คราวนี้พกกล้องฟิล์มติดตัวไปด้วยคือ Nikon FM2 และมีฟิล์มติดกระเป๋าอยู่ 2 ม้วน คือ AGFA VISTA PLUS 400 และ KODAK GOLD 200 การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ไปแบบทีเดียวจบนะครับ แบ่งออกเป็นสามงวดใหญ่ๆ โอเคไปดูกัน
นครนายก
เป็นการออกไปทำงานโดยไปแบบ ไปเช้าเย็นกลับ ก็เลยตกลงใจใช้เจ้า AGFA VISTA PLUS 400 ก่อน เพราะว่ายังไม่เคยลองกับ Nikon FM2 มาก่อน
ผมเดินทางไปสำรวจอาคารตึกแถวเก่าๆ ย่าน รังสิตคลอง 6 พอเสร็จแล้วก็แวะไปกินกาแฟแถวคลอง 7 ที่ร้าน A CUP OF TREE ลองเข้าไปดูด้านในกันครับ
เที่ยว 4 จังหวัด จัดฟิล์มไป 2 ม้วน
คราวนี้พกกล้องฟิล์มติดตัวไปด้วยคือ Nikon FM2 และมีฟิล์มติดกระเป๋าอยู่ 2 ม้วน คือ AGFA VISTA PLUS 400 และ KODAK GOLD 200 การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ไปแบบทีเดียวจบนะครับ แบ่งออกเป็นสามงวดใหญ่ๆ โอเคไปดูกัน
นครนายก
เป็นการออกไปทำงานโดยไปแบบ ไปเช้าเย็นกลับ ก็เลยตกลงใจใช้เจ้า AGFA VISTA PLUS 400 ก่อน เพราะว่ายังไม่เคยลองกับ Nikon FM2 มาก่อน
ผมเดินทางไปสำรวจอาคารตึกแถวเก่าๆ ย่าน รังสิตคลอง 6 พอเสร็จแล้วก็แวะไปกินกาแฟแถวคลอง 7 ที่ร้าน A CUP OF TREE ลองเข้าไปดูด้านในกันครับ
ในร้านจัดที่นั่งแบบน่านั่งไว้หลายมุมทีเดียวเลือกกันไม่ถูกเลย
ข้าวของในร้านมีความเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆเลยทีเดียว นู้นนี่นั่นดูวินเทจ เรโทร ไปเสียหมดเพลินตาเพลินกล้องมากมากครับ
ส่วนเรื่องของกินนั้น จัดว่าเด็ด ทั้งกาแฟและขนม
โดยเฉพาะขนมนั้น ผมเห็นเค้าจัดโต๊ะไว้โต๊ะนึงด้านหน้าร้านใกล้กับเคาน์เตอร์ คือเอาไว้ทำขนม เรียกว่าทำให้เห็นๆกันไปเลยทีเดียว
ส่วนนอกร้านก็สามารถเดินถ่ายรูปได้เพลินๆครับ
พอออกจากร้านนี้ผมก็เดินทางต่อไปจนถึงนครนายกเลย แต่ว่าไม่ได้ถ่ายรูปที่นครนายกเอาไว้ครับ เพราะว่ารีบไปทำธุระแล้วรีบเดินทางกลับบ้าน ใครมีโอกาสใช้ถนน รังสิต-นครนายก อย่าลืมแวะร้านนี้ได้ครับ บรรยากาศดี เหมาะกับชาวฟิล์มมากมาย
ชัยนาท
จากนั้นอีกหลายวัน ผมกับภรรยาก็เกิดอาการต้องการการเดินทางขึ้นมา จึงจัดกระเป๋าเดินทางไปเที่ยวจังหวัดที่ไม่เคยไป นั่นคือ ชัยนาทครับ ตอนเราไปนั้นต้องขับรถผ่านจังหวัดใกล้เคียงอีกหลายจังหวัด ทั้ง อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี กว่าจะถึงชัยนาทก็ยาวเลยทีเดียว ระหว่างทางเห็นป้ายบอกทางไปวัดพระนอนแห่งนึงที่เมืองสิงห์ เลยตัดสินใจเข้าไปไหว้ท่านดีกว่า นั่นคือ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร
ไปวันธรรมดาคนค่อนข้างบางตาครับ ซึ่งผมชอบมากจะได้ไม่ต้องมาแย่งกันไหว้พระหรือเดินจนชนกันธูปเทียนจิ้มแขนขา ควันเข้าตาจนไม่เป็นอันทำไร จากนั้นก็ขับยาวๆต่อไปจนถึงตัวจังหวัดชัยนาท ส่วนตัวแล้วผมเป็นคนรักธรรมชาติและชอบถ่ายภาพนก และเดินดูนกมากๆ นั่นทำให้สถานที่นึงในชัยนาทที่ผมจะไม่เข้าไปแน่ๆคือ “สวนนกชัยนาท” คือไม่ชอบเลยครับ นกมีปีกแต่ไม่อิสระ ขอบาย
ผมหาร้านกาแฟในชัยนาทแบบเท่ๆได้ร้านนึงคือร้านชื่อว่า Milk bar จึงเดินทางไปเยือนทันที ซอยเยอะหน่อยครับหายากนิดนึง ถ้ามองจากด้านนอกจะไม่รู้เลยว่ามีร้านอยู่ด้านใน เพราะมันมองจากถนนไม่เห็นต้องจอดรถแล้วเดินเข้าไป พอเข้ามาในร้าน อะโหวคนเพียบ แต่ก็เหลือที่นั่งเล็กๆให้พอแทรกตัวเข้าไปได้ แอร์เย็นๆช่วยชีวิตข้าพเจ้าและภรรยาไว้ในวันนั้นเลยทีเดียว
ร้านนี้แบ่งเป็นสามส่วนใหญ่ๆครับ คือ ร้านกาแฟ ร้านขายของพวกเสื้อผ้า ของใช้ประจำวันของตกแต่ง และร้านขายของเก่า ส่วนที่เราเข้าไปเยือนก่อนคือร้านกาแฟนั่นเอง
ร้านเล็กๆน่ารักดีครับ ดูเป็นกันเองกับคนมาใหม่อย่างผม อากาศร้อนนะครับแต่สั่งกาแฟร้อนกันเลยทีเดียว
อันนี้ส่วนที่สอง ร้านค้า
ส่วนที่สามคือร้านขายของเก่า ซึ่งตรงนี้เพลินมากๆ
จากนั้นก็เข้าเช็คอินที่พัก ชื่อว่า เฌิณ
เป็นที่พักแบบทาว์นเฮ้าส์ที่ปรับปรุงมาเป็นโรงแรมที่น่ารักดีทีเดียว มีสิบห้อง ในวันที่เราเข้าพักว่างอยู่ทั้งสิบห้อง เรียกว่าสงบสุดๆ และได้เวลาเปลี่ยนฟิล์มเป็น KODAK GOLD 200 ด้วยเลย
เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายภาพห้องพักด้วยกล้องฟิล์มมาครับ ขออภัย ส่วนใครมาแล้วหาที่กินข้าว มันก็มีอยู่หลายร้านครับ แต่แนะนำว่า ลาบเป็ดชัยนาท ถ้าไป ลาบเป็ดอร่อยจริงครับ
เราหลับที่ เฌิณ อย่างสบาย และตื่นขึ้นมาออกเดินทางต่อตั้งแต่เช้า
ใกล้ๆสวนนกชัยนาทมีวัดอยู่บนยอดเขา น่าปั่นจักรยานขึ้นไปมากๆครับ ชื่อ วัดเขาพลอง
ออกจากวัดก็เดินทางออกจากชัยนาทด้วย ไปยังจุดหมายหลักของทริปนี้คือ
อุทัยธานี
สถานที่แรกที่ไปเลยคือ วัดท่าซุง
เป็นวัดที่มีวิหารแก้ว ที่งดงามมากๆ วิบวับๆ งดงามจนทึ่งมากๆ มันอธิบายไม่ถูกครับ สวยจริงๆ เสาเป็นกระจกแผ่น ฝ้าเพดานเป็นสเตนเลส องค์ประกอบสีเงินวาวแวว มีอยู่เต็มไปหมด มาอุทัยต้องมาวัดนี้ให้ได้นะครับ
จากนั้นผมกับภรรยาก็มาหาร้านกาแฟกันต่อ นี่มันทริปกาแฟชัดๆ ร้านนี้คือร้านนอกเมืองที่อยู่กลางทุ่งนาเลย ชื่อร้าน ไร่สุดท้าย
เห็นเค้าฮิตมาถ่ายรูปกันเลยลองมาโดนซักหน่อย แต่วันนี้แดดร้อนมาก สู้ไม่ไหวจริงๆ ขอกาแฟเย็นแก้วนึงครับ
จากนั้นก็เข้าเมืองมาหาจุดหมายปลายทางของทริปนี้ นั้นคือที่พักของเราคืนนี้ บ้านสวนจันทิตา ครับ
บ้านสวนนี้ห่างจากตัวเมืองประมาณ 6 กม. เป็นโรงไม้เก่าที่เปลี่ยนที่ดินเป็นที่พักขนาดกำลังสวย ประกอบด้วยบ้าน 4 หลัง เชื่อมด้วยชานไม้ขนาดใหญ่ วางตัวเป็นส่วนนึงไม่แยกจากต้นไม้ ถ้ามองแปลนบ้านแต่ละหลังจะเป็นรูปเครื่องหมายบวก นั่นเพื่อให้สามารถหมุนหามุมเข้ากับต้นไม้ได้ดีที่สุดโดยไม่ต้องตัดทิ้ง สถาปนิก คุณ ประกิจ กัณหา หรือบั้ม เพื่อนของข้าพเจ้าเอง บ้านสวนนี้เป็นบ้านไม้ทั้งหลังเลยทีเดียว แม้แต่ห้องน้ำ พอเราเข้าไปแล้ว ความรู้สึกสงบจะเกิดขึ้นทันที (แต่ต้องไม่มีนักท่องเที่ยวท่านอื่นนะ) โชคดีหน่อยที่บ้าน 4 หลังวันนี้ไม่มีใครเข้าพักเลย ยิ่งสงบไปใหญ่
เจ้า เย็นเย็น แมวหน้าบู้ว ประจำบ้านสวน
เจ้าของบ้าน เป็นอาจารย์สอนเด็กอนุบาล ผมว่าน่าจะชื่อ จันทิตา นะ ไม่แน่ใจเพราะเวลาคุยกันก็เรียก อาจารย์ๆตลอดเลยไม่รู้ชื่อจริงเลย
จากนั้นก็เข้าไปเที่ยวตลาดในตัวเมืองกัน และอีกที่ที่ต้องไปให้ได้คือร้านกาแฟ (อีกแล้ว) ชื่อบ้านจงรัก ร้านเรือนไม้สวยๆในตัวเมือง แม่ค้าเป็นกันเอง กาแฟไม่ได้ลอง แต่ไอติมอร่อยมากกกก และเช่นเคยคุยกับแม่ค้าจนไม่ได้ถ่ายรูปร้านซักเท่าไหร่
จากนั้นก็เดินชมแม่น้ำสะแกกรัง แม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงเมืองอุทัย มาถึงปัจจุบัน
หลังจากนั้นฝนที่อั้นมาสองวันก็ตกไล่เรากลับบ้านสวนแทบไม่ทัน
เช้ามา นกกางเขน และนกแซงแซวหางบ่วงใหญ่ก็มาปลุกผมแต่เช้า ปกติมาเที่ยวแบบนี้ เรามักจะพูดว่า “จะได้นอนตื่นสายๆบ้างซะที” แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตื่นเช้าเถอะครับ อากาศมันดี
เราอยู่คุยกับเจ้าของบ้านในเช้าวันนั้น ยาวไปจนสายมากๆ จึงขอแยกย้ายกลับบ้านกลับช่องของตัวเอง แพ็คของขึ้นรถแล้วขับกลับ กทม.บ้านเรา อีกสามวันต่อมาก็ออกมาบุก อีกเมือง
สุพรรณบุรี
พาแม่มาเที่ยวบ้านเกิดแล้วเดินเล่นตลาดสามชุกกัน และที่พลาดไม่ได้เลยคือร้านกาแฟท่าเรือส่ง กาแฟแบบโบราณ ที่คาปูชิโน่ต้องหลบไป และอย่าลืมเดินเที่ยวร้านอื่นๆด้วยครับ ตลาดมันมีชีวิตหลายแบบ
และภาพสุดท้ายของทริป 4 จังหวัดก็หมดลงที่ภาพคุณลุงคนนี้ครับ
โอเคขอบคุณมากๆครับที่ติดตามเข้ามาอ่านกันครับ