ขอออกตัวก่อนเลยว่านี่เป็นการบ่นทั่วๆไป แต่ถ้าคนคิดตามก็อาจจะเจอมุมมองอะไรให้กับตัวเองได้ ส่วนใครที่ไม่ชอบการบ่นของผมก็ขออภัยด้วยครับ
ผมขอบอกก่อนว่าผมเป็นคนนึงที่ขี่มอเตอร์ไซค์ ไปไหนมาไหนในเมืองสะดวก รถติดก็ยังพอซอกแซกได้ ทำให้ไม่เสียเวลาเดินทางมาก
ผมเคยไปเรียนอังกฤษอยู่ช่วงนึง ที่นั่นการเดินทางส่วนใหญ่ก็จะใช้รถสาธารณะ รถไฟใต้ดิน รถไฟ รถบัส(รถเมล์บ้านเรา) รถโค้ช(รถทัวร์) มีบางครั้งทีต้องพึ่งแท็กซี่แต่ก็น้อยนับครั้งได้เพราะราคาแพง ที่ชอบหลักๆเลยก็คือพวกรถไฟใต้ดิน รถบัสเค้ามีเวลาที่แน่นอน เช็คตารางเวลาได้ง่าย มีแผนที่เส้นทางอธิบายแบบไม่ยากด้วย ราคาอาจจะแพงเมื่อเทียบกับไทย (แต่ก็คงเอามาเทียบอะไรไม่ได้นะครับ เพราะค่าครองชีพของที่นั่นก็สูงกว่าเราอยู่แล้ว ดีก็ตรงที่มีสวัสดิการช่วยด้านอื่นๆอยู่)
ตอนผมเรียนจบกลับไทยแรกๆมาผมก็คิดว่าเราไม่ได้จำเป็นต้องมีรถเลย ไปไหนก็นั่งรถเมล์ก็ได้หนิหน่า ถ้าไม่ได้ก็ยังมีแท็กซี่ ไม่ก็สามล้อ ไม่ก็มอฯไซค์รับจ้าง รถเมล์แอร์ก็มี 10 บาทเองด้วย ไม่แพงๆ หลังจากคิดได้อย่างนั้นช่วงน้ันผมก็เลยได้นั่งรถสาธารณะบ่อยครับ ทั้งตอนสมัครงานก็ใช้วิธีนี้ เคยถึงครั้งนึงนั่งรถไฟไปสัมภาษณ์งานที่อยู่ไกลตัวเมืองไปเยอะเหมือนกัน สนุกดีครับแต่ผมดันเป็นคนขี้ร้อนนี่สิ เหงือท่วมเลยครับ ดีว่ารถไฟยังพอมีตารางเวลาให้ดู แต่เห็นความช้าของมันแล้วผมก็เสียวนะครับ กลัวจะไปสัมภาษณ์งานไม่ทัน
ตอนไปสัมภาษณ์งานผมก็เลือกใช้คมนาคมสาธารณะเพราะผมคิดว่ามันน่าจะประหยัดได้ระดับนึงแล้วก็ต้องใช้เงินตัวเองครับใช้ของพ่อแม่มาเยอะแล้ว อันที่ผมมักจะเลือกเป็นอันดับต้นๆก็รถไฟฟ้าครับ มีแอร์ มีเส้นทางชัดเจน แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องเดินทางด้วยพาหนะชนิดอื่นต่อ จะรถเมล์หรือเรือ ช่วงนั้นผมจดบันทึกการใช้เงินของตัวเองค่อนข้างละเอียด เลยทำให้รู้ว่าเดินทางโดยรถสาธารณะก็ไม่ได้ถูกขนาดนั้นนะ เพราะกว่าจะต่อคันนี้ไปขึ้นคันนู้น จะรถเมล์-รถไฟฟ้า-รถตู้-มอฯไซค์รับจ้างโดยรวมแล้วผมว่าวันนึงก็แตะร้อยบาท นี่ถ้าทำงานไกลจบครับ เดือนๆนึงโดนค่าใช้จ่ายตรงนี้ไปก็เกือบ 3-4 พัน ไหนจะใช้เวลาเยอะอีก เพราะกว่าจะรอรถมา รถเมล์บ้านเรานี่ก็ดูยากด้วยครับ ใครไม่เคยขี้นก็คงต้องถามคนที่ยืนรอด้วยกันว่าสายไหนไปไหนได้บ้าง แล้วถ้าเกิดผมถามใครไม่ได้หละ ก็ต้องดูกระดานข้างๆรถเมล์ว่ามีไปไหนบ้าง ไม่ก็ต้องถามกระเป๋ารถเมล์ทุกคัน น่าเสียดายรถเมล์บ้านเราน่าจะมีป้ายบอกเส้นทางบอกเวลาได้ พอเจอเรื่องเสียเวลาแบบนั้นบางครั้งผมก็ต้องเลือกพี่แท็กฯไม่ก็พี่ตุ๊กไม่ก็พี่วินที่อยู่แถวนั้น ยอมแพงหน่อยแต่สะดวก แต่ไม่!! ที่เราคิดมันไม่ได้เป๊ะขนาดนั้นสิ พี่แท็กฯต้องไปส่งรถบางหละเติมแก๊สบางหละ ครั้นจะมาหาพี่ตุ๊กพี่ตุ๊กก็ไม่มีที่บังฝน ผมก็เปียกสิ พอเรียกพี่วินพี่วินก็เรียกราคาซะแพง(เท่าที่เห็นส่วนใหญ่ก็จะแพงกว่าป้ายที่ทำมาว่าสองกิโลเมตรแรก 20 หรือ 25 บาทแทบทุกวิน ผมคิดว่าป้ายนั้นมันคงใช้จริงไม่ได้นะ) นี่ก็เป็นเหตุผลส่วนนึงที่ทำให้สุดท้ายผมต้องกลับไปใช้รถส่วนตัว ซึ่งรถส่วนตัวที่ดูจะเร็วสุดตอนอยู่ในเมืองก็คงไม่พ้นมอเตอร์ไซค์ครับ
ถึงตอนคนที่อ่านมาก็คงพอรู้แล้วว่ามันน่าจะเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ยังไง แต่เอ๊ะแล้วมันเกี่ยวยังไงกับหนังซอมบี้เกาหลีกับขี่ขึ้นฟุตบาทวะ เดี๋ยวผมจะเล่าต่อนะครับ
ผมนั่งมอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่เด็ก ก็เลยทำให้ชินการไปไหนมาไหนด้วยเวลาที่ใช้เดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ ยิ่งพอเจอรถสาธารณะที่ผมเล่า ผมไม่ต้องเจอกับการเรียกค่าโดยสารที่แพงกว่าที่คิด การปฏิเสธการรับผมไป การเปียกฝน(ก็ยังเปียกอยู่ครับ แต่มีเสื้อกันฝนก็พอช่วยได้บ้าง) แลกกับเสียค่าจอดในที่ต่างๆประมาณ 10 บาท ถูกและประหยัดไปได้เยอะครับ จนมาช่วงหลังๆผมก็ได้อ่านข่าวเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์บ่อยครับ ส่วนใหญ่จะเป็นในทางที่คนขี่มอเตอร์ไซค์ก็คงรู้สึกกัน บอกมอเตอร์ไซค์ไม่ควรขึ้นสะพาน ชอบขี่ย้อนศร ควรขี่เลนซ้ายอย่างเดียว ไม่ควรขี่ขึ้นฟุตบาท จนตอนหลังเห็นมีข่าวทะเลาะกับคนเดินบนฟุตบาท ฯลฯ ผมว่าคนที่ทำก็คงมีเหตุผลของแต่ละคน อาจจะเป็นเพราะถ้าไปทางอื่นก็ต้องอ้อมซึ่งอาจจะไกลมาก หรือสุดท้ายยังไงก็ต้องข้ามน้ำ(ก็ต้องใช้สะพานอยู่ดี) เพราะต้องทำงานอีกฝั่งของแม่น้ำ หรือหาที่กลับรถยาก ครั้นจะกลับก็ต้องเจอรถที่วิ่งมาเร็วๆไม่ให้ผ่านจากซ้ายสุดไปขวาสุดเพื่อกลับรถ อยากหลบรถเมล์(ที่ก็อยู่เลนซ้ายเหมือนกัน ควันรถเมล์เก่าๆเหม็นนะครับ) หรือจะขี่ขึ้นฟุตบาทก็เพราะรถบนถนนมันติดจนขนาดมอเตอร์ไซค์ยังไปไม่ได้ก็คิดดูละกัน มันอาจมีเหตุผลอื่นที่เราอาจนึงไม่ถึงอยู่อีกเยอะแยะเลยครับ แล้วทั้งหมดนี่มันเกี่ยวยังไงกับ Train to Busan ฟร๊ะ!!
ครับ ผมดูหนังเรื่องนี้มาไม่นานนี้ ผมคิดว่าทุกคนน่าจะคิดคล้ายๆกันว่า ไอหัวหน้าระดับชั้นผู้บริหารคนนึงที่เห็นแก่ตัวมากๆนี่มันน่าจะโดนซอมบี้กินจริงๆ ไม่ก็ตายด้วยวิธีอะไรที่มันสะใจหน่อย แต่พอมาถึงตอนใกล้จบเรื่องที่เค้าสารภาพว่าต้องกลับไปหาแม่ เอิ่ม.. อยากด่าแต่ก็ไม่รู้จะด่ายังไง คนทุกคนมีเหตุผลครับ ยิ่งกับสถานการณ์แบบนั้น บางทีก็บอกไม่ได้ว่าเราจะมีศีลธรรมขนาดไหน ผมคิดว่าจิตใจของคนไม่ได้เข้มแข็งเท่ากันทุกคน แต่ละคนก็รับสภาพกับปัญหามาไม่เหมือนกัน บางทีก็อยากให้คนเข้าใจเหตุผลบาง แต่คงไม่มีเวลามาอธิบาย ถ้าคนเราที่อยู่ในสังคมเดียวกันพยายามเข้าใจเหตุผลหรือมองมุมคนอื่นบ้าง บางทีมันอาจจะลดโทสะไปได้บ้าง
ปล.ผมไม่รู้จะจบเรื่องเขียนนี้ยังไง ฮาๆๆ เอาเป็นว่าก็จบแค่นี้แหละนะ นี่เป็นกระทู้ที่ผมพล่ามเยอะสุดละ ถ้าไม่ถูกใจยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ
มอเตอร์ไซค์ขี่ขึ้นฟุตบาท กับข้อคิดที่ได้จาก Train to Busan
ผมขอบอกก่อนว่าผมเป็นคนนึงที่ขี่มอเตอร์ไซค์ ไปไหนมาไหนในเมืองสะดวก รถติดก็ยังพอซอกแซกได้ ทำให้ไม่เสียเวลาเดินทางมาก
ผมเคยไปเรียนอังกฤษอยู่ช่วงนึง ที่นั่นการเดินทางส่วนใหญ่ก็จะใช้รถสาธารณะ รถไฟใต้ดิน รถไฟ รถบัส(รถเมล์บ้านเรา) รถโค้ช(รถทัวร์) มีบางครั้งทีต้องพึ่งแท็กซี่แต่ก็น้อยนับครั้งได้เพราะราคาแพง ที่ชอบหลักๆเลยก็คือพวกรถไฟใต้ดิน รถบัสเค้ามีเวลาที่แน่นอน เช็คตารางเวลาได้ง่าย มีแผนที่เส้นทางอธิบายแบบไม่ยากด้วย ราคาอาจจะแพงเมื่อเทียบกับไทย (แต่ก็คงเอามาเทียบอะไรไม่ได้นะครับ เพราะค่าครองชีพของที่นั่นก็สูงกว่าเราอยู่แล้ว ดีก็ตรงที่มีสวัสดิการช่วยด้านอื่นๆอยู่)
ตอนผมเรียนจบกลับไทยแรกๆมาผมก็คิดว่าเราไม่ได้จำเป็นต้องมีรถเลย ไปไหนก็นั่งรถเมล์ก็ได้หนิหน่า ถ้าไม่ได้ก็ยังมีแท็กซี่ ไม่ก็สามล้อ ไม่ก็มอฯไซค์รับจ้าง รถเมล์แอร์ก็มี 10 บาทเองด้วย ไม่แพงๆ หลังจากคิดได้อย่างนั้นช่วงน้ันผมก็เลยได้นั่งรถสาธารณะบ่อยครับ ทั้งตอนสมัครงานก็ใช้วิธีนี้ เคยถึงครั้งนึงนั่งรถไฟไปสัมภาษณ์งานที่อยู่ไกลตัวเมืองไปเยอะเหมือนกัน สนุกดีครับแต่ผมดันเป็นคนขี้ร้อนนี่สิ เหงือท่วมเลยครับ ดีว่ารถไฟยังพอมีตารางเวลาให้ดู แต่เห็นความช้าของมันแล้วผมก็เสียวนะครับ กลัวจะไปสัมภาษณ์งานไม่ทัน
ตอนไปสัมภาษณ์งานผมก็เลือกใช้คมนาคมสาธารณะเพราะผมคิดว่ามันน่าจะประหยัดได้ระดับนึงแล้วก็ต้องใช้เงินตัวเองครับใช้ของพ่อแม่มาเยอะแล้ว อันที่ผมมักจะเลือกเป็นอันดับต้นๆก็รถไฟฟ้าครับ มีแอร์ มีเส้นทางชัดเจน แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องเดินทางด้วยพาหนะชนิดอื่นต่อ จะรถเมล์หรือเรือ ช่วงนั้นผมจดบันทึกการใช้เงินของตัวเองค่อนข้างละเอียด เลยทำให้รู้ว่าเดินทางโดยรถสาธารณะก็ไม่ได้ถูกขนาดนั้นนะ เพราะกว่าจะต่อคันนี้ไปขึ้นคันนู้น จะรถเมล์-รถไฟฟ้า-รถตู้-มอฯไซค์รับจ้างโดยรวมแล้วผมว่าวันนึงก็แตะร้อยบาท นี่ถ้าทำงานไกลจบครับ เดือนๆนึงโดนค่าใช้จ่ายตรงนี้ไปก็เกือบ 3-4 พัน ไหนจะใช้เวลาเยอะอีก เพราะกว่าจะรอรถมา รถเมล์บ้านเรานี่ก็ดูยากด้วยครับ ใครไม่เคยขี้นก็คงต้องถามคนที่ยืนรอด้วยกันว่าสายไหนไปไหนได้บ้าง แล้วถ้าเกิดผมถามใครไม่ได้หละ ก็ต้องดูกระดานข้างๆรถเมล์ว่ามีไปไหนบ้าง ไม่ก็ต้องถามกระเป๋ารถเมล์ทุกคัน น่าเสียดายรถเมล์บ้านเราน่าจะมีป้ายบอกเส้นทางบอกเวลาได้ พอเจอเรื่องเสียเวลาแบบนั้นบางครั้งผมก็ต้องเลือกพี่แท็กฯไม่ก็พี่ตุ๊กไม่ก็พี่วินที่อยู่แถวนั้น ยอมแพงหน่อยแต่สะดวก แต่ไม่!! ที่เราคิดมันไม่ได้เป๊ะขนาดนั้นสิ พี่แท็กฯต้องไปส่งรถบางหละเติมแก๊สบางหละ ครั้นจะมาหาพี่ตุ๊กพี่ตุ๊กก็ไม่มีที่บังฝน ผมก็เปียกสิ พอเรียกพี่วินพี่วินก็เรียกราคาซะแพง(เท่าที่เห็นส่วนใหญ่ก็จะแพงกว่าป้ายที่ทำมาว่าสองกิโลเมตรแรก 20 หรือ 25 บาทแทบทุกวิน ผมคิดว่าป้ายนั้นมันคงใช้จริงไม่ได้นะ) นี่ก็เป็นเหตุผลส่วนนึงที่ทำให้สุดท้ายผมต้องกลับไปใช้รถส่วนตัว ซึ่งรถส่วนตัวที่ดูจะเร็วสุดตอนอยู่ในเมืองก็คงไม่พ้นมอเตอร์ไซค์ครับ
ถึงตอนคนที่อ่านมาก็คงพอรู้แล้วว่ามันน่าจะเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ยังไง แต่เอ๊ะแล้วมันเกี่ยวยังไงกับหนังซอมบี้เกาหลีกับขี่ขึ้นฟุตบาทวะ เดี๋ยวผมจะเล่าต่อนะครับ
ผมนั่งมอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่เด็ก ก็เลยทำให้ชินการไปไหนมาไหนด้วยเวลาที่ใช้เดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ ยิ่งพอเจอรถสาธารณะที่ผมเล่า ผมไม่ต้องเจอกับการเรียกค่าโดยสารที่แพงกว่าที่คิด การปฏิเสธการรับผมไป การเปียกฝน(ก็ยังเปียกอยู่ครับ แต่มีเสื้อกันฝนก็พอช่วยได้บ้าง) แลกกับเสียค่าจอดในที่ต่างๆประมาณ 10 บาท ถูกและประหยัดไปได้เยอะครับ จนมาช่วงหลังๆผมก็ได้อ่านข่าวเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์บ่อยครับ ส่วนใหญ่จะเป็นในทางที่คนขี่มอเตอร์ไซค์ก็คงรู้สึกกัน บอกมอเตอร์ไซค์ไม่ควรขึ้นสะพาน ชอบขี่ย้อนศร ควรขี่เลนซ้ายอย่างเดียว ไม่ควรขี่ขึ้นฟุตบาท จนตอนหลังเห็นมีข่าวทะเลาะกับคนเดินบนฟุตบาท ฯลฯ ผมว่าคนที่ทำก็คงมีเหตุผลของแต่ละคน อาจจะเป็นเพราะถ้าไปทางอื่นก็ต้องอ้อมซึ่งอาจจะไกลมาก หรือสุดท้ายยังไงก็ต้องข้ามน้ำ(ก็ต้องใช้สะพานอยู่ดี) เพราะต้องทำงานอีกฝั่งของแม่น้ำ หรือหาที่กลับรถยาก ครั้นจะกลับก็ต้องเจอรถที่วิ่งมาเร็วๆไม่ให้ผ่านจากซ้ายสุดไปขวาสุดเพื่อกลับรถ อยากหลบรถเมล์(ที่ก็อยู่เลนซ้ายเหมือนกัน ควันรถเมล์เก่าๆเหม็นนะครับ) หรือจะขี่ขึ้นฟุตบาทก็เพราะรถบนถนนมันติดจนขนาดมอเตอร์ไซค์ยังไปไม่ได้ก็คิดดูละกัน มันอาจมีเหตุผลอื่นที่เราอาจนึงไม่ถึงอยู่อีกเยอะแยะเลยครับ แล้วทั้งหมดนี่มันเกี่ยวยังไงกับ Train to Busan ฟร๊ะ!!
ครับ ผมดูหนังเรื่องนี้มาไม่นานนี้ ผมคิดว่าทุกคนน่าจะคิดคล้ายๆกันว่า ไอหัวหน้าระดับชั้นผู้บริหารคนนึงที่เห็นแก่ตัวมากๆนี่มันน่าจะโดนซอมบี้กินจริงๆ ไม่ก็ตายด้วยวิธีอะไรที่มันสะใจหน่อย แต่พอมาถึงตอนใกล้จบเรื่องที่เค้าสารภาพว่าต้องกลับไปหาแม่ เอิ่ม.. อยากด่าแต่ก็ไม่รู้จะด่ายังไง คนทุกคนมีเหตุผลครับ ยิ่งกับสถานการณ์แบบนั้น บางทีก็บอกไม่ได้ว่าเราจะมีศีลธรรมขนาดไหน ผมคิดว่าจิตใจของคนไม่ได้เข้มแข็งเท่ากันทุกคน แต่ละคนก็รับสภาพกับปัญหามาไม่เหมือนกัน บางทีก็อยากให้คนเข้าใจเหตุผลบาง แต่คงไม่มีเวลามาอธิบาย ถ้าคนเราที่อยู่ในสังคมเดียวกันพยายามเข้าใจเหตุผลหรือมองมุมคนอื่นบ้าง บางทีมันอาจจะลดโทสะไปได้บ้าง
ปล.ผมไม่รู้จะจบเรื่องเขียนนี้ยังไง ฮาๆๆ เอาเป็นว่าก็จบแค่นี้แหละนะ นี่เป็นกระทู้ที่ผมพล่ามเยอะสุดละ ถ้าไม่ถูกใจยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ