ได้มีโอกาสจัดทริปไปอินเดียกันเมื่อ 23-31 กรกฎา 16 ที่ผ่านมา มีเพี่อนร่วมทริปทั้งหมด5คน โดยเมืองหลักเราไปกันที่ เลห์-ลาดักห์ มีแวะเดลีและอักราใน2วันแรก รีวิวอย่างละเอียดจะทยอยลงตามมาครับ แต่ขอ preview trip ด้วยบทสดุดีคนขับรถตลอดทริปของเรา ที่มีคุณูปการกับเราทั้ง5อย่างมากมาย เพื่อเป็นการขอบคุณและแนะนำให้กับเพื่อนๆที่ค้ดจะไปเที่ยวเลห์ลาดักห์ให้ใช้บริการของพี่แก
ไปเริ่มกันเลยนะ

เลห์ Leh - ชื่อเมือง
ลาดักห์ Ladakh - ชื่อแคว้น
ลาดักกี้ Ladakhi - ใช้เรียกคนลาดักห์, อาหารลาดักห์, อะไรที่เกี่ยวกับลาดักห์
ในชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ชอบพึ่งพาคนอื่น
ไม่หวังจะฝากความเป็นอยู่เอาไว้ที่ใคร
คิดว่ามีไม่กี่ครั้งที่จะต้องเอาตัวเองไปผูกติดยกชีวิตให้ใครดูแล ถ้าไม่นับหมอ ในฐานะคนชอบเดินทางก็คงต้องนึกถึงคนขับรถขับเครื่องบินละมั้ง
ในการเดินทางที่เป็นแบบ Road trip ที่ทางอันตรายเหมือนทริปเลห์-ลาดักห์นี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ชีวิตของพวกเรา ฝากแขวนไว้กับมือคนขับที่จับพวงมาลัยจริงๆ ซึ่งหนักยิ่งกว่าหาแฟนที่พอจะได้รู้จักนิสัยใจคอกันมาก่อน แต่กับคนขับรถเนี่ย เชื่อแค่จากที่มีคนรีวิว หนักกว่านั้นคือเหมือนซื้อลอตเตอรี่คือแล้วแต่ว่าจะหยิบได้คนไหนมา
จากความเยินยมตามประสามาตรฐานอินเดียต่างๆนานาที่ได้เจอมาก่อนหน้าใน2วันแรกที่เดลีและอักรา ก็อยากจะให้ได้มีเรื่องที่น่าชื่นชมกันบ้าง
โชคดีเป็นของเรา เมื่อใครบนฟ้าส่ง "พี่เขียว" Jigmat คนขับรถคนดีที่หนึ่งมาให้เรา พี่แกเป็นคนขับที่โรงแรม Yangphel ในเลห์หามาให้ผ่านการพูดคุยทางอีเมล์ โดยที่เราไม่เคยรู้จักหรือหาข้อมูลความดีความเลวของพี่แกมาก่อน พี่เขียวหน้าตาเช่นในรูป ดูไม่เหมือนอินเดียทั่วไป
เราได้เจอพี่แกครั้งแรกตอนมารับที่สนามบินเลห์ ป้ายชื่อรอหราอยู่หน้าสนามบินพร้อมคนขับหน้าตาคล้ายไทยผสมอะไรซักอย่างใส่เสื้อสีเขียวสดใส ตอนแรกเราเดากันว่าพี่แกน่าจะแก่กว่าพวกเราหน่อย แต่ก็ไม่แน่ใจนักด้วยผิวกรำแดดและงานที่ทำ บางทีอายุจริงอาจเป็นน้องเราด้วยซ้ำ
Jigmat ทำทุกอย่างที่คนขับรถที่ดีพึงทำ ช่วยยกกระเป๋าช่วยจัดวางกระเป๋า เปิดประตู ยกเบาะ ปรับที่นั่ง คือทำทุกอย่างจริงๆ ด้วยความสุภาพ ไม่พูดมาก ไม่ปากเก่ง พี่แกแค่ขับเงียบๆนิ่งๆ ตอบเมื่อถาม เล่าเมื่อควรเล่า

เมื่อเท้าแตะสนามบินเลห์อะไรจะรอเราอยู่กันนะ?
Jigmat อยู่กับเราประมาณ 90%ของการเดินทางในเลห์-ลาดักห์-พันกองเลค-นูบร้าวัลเลย์-ซูเมอร์ คือใน6วันที่ลาดักห์ พี่แกอยู่กับเรา4วันครึ่ง ซึ่งยอมรับหมดใจว่า กว่า60-70%ที่เราอยู่ดีมีสุขเที่ยวสนุกได้ นอกจากวิวที่งามอากาศที่ดีแล้ว เรายกความดีงามทั้งหมดให้ Jigmat คนขับรถและไกด์คนดีของเรา
นอกจากลักษณะนิสัยที่เห็นว่าเงียบขรึมและรู้กาละเทศะเป็นอย่างดีแล้ว ความดีงามที่สำคัญที่สุดคือ พี่เขียวแกขับรถดีมากกกก สกิลสูง ในเส้นทางที่ยากลำบาก ถนนเลนเดียวบนเขาที่ไต่ความสูง4000-5,000เมตร ไม่เร่งไม่รีบ ไม่กระโชกโฮกฮาก ไม่บีบแตรรัว ไม่มีอาการงีบง่วงให้เห็น (ง่วงเมื่อไหร่ได้ตกเหวกันแน่) พี่แกขับรถด้วยกิริยามารยาทเดียวกันนี้ทุกวันที่นำทางเรา

รูปแรกกับพี่เขียว
ข้อดีมากอย่างต่อมาของ Jigmat คือ ความใส่ใจ สนใจในสภาพความเป็นอยู่ของพวกเราในรถอย่างสูง เริ่มตั้งแต่การดูแลเช็ดกระจกรถให้ใสตลอดเวลาทุกบานทุกวันเช้าเย็น เราเข้าใจว่าพี่แกอยากให้เราเห็นวิวสวยๆได้ชัดเจน เมื่อไหร่ที่ผ่านจุดวิวสวยโดยไม่ต้องบอกอะไร เราก็หยิบกล้องมาถ่ายกันรัวๆอยู่แล้ว พี่แกจะสังเกตทันทีที่ได้ยินเสียงว้าวตื่นเต้นกับวิวของพวกเรา ในจุดที่จอดรถไม่ได้จะชะลอให้เรารัวชัตเตอร์จากบนรถ ถ้าจุดไหนจอดได้พี่แกจะหันมาถาม "Photo?" แปลว่าลงไปถ่ายมั้ย นอกจากจะจอดแวะแล้ว ยังลงมาถ่ายรูปให้เราด้วยมุมที่ดีมากๆภาพสวยๆหลายรูปเป็นฝีมือ Jigmat (จากการจัดมุมกล้องให้ช่วงแรก หลังๆฮีเก่งหามุมเองได้เลย)

รูปนี้พี่เขียวถ่าย

รูปนี้พี่เขียวก็ถ่าย
ความใส่ใจและการให้ความสนใจพวกเรา ส่วนตัวถือว่าเป็นการบริการที่เหนือความคาดหวังและมากกว่าหน้าที่ เรารู้สึกได้ว่าพี่แกทำด้วยใจ วันนึงช่วงเช้าก่อนเดินทางไป Nubra valley พี่เขียวยื่นขนมพื้นเมืองคล้ายคุกกี้ ห่อมาอย่างดีในถุงผ้า ยื่นให้พวกเราทีละคน เห้ย พี่ไม่ต้องทำแบบนี้ ผลงานของพี่ก็ทะลุเป้าไปแล้วนะ
เวลาไปจอดรถตามจุดท่องเที่ยว พี่เขียวไม่เคยหายไปไกล หรือปล่อยให้เราต้องชะเง้อตามหา พอเที่ยวเสร็จ มองไปที่ลานจอดรถ พี่แกก็จะยืนเขียวอยู่ตรงนั้น (ฮีใส่เสื้อสีเขียวสดตัวเดิมตลอด5วันที่เจอกันแต่ไม่มีกลิ่นเหม็นใดๆแตะจมูกเราเลย เราเข้าใจว่าได้แรงบันดาลใจมาจากสตีฟ จ๊อบ หรือไม่ก็พี่แกใส่ใจไปอีกระดับคืออยากให้เราจำได้หาตัวแกง่ายๆในที่ที่คนเยอะ)
ทุกครั้งที่เราอยากได้ของในรถไม่ว่าตอนนั้นพี่เขียวอยู่ไหน ก็จะปรากฎตัวเดินไปเปิดรถให้ทุกครั้ง เหมือนจ้องมองเราอยู่ตลอด ว่าเราขาดเหลืออะไรต้องการอะไรมั้ย
รถที่ใช้คือ Innova มีเบาะนั่ง3แถว แถวที่3ต้องเข้าทางประตูแถว2 ต้องเลื่อนเบาะยกเบาะ เราขึ้นลงรถกันรวมๆไม่น่าต่ำกว่า 100-200ครั้ง พี่เขียวยกเบาะให้ทุกครั้ง เลื่อนเบาะให้ตลอด หลายครั้งนี่ซุ่มซ่ามทำของตก หมวกหล่นโดยไม่รู้ตัว เพื่อนๆก็จะเห็นพี่แกก้มเก็บหมวก ปัดให้สะอาดแล้ววางที่เดิมอย่างไม่กระโตกกระตากร้องหาความดีความชอบอะไร หรือฝาปิดเลนส์ของปลาที่หาไม่เจอพี่แกก็เก็บไว้ให้
สิ่งเหล่านี้เป็นการบริการที่เรายกให้ว่าเหนือหน้าที่และทำด้วยใจล้วนๆ ที่เราคาดหวังแค่ขับรถดีปลอดภัยรู้เรื่องสถานที่ท่องเที่ยวดี พาเราไปถูกที่ถูกเวลาแค่นั้นก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆเราว่าเราสามารถดูแลตัวเองกันได้ แต่พีเขียวให้มากกว่าความปลอดภัย พี่แกให้ความมั่นใจ เชื่อใจ สบายใจและผ่อนคลาย ตลอดการเดินทางสุดโหดผ่านหุบเหว ทางขรุขระ ฝุ่นควัน หิมะและน้ำแข็งหลายร้อยกิโลที่ความสูงหลายพันเมตร สิ่งต่างๆที่พี่แกทำให้พวกเรา มันดีกว่าที่คาดไว้หลายร้อยเปอร์เซนต์จริงๆ เอาจริงๆแค่ออกเดินทางแต่เช้า 6-7 โมง ขับรถวันละหลายร้อยกิโลผ่านทางเครียดๆ อยู่กับเราจน 1-2 ทุ่ม โดยไม่ต้องทำนอกเหนือหน้าที่ก็เหนื่อยมากแล้ว

ถนนที่มีเหวเป็นขอบทาง บางช่วงสวนกันแทบไม่ได้ นี่คือเส้นทางที่พี่เขียวทำให้เราอุ่นใจ

ทางโหดแค่ไหนถามใจเธอดู

ใส่เสื้อเขียวตัวเดิมตลอด หาง่าย
ถึงที่สูงที่หนาวพี่พาเราไปจิบชาอุ่นๆคอยอยู่คุยกับพนักงานให้
ถึงเวลากินข้าวพี่แกเลือกร้านที่ดีวิวสวยอาหารใช้ได้คนไม่เยอะให้
ถึงเวลาปวดห้องน้ำพี่เขียวแจ้งระยะทางว่าอีกกี่นาทีถึงห้องน้ำจุดต่อไปแล้วเข้าได้
เวลาเราลงไปเที่ยวเล่นเพลินเกินเวลา เราได้ยินเสียงคนขับรถคันอื่นบีบแตรเรียกแขกของเค้า เรามั่นใจว่าพี่เขียวจะไม่ทำแบบนั้น จะไม่บีบแตรเรืยกเรา เพราะเค้าดีกว่านั้น
ในวันที่ไป Pangong lake เป็นการเดินทางสู่ที่สูงมากกว่า 5000 เมตรแต่ละคนเริ่มมีอาการ Acute mountain sickness กันนิดหน่อย มึนหัวบ้าง หายใจไม่สะดวกบ้าง ชามือชาขาชาหนวดกันไป ซึ่งแน่นอนทั้งหมดแก้ได้ด้วยออกซิเจนแทงค์ ที่ Jigmat เตรียมพร้อมเอาไว้ในรถ สูดกันคนละ 2-3 ปื๊ดก็ดีขึ้นทันตา
เราจ่ายค่าทริปสำหรับแท็กซี่ของพี่เขียวให้โรงแรมไป 32,000รูปีสำหรับ 4วัน เราไม่แน่ใจว่าพี่เขียวได้ส่วนแบ่งเท่าไหร่ แต่พวกเราตกลงกันว่าเราจะให้ทิปพี่เขียวให้มากที่สุด เท่าที่เงินในกระเป๋าพอเหลือจ่ายสิ่งอื่น เพราะคนดีต้องได้รับการตอบแทนดีๆให้เป็นกำลังใจที่จะทำดีต่อไป เราทิปรวมกลุ่มไป12,000รูปี กบกับเราให้เพิ่มอีกคนละ 1,000รูปี รวมเป็น 14,000รูปี เป็นเงินไทยประมาณ 7,000 บาท แบบที่ไม่รู้สึกเสียดายเลยซักรูปี เต็มใจจ่ายที่สุดแล้ว เราไม่แน่ใจว่าเงินทิปจำนวนนี้มากหรือน้อยแค่ไหน แต่ตอนเรายื่นเงินให้พี่แก พร้อมขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ดูแลเรามาตลอดทุกวัน พี่แกเข้ามากอด จับมือแล้วเดินขอบคุณ บอกลาทุกคนในวันสุดท้าย (ตอนนั้นคิดว่าคงลากันละเพราะวันรุ่งขึ้นเรามีนัดกับคนขับรถใหม่ ซึ่งปรากฎว่าไอคนนี้บัดซบมาก ขับได้เลวตำบอน แซงทุกคันแบบฉิวเฉียด บีบแตรรัวทั้งหมูหมากาไก่บีบไล่หมด จนผ่านที่เที่ยวไป2ที่ใน Lamayuru แล้วเราลงความเห็นว่าพอเหอะ กลับโรงแรมกันเพราะทนความจรเข้ของอีไม่ไหว นั่งเกร็งจนขี้หดกลับเข้าลำไส้เล็กหมดละ แล้วพรุ่งนี้โทรให้พี่เขียวมารับไปส่งสนามบิน) จากความขวัญหนีดีฝ่อของความบัดซบในการขับรถของนาย Ali พี่เขียวรับโทรศัพท์เราและรับปากจะมารับวันรุ่งขึ้นเพื่อไปส่งสนามบิน เป็นสิ่งปลอบประโลมใจที่ดีสุดๆ เหมือนหยดน้ำกลางทะเลทราย

เจอกันวันสุดท้ายความดียังไม่ลดละ
วันที่ต้องลาจากลาดักห์มาถึง เรานัดพี่เขียว ตี 5.50 เพื่อไปสนามบิน เหมือนเช่นทุกครั้ง Jigmat มารอเราก่อนเวลานัด ช่วยยกกระเป๋าทุกใบ จัดที่นั่งให้ ยกเบาะขึ้นลงให้ และขับด้วยความสุภาพแต่ไม่เนิบนาบไปยังสนามบิน ถึงสนามบิน พ่อคนดีไปเอา trolley มาให้ยกกระเป๋าใส่ให้ และทำท่าเหมือนบอกลา โดยที่เรายังไม่ได้จ่ายค่ารถมาสนามบิน เราถามราคาว่าเท่าไหร่ Jigmat ตอบ 200 รูปี ความดีพี่ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ เพราะเรตปกติมันอยู่ที่ 500 รูปี ไม่ได้จะใช้เงินซื้อหรืออะไร แต่คนดีต้องได้รับสิ่งดีๆตอบแทน เราจ่ายพี่เขียวไป 1000 รูปี พร้อมขนมนมเนยและของใช้ที่เราไม่เอากลับและคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับพี่แก

ช่วยยกกระเป๋าเอารถเข็นมาให้ พ่อคู้ณ!!!
โดยไม่มีข้อกังขา จากนี้ไปถ้าใครจะไปเลห์ เราจะแนะนำ Jigmat ให้กับทุกคนจนกว่าพี่แกจะขับรถไม่ไหวนั่นแหละ หลังจากความดีงามที่พี่ทำไว้ให้พวกเรา เราสัญญาว่าชีวิตพี่จะเปลี่ยนงานจะรุม เชื่อเรา

โฉมหน้าชัดๆของ Jigmat

โดยยังนึกอันดับ 1 2 ไม่ออก หลังจากทริปนี้ เราได้จัดให้ Jigmat ติด top 3 ผู้ชายที่มีคุณูปการต่อชีวิตเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคิดจะไปเที่ยวลาดักห์ จงใช้บริการ Jigmat นามบัตรตามที่แนบ เรามาสนับสนุนคนดีๆกันเถอะ
When in Leh, do as the Ladakhi do. เลห์-ลาดักห์ กระฉึกกระฉัก5คน Part1 สดุดีคนขับรถ
ไปเริ่มกันเลยนะ
เลห์ Leh - ชื่อเมือง
ลาดักห์ Ladakh - ชื่อแคว้น
ลาดักกี้ Ladakhi - ใช้เรียกคนลาดักห์, อาหารลาดักห์, อะไรที่เกี่ยวกับลาดักห์
ในชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ชอบพึ่งพาคนอื่น
ไม่หวังจะฝากความเป็นอยู่เอาไว้ที่ใคร
คิดว่ามีไม่กี่ครั้งที่จะต้องเอาตัวเองไปผูกติดยกชีวิตให้ใครดูแล ถ้าไม่นับหมอ ในฐานะคนชอบเดินทางก็คงต้องนึกถึงคนขับรถขับเครื่องบินละมั้ง
ในการเดินทางที่เป็นแบบ Road trip ที่ทางอันตรายเหมือนทริปเลห์-ลาดักห์นี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ชีวิตของพวกเรา ฝากแขวนไว้กับมือคนขับที่จับพวงมาลัยจริงๆ ซึ่งหนักยิ่งกว่าหาแฟนที่พอจะได้รู้จักนิสัยใจคอกันมาก่อน แต่กับคนขับรถเนี่ย เชื่อแค่จากที่มีคนรีวิว หนักกว่านั้นคือเหมือนซื้อลอตเตอรี่คือแล้วแต่ว่าจะหยิบได้คนไหนมา
จากความเยินยมตามประสามาตรฐานอินเดียต่างๆนานาที่ได้เจอมาก่อนหน้าใน2วันแรกที่เดลีและอักรา ก็อยากจะให้ได้มีเรื่องที่น่าชื่นชมกันบ้าง
โชคดีเป็นของเรา เมื่อใครบนฟ้าส่ง "พี่เขียว" Jigmat คนขับรถคนดีที่หนึ่งมาให้เรา พี่แกเป็นคนขับที่โรงแรม Yangphel ในเลห์หามาให้ผ่านการพูดคุยทางอีเมล์ โดยที่เราไม่เคยรู้จักหรือหาข้อมูลความดีความเลวของพี่แกมาก่อน พี่เขียวหน้าตาเช่นในรูป ดูไม่เหมือนอินเดียทั่วไป
เราได้เจอพี่แกครั้งแรกตอนมารับที่สนามบินเลห์ ป้ายชื่อรอหราอยู่หน้าสนามบินพร้อมคนขับหน้าตาคล้ายไทยผสมอะไรซักอย่างใส่เสื้อสีเขียวสดใส ตอนแรกเราเดากันว่าพี่แกน่าจะแก่กว่าพวกเราหน่อย แต่ก็ไม่แน่ใจนักด้วยผิวกรำแดดและงานที่ทำ บางทีอายุจริงอาจเป็นน้องเราด้วยซ้ำ
Jigmat ทำทุกอย่างที่คนขับรถที่ดีพึงทำ ช่วยยกกระเป๋าช่วยจัดวางกระเป๋า เปิดประตู ยกเบาะ ปรับที่นั่ง คือทำทุกอย่างจริงๆ ด้วยความสุภาพ ไม่พูดมาก ไม่ปากเก่ง พี่แกแค่ขับเงียบๆนิ่งๆ ตอบเมื่อถาม เล่าเมื่อควรเล่า
เมื่อเท้าแตะสนามบินเลห์อะไรจะรอเราอยู่กันนะ?
Jigmat อยู่กับเราประมาณ 90%ของการเดินทางในเลห์-ลาดักห์-พันกองเลค-นูบร้าวัลเลย์-ซูเมอร์ คือใน6วันที่ลาดักห์ พี่แกอยู่กับเรา4วันครึ่ง ซึ่งยอมรับหมดใจว่า กว่า60-70%ที่เราอยู่ดีมีสุขเที่ยวสนุกได้ นอกจากวิวที่งามอากาศที่ดีแล้ว เรายกความดีงามทั้งหมดให้ Jigmat คนขับรถและไกด์คนดีของเรา
นอกจากลักษณะนิสัยที่เห็นว่าเงียบขรึมและรู้กาละเทศะเป็นอย่างดีแล้ว ความดีงามที่สำคัญที่สุดคือ พี่เขียวแกขับรถดีมากกกก สกิลสูง ในเส้นทางที่ยากลำบาก ถนนเลนเดียวบนเขาที่ไต่ความสูง4000-5,000เมตร ไม่เร่งไม่รีบ ไม่กระโชกโฮกฮาก ไม่บีบแตรรัว ไม่มีอาการงีบง่วงให้เห็น (ง่วงเมื่อไหร่ได้ตกเหวกันแน่) พี่แกขับรถด้วยกิริยามารยาทเดียวกันนี้ทุกวันที่นำทางเรา
รูปแรกกับพี่เขียว
ข้อดีมากอย่างต่อมาของ Jigmat คือ ความใส่ใจ สนใจในสภาพความเป็นอยู่ของพวกเราในรถอย่างสูง เริ่มตั้งแต่การดูแลเช็ดกระจกรถให้ใสตลอดเวลาทุกบานทุกวันเช้าเย็น เราเข้าใจว่าพี่แกอยากให้เราเห็นวิวสวยๆได้ชัดเจน เมื่อไหร่ที่ผ่านจุดวิวสวยโดยไม่ต้องบอกอะไร เราก็หยิบกล้องมาถ่ายกันรัวๆอยู่แล้ว พี่แกจะสังเกตทันทีที่ได้ยินเสียงว้าวตื่นเต้นกับวิวของพวกเรา ในจุดที่จอดรถไม่ได้จะชะลอให้เรารัวชัตเตอร์จากบนรถ ถ้าจุดไหนจอดได้พี่แกจะหันมาถาม "Photo?" แปลว่าลงไปถ่ายมั้ย นอกจากจะจอดแวะแล้ว ยังลงมาถ่ายรูปให้เราด้วยมุมที่ดีมากๆภาพสวยๆหลายรูปเป็นฝีมือ Jigmat (จากการจัดมุมกล้องให้ช่วงแรก หลังๆฮีเก่งหามุมเองได้เลย)
รูปนี้พี่เขียวถ่าย
รูปนี้พี่เขียวก็ถ่าย
ความใส่ใจและการให้ความสนใจพวกเรา ส่วนตัวถือว่าเป็นการบริการที่เหนือความคาดหวังและมากกว่าหน้าที่ เรารู้สึกได้ว่าพี่แกทำด้วยใจ วันนึงช่วงเช้าก่อนเดินทางไป Nubra valley พี่เขียวยื่นขนมพื้นเมืองคล้ายคุกกี้ ห่อมาอย่างดีในถุงผ้า ยื่นให้พวกเราทีละคน เห้ย พี่ไม่ต้องทำแบบนี้ ผลงานของพี่ก็ทะลุเป้าไปแล้วนะ
เวลาไปจอดรถตามจุดท่องเที่ยว พี่เขียวไม่เคยหายไปไกล หรือปล่อยให้เราต้องชะเง้อตามหา พอเที่ยวเสร็จ มองไปที่ลานจอดรถ พี่แกก็จะยืนเขียวอยู่ตรงนั้น (ฮีใส่เสื้อสีเขียวสดตัวเดิมตลอด5วันที่เจอกันแต่ไม่มีกลิ่นเหม็นใดๆแตะจมูกเราเลย เราเข้าใจว่าได้แรงบันดาลใจมาจากสตีฟ จ๊อบ หรือไม่ก็พี่แกใส่ใจไปอีกระดับคืออยากให้เราจำได้หาตัวแกง่ายๆในที่ที่คนเยอะ)
ทุกครั้งที่เราอยากได้ของในรถไม่ว่าตอนนั้นพี่เขียวอยู่ไหน ก็จะปรากฎตัวเดินไปเปิดรถให้ทุกครั้ง เหมือนจ้องมองเราอยู่ตลอด ว่าเราขาดเหลืออะไรต้องการอะไรมั้ย
รถที่ใช้คือ Innova มีเบาะนั่ง3แถว แถวที่3ต้องเข้าทางประตูแถว2 ต้องเลื่อนเบาะยกเบาะ เราขึ้นลงรถกันรวมๆไม่น่าต่ำกว่า 100-200ครั้ง พี่เขียวยกเบาะให้ทุกครั้ง เลื่อนเบาะให้ตลอด หลายครั้งนี่ซุ่มซ่ามทำของตก หมวกหล่นโดยไม่รู้ตัว เพื่อนๆก็จะเห็นพี่แกก้มเก็บหมวก ปัดให้สะอาดแล้ววางที่เดิมอย่างไม่กระโตกกระตากร้องหาความดีความชอบอะไร หรือฝาปิดเลนส์ของปลาที่หาไม่เจอพี่แกก็เก็บไว้ให้
สิ่งเหล่านี้เป็นการบริการที่เรายกให้ว่าเหนือหน้าที่และทำด้วยใจล้วนๆ ที่เราคาดหวังแค่ขับรถดีปลอดภัยรู้เรื่องสถานที่ท่องเที่ยวดี พาเราไปถูกที่ถูกเวลาแค่นั้นก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆเราว่าเราสามารถดูแลตัวเองกันได้ แต่พีเขียวให้มากกว่าความปลอดภัย พี่แกให้ความมั่นใจ เชื่อใจ สบายใจและผ่อนคลาย ตลอดการเดินทางสุดโหดผ่านหุบเหว ทางขรุขระ ฝุ่นควัน หิมะและน้ำแข็งหลายร้อยกิโลที่ความสูงหลายพันเมตร สิ่งต่างๆที่พี่แกทำให้พวกเรา มันดีกว่าที่คาดไว้หลายร้อยเปอร์เซนต์จริงๆ เอาจริงๆแค่ออกเดินทางแต่เช้า 6-7 โมง ขับรถวันละหลายร้อยกิโลผ่านทางเครียดๆ อยู่กับเราจน 1-2 ทุ่ม โดยไม่ต้องทำนอกเหนือหน้าที่ก็เหนื่อยมากแล้ว
ถนนที่มีเหวเป็นขอบทาง บางช่วงสวนกันแทบไม่ได้ นี่คือเส้นทางที่พี่เขียวทำให้เราอุ่นใจ
ทางโหดแค่ไหนถามใจเธอดู
ใส่เสื้อเขียวตัวเดิมตลอด หาง่าย
ถึงที่สูงที่หนาวพี่พาเราไปจิบชาอุ่นๆคอยอยู่คุยกับพนักงานให้
ถึงเวลากินข้าวพี่แกเลือกร้านที่ดีวิวสวยอาหารใช้ได้คนไม่เยอะให้
ถึงเวลาปวดห้องน้ำพี่เขียวแจ้งระยะทางว่าอีกกี่นาทีถึงห้องน้ำจุดต่อไปแล้วเข้าได้
เวลาเราลงไปเที่ยวเล่นเพลินเกินเวลา เราได้ยินเสียงคนขับรถคันอื่นบีบแตรเรียกแขกของเค้า เรามั่นใจว่าพี่เขียวจะไม่ทำแบบนั้น จะไม่บีบแตรเรืยกเรา เพราะเค้าดีกว่านั้น
ในวันที่ไป Pangong lake เป็นการเดินทางสู่ที่สูงมากกว่า 5000 เมตรแต่ละคนเริ่มมีอาการ Acute mountain sickness กันนิดหน่อย มึนหัวบ้าง หายใจไม่สะดวกบ้าง ชามือชาขาชาหนวดกันไป ซึ่งแน่นอนทั้งหมดแก้ได้ด้วยออกซิเจนแทงค์ ที่ Jigmat เตรียมพร้อมเอาไว้ในรถ สูดกันคนละ 2-3 ปื๊ดก็ดีขึ้นทันตา
เราจ่ายค่าทริปสำหรับแท็กซี่ของพี่เขียวให้โรงแรมไป 32,000รูปีสำหรับ 4วัน เราไม่แน่ใจว่าพี่เขียวได้ส่วนแบ่งเท่าไหร่ แต่พวกเราตกลงกันว่าเราจะให้ทิปพี่เขียวให้มากที่สุด เท่าที่เงินในกระเป๋าพอเหลือจ่ายสิ่งอื่น เพราะคนดีต้องได้รับการตอบแทนดีๆให้เป็นกำลังใจที่จะทำดีต่อไป เราทิปรวมกลุ่มไป12,000รูปี กบกับเราให้เพิ่มอีกคนละ 1,000รูปี รวมเป็น 14,000รูปี เป็นเงินไทยประมาณ 7,000 บาท แบบที่ไม่รู้สึกเสียดายเลยซักรูปี เต็มใจจ่ายที่สุดแล้ว เราไม่แน่ใจว่าเงินทิปจำนวนนี้มากหรือน้อยแค่ไหน แต่ตอนเรายื่นเงินให้พี่แก พร้อมขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ดูแลเรามาตลอดทุกวัน พี่แกเข้ามากอด จับมือแล้วเดินขอบคุณ บอกลาทุกคนในวันสุดท้าย (ตอนนั้นคิดว่าคงลากันละเพราะวันรุ่งขึ้นเรามีนัดกับคนขับรถใหม่ ซึ่งปรากฎว่าไอคนนี้บัดซบมาก ขับได้เลวตำบอน แซงทุกคันแบบฉิวเฉียด บีบแตรรัวทั้งหมูหมากาไก่บีบไล่หมด จนผ่านที่เที่ยวไป2ที่ใน Lamayuru แล้วเราลงความเห็นว่าพอเหอะ กลับโรงแรมกันเพราะทนความจรเข้ของอีไม่ไหว นั่งเกร็งจนขี้หดกลับเข้าลำไส้เล็กหมดละ แล้วพรุ่งนี้โทรให้พี่เขียวมารับไปส่งสนามบิน) จากความขวัญหนีดีฝ่อของความบัดซบในการขับรถของนาย Ali พี่เขียวรับโทรศัพท์เราและรับปากจะมารับวันรุ่งขึ้นเพื่อไปส่งสนามบิน เป็นสิ่งปลอบประโลมใจที่ดีสุดๆ เหมือนหยดน้ำกลางทะเลทราย
เจอกันวันสุดท้ายความดียังไม่ลดละ
วันที่ต้องลาจากลาดักห์มาถึง เรานัดพี่เขียว ตี 5.50 เพื่อไปสนามบิน เหมือนเช่นทุกครั้ง Jigmat มารอเราก่อนเวลานัด ช่วยยกกระเป๋าทุกใบ จัดที่นั่งให้ ยกเบาะขึ้นลงให้ และขับด้วยความสุภาพแต่ไม่เนิบนาบไปยังสนามบิน ถึงสนามบิน พ่อคนดีไปเอา trolley มาให้ยกกระเป๋าใส่ให้ และทำท่าเหมือนบอกลา โดยที่เรายังไม่ได้จ่ายค่ารถมาสนามบิน เราถามราคาว่าเท่าไหร่ Jigmat ตอบ 200 รูปี ความดีพี่ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ เพราะเรตปกติมันอยู่ที่ 500 รูปี ไม่ได้จะใช้เงินซื้อหรืออะไร แต่คนดีต้องได้รับสิ่งดีๆตอบแทน เราจ่ายพี่เขียวไป 1000 รูปี พร้อมขนมนมเนยและของใช้ที่เราไม่เอากลับและคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับพี่แก
ช่วยยกกระเป๋าเอารถเข็นมาให้ พ่อคู้ณ!!!
โดยไม่มีข้อกังขา จากนี้ไปถ้าใครจะไปเลห์ เราจะแนะนำ Jigmat ให้กับทุกคนจนกว่าพี่แกจะขับรถไม่ไหวนั่นแหละ หลังจากความดีงามที่พี่ทำไว้ให้พวกเรา เราสัญญาว่าชีวิตพี่จะเปลี่ยนงานจะรุม เชื่อเรา
โฉมหน้าชัดๆของ Jigmat
โดยยังนึกอันดับ 1 2 ไม่ออก หลังจากทริปนี้ เราได้จัดให้ Jigmat ติด top 3 ผู้ชายที่มีคุณูปการต่อชีวิตเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคิดจะไปเที่ยวลาดักห์ จงใช้บริการ Jigmat นามบัตรตามที่แนบ เรามาสนับสนุนคนดีๆกันเถอะ