิตมนุษย์ มนุษย์จึงไม่สามารถทำลายชีวิตมนุษย์ได้
การุณยฆาต, อัตวินิบาตกรรม และการทำแท้งเป็นสิ่งต้องห้าม เนื่องจากขัดกับบทบัญญัติของคริสตศาสนาอย่างร้ายแรง ผู้กระทำการ หรือให้ความช่วยเหลือมีความผิดถึงขั้นประหารชีวิต
หลังสิ้นสุดยุคมืดในยุโรปนักคิด, นักกฎหมาย และนักปราชญ์ในยุโรปที่มีชื่อเสียงหลายคนต่างแสดงความเห็นถึงการทำการุณยฆาต, การทำอัตวินิบาตกรรม และการทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม
คำว่า "การุณยฆาต (Euthanasia)" ถูกบัญญัติขึ้นครั้งแรก โดย ฟรานซิส เบคอน ไวส์เคานท์แห่งเซนต์อัลบันที่ 1 อดีตอธิบดีศาลสูงสุดของอังกฤษในคริสตศตวรรษที่ 16 โดยการนำคำในภาษากรีกโบราณคือ Eu (ความดี) และ Thanasia (ความตาย) มาผสมกัน
เขาแบ่งการทำการุณยฆาตออกเป็น 2 ขั้นตอนคือ การเตรียมพิธีกรรมเพื่อส่งวิญญาณตามหลักศาสนา และการทำให้บุคคลเสียชีวิตอย่างรวดเร็วโดยปราศจากความเจ็บปวด แต่ไม่มีความชัดเจนถึงวิธีการ
ในคริสตศตวรรษที่ 18 คาร์ล เฟรดริก ไฮน์ริช มาร์ซ (แพทย์เยอรมัน) ศึกษาปรัชญาของ ฟรานซิส เบคอน และนำเสนอการบรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยที่ไม่สามารถเยียวยาได้ โดยการทำให้เสียชีวิตด้วยวิธีทางการแพทย์
ต่อมา จอห์น คอลลินส์ วอร์เรน (ศัลยแพทย์อเมริกัน) นำเสนอการทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตด้วยการฉีดมอร์ฟีน ขณะที่ โจเซฟ บัลล่าห์ (แพทย์อังกฤษ) นำเสนอการสูดดมคลอโรฟอร์ม (ยาสลบ) โดยทั้ง 2 วิธีจะทำให้ผู้รับสารได้รับความทรมานน้อยที่สุด และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
การทำการุณยฆาตยังคงเป็นที่ถกเถียงอย่างกว้างขวางในสังคม โดยผู้สนับสนุนส่วนใหญ่เป็นแพทย์ และนักกฎหมาย ขณะที่ผู้คัดค้านส่วนใหญ่เป็นนักการศาสนา
ในปี พ.ศ.2434 โรเบิร์ต จี อิงเกอร์โซล (ทนายความอเมริกัน) นำเสนอสิทธิการทำอัตวินิบาตกรรมของผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อยุติความทรมาน
ต่อมา เฟริซ เอ็ดเลอร์ (นักวิชาการด้านจริยธรรมทางสังคม และการเมืองอเมริกัน) เป็นบุคคลแรกที่เรียกร้องสิทธิการทำอัตวินิบาตกรรมของผู้ป่วยเรื้อรังอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
โรเบิร์ต จี อิงเกอร์โซล และ เฟริซ เอ็ดเลอร์ ต่างพยายามเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิในการทำอัตวินิบาตกรรมของผู้ป่วยเรื้อรัง
ในปี พ.ศ.2449 เฮนรี่ โธมัส ฮันท์ (ผู้ว่าการเมืองซินซินเนติ อเมริกา) นำเสนอร่างกฎหมายการทำการุณยฆาตสู่รัฐสภาโอไฮโอ หลังจากที่ต้องทนเห็นความทรมานของแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งตับก่อนเสียชีวิต แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ผ่านการลงมติจึงต้องตกไป
แต่ร่างกฎหมายที่คล้ายกันนี้สามารถผ่านการลงมติในรัฐสภาไอโอวาในปีเดียวกัน โดยกำหนดให้สามารถทำการุณยฆาตสำหรับผู้ป่วยจากอุบัติเหตุ หรือโรคร้ายแรง รวมทั้งทารกทีมีความพิการแต่กำเนิด โดยผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป หรือญาติผู้ป่วยจะต้องทำหนังสือแจ้งความจำนงต่อเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์
หากเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ปฏิเสธ หรือประวิงเวลาการทำการุณยฆาตจะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย
การุณยฆาต: การประหารชีวิตทางการเแพทย์ (1)
ในยุคกรีกโบราณ (900 ปีก่อนคริสตศักราช-คริสตศตวรรษที่ 6) มีการสังหารทารกที่เกิดมาร่างกายพิการ หรือไม่สมบูรณ์ทางปัญญา รวมทั้งหลายประเทศในเอเชียมีการสังหารทารกเพศหญิง เนื่องจากไม่ต้องการให้เป็นภาระของครอบครัว โดยไม่ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย หรือศีลธรรม
ขณะที่ญี่ปุ่นมีประเพณีทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการคว้านท้องตนเอง เพื่อรักษาเกียรติยศของตนเอง และวงศ์ตระกูล
ในยุคมืดของยุโรป (คริสตศตวรรษที่ 5 -15) ศาสนาจักรมีอิทธิพลต่อสังคม และการเมืองในยุโรปมาก ชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคเชื่อว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างชีวิตมนุษย์ มนุษย์จึงไม่สามารถทำลายชีวิตมนุษย์ได้
การุณยฆาต, อัตวินิบาตกรรม และการทำแท้งเป็นสิ่งต้องห้าม เนื่องจากขัดกับบทบัญญัติของคริสตศาสนาอย่างร้ายแรง ผู้กระทำการ หรือให้ความช่วยเหลือมีความผิดถึงขั้นประหารชีวิต
หลังสิ้นสุดยุคมืดในยุโรปนักคิด, นักกฎหมาย และนักปราชญ์ในยุโรปที่มีชื่อเสียงหลายคนต่างแสดงความเห็นถึงการทำการุณยฆาต, การทำอัตวินิบาตกรรม และการทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม
คำว่า "การุณยฆาต (Euthanasia)" ถูกบัญญัติขึ้นครั้งแรก โดย ฟรานซิส เบคอน ไวส์เคานท์แห่งเซนต์อัลบันที่ 1 อดีตอธิบดีศาลสูงสุดของอังกฤษในคริสตศตวรรษที่ 16 โดยการนำคำในภาษากรีกโบราณคือ Eu (ความดี) และ Thanasia (ความตาย) มาผสมกัน
เขาแบ่งการทำการุณยฆาตออกเป็น 2 ขั้นตอนคือ การเตรียมพิธีกรรมเพื่อส่งวิญญาณตามหลักศาสนา และการทำให้บุคคลเสียชีวิตอย่างรวดเร็วโดยปราศจากความเจ็บปวด แต่ไม่มีความชัดเจนถึงวิธีการ
ในคริสตศตวรรษที่ 18 คาร์ล เฟรดริก ไฮน์ริช มาร์ซ (แพทย์เยอรมัน) ศึกษาปรัชญาของ ฟรานซิส เบคอน และนำเสนอการบรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยที่ไม่สามารถเยียวยาได้ โดยการทำให้เสียชีวิตด้วยวิธีทางการแพทย์
ต่อมา จอห์น คอลลินส์ วอร์เรน (ศัลยแพทย์อเมริกัน) นำเสนอการทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตด้วยการฉีดมอร์ฟีน ขณะที่ โจเซฟ บัลล่าห์ (แพทย์อังกฤษ) นำเสนอการสูดดมคลอโรฟอร์ม (ยาสลบ) โดยทั้ง 2 วิธีจะทำให้ผู้รับสารได้รับความทรมานน้อยที่สุด และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
การทำการุณยฆาตยังคงเป็นที่ถกเถียงอย่างกว้างขวางในสังคม โดยผู้สนับสนุนส่วนใหญ่เป็นแพทย์ และนักกฎหมาย ขณะที่ผู้คัดค้านส่วนใหญ่เป็นนักการศาสนา
ในปี พ.ศ.2434 โรเบิร์ต จี อิงเกอร์โซล (ทนายความอเมริกัน) นำเสนอสิทธิการทำอัตวินิบาตกรรมของผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อยุติความทรมาน
ต่อมา เฟริซ เอ็ดเลอร์ (นักวิชาการด้านจริยธรรมทางสังคม และการเมืองอเมริกัน) เป็นบุคคลแรกที่เรียกร้องสิทธิการทำอัตวินิบาตกรรมของผู้ป่วยเรื้อรังอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
โรเบิร์ต จี อิงเกอร์โซล และ เฟริซ เอ็ดเลอร์ ต่างพยายามเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิในการทำอัตวินิบาตกรรมของผู้ป่วยเรื้อรัง
ในปี พ.ศ.2449 เฮนรี่ โธมัส ฮันท์ (ผู้ว่าการเมืองซินซินเนติ อเมริกา) นำเสนอร่างกฎหมายการทำการุณยฆาตสู่รัฐสภาโอไฮโอ หลังจากที่ต้องทนเห็นความทรมานของแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งตับก่อนเสียชีวิต แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ผ่านการลงมติจึงต้องตกไป
แต่ร่างกฎหมายที่คล้ายกันนี้สามารถผ่านการลงมติในรัฐสภาไอโอวาในปีเดียวกัน โดยกำหนดให้สามารถทำการุณยฆาตสำหรับผู้ป่วยจากอุบัติเหตุ หรือโรคร้ายแรง รวมทั้งทารกทีมีความพิการแต่กำเนิด โดยผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป หรือญาติผู้ป่วยจะต้องทำหนังสือแจ้งความจำนงต่อเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์
หากเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ปฏิเสธ หรือประวิงเวลาการทำการุณยฆาตจะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย