กระทู้พลีชีพ...จากเด็กสาว ตจว. เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นสาวพิมพ์นิยม (คิดเอาเองนะคะ)

สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ชาวห้องแป้ง เคยอ่านเรื่องของเพื่อน ๆ อยู่นาน วันนี้ได้มีโอกาสมาเขียนเรื่องราวของตัวเองบ้าง อาจจะเป็นประโยชน์ให้เพื่อน ๆ ชาวห้องแป้งได้บ้างนะคะ
     ในชีวิตผ่านมากว่า 30 ปี ลองผิดลองถูกมามากค่ะ เจ็บมาก็เยอะ...5 5 5 เดี๋ยวเรามาดูกันว่าผ่านอะไรมาบ้าง แต่ก่อนไม่เคยดูแลรูปร่างตัวเองเลยสักนิด ตอนเด็กๆนี่ ก็ทั้งเตี้ย ทั้งดำ ขี้เหร่ที่สุด.... แต่หาได้แคร์อะไรไม่ (แต่ถึงขี้เหร่ยังงัยก็ยังได้เป็นนางรำของโรงเรียนทำกิจกรรมต่าง ๆ ของทางโรงเรียนนะคะ  แสดงว่าคุณครูเห็นแววสวย อิอิ)



     พอเริ่มเรียนมัธยมโตขึ้นมาหน่อย เบ้าหน้าก็ยังไม่ต่างจากเดิมมาก แต่ก็ยังมั่นหน้าคิดว่าสวยนะตอนนั้น 555 แถมยังเคยโดยรถชนหน้าไถ่ไปกับถนน คิดว่าจะเสียโฉมไปซะละ
(สมัยนั้นรูปไม่ค่อยมีกันหรอกเนอะ กล้องยังเป็นกล้องฟิล์มอยู่เลย หามาได้ก็มีเท่านี้เองค่ะ จากรูปก็จะเห็นลางๆเงาดำๆที่แก้มข้างขวานะคะ นั่นแหละค่ะรอยแผลจากการโดนรถชน)



     พอจะจบ ม.6 ก็คิดแค่ว่าไม่อยากอยู่บ้านละ อยากไปเรียนไกลๆ ก็สมใจเลยจร้า เอ็นฯติดโควต้า ได้ไปอยู่ต่างจังหวัดไกลจริงๆ เกือบเหนือสุดแดนสยาม ที่สำคัญเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม ผู้ชาย 50 คน คุณพระ!! โอ้ววอย่างงี้ดิฉันก็สวยสุดสิคะ (ยังมั่นหน้า หุหุ) แน่นอนค่ะการใช้ชีวิตคงไม่สวยเหมือนโปรยด้วยกลีบกุหลาบใช้ชีวิตเด็กมหา’ลัย เด็กหอ กินเหล้า เฮฮา ปาร์ตี้ รุ่นพี่ รุ่นน้อง กับเพื่อน ๆ ผู้ชาย เรื่องความสวยเหรอคะ เหอะๆ....ก็งั้น ๆ ไม่มีแววเลยด้วยซ้ำ แบบหน้าตาบ้านๆมากกกก



     แต่ก็เรียนได้แค่ 2 ปีเองนะ คิดว่าไม่น่าจะไปรอด เกรดไม่สวย ถ้าจบมา แล้วได้เกรดแค่ 2 กว่าๆ มันคงไม่งามแน่ๆ ก็เลยตัดสินใจ ขอโอนย้ายหน่วยกิจมาเรียน การท่องเที่ยว ดีกว่า (จริงๆเป็นคนชอบเที่ยวน่ะ แต่ดันเอ็นฯติดวิศวะก่อนก็เลยลองเรียนดูแล้วไง ไปไม่รอดซิจ๊ะ) ก็เทียบโอนเอา พอเปลี่ยนมาเรียนอีกคณะ เกรดพุ่งเลยค่ะ เพราะเราเคยเรียนวิชายาก ๆ ของเด็กวิศวะมาแล้วอย่างพวก แคลคูลัสไรงี้ พอมาเจอเลขของฝั่งนี้ง่ายไปเลย บัญชี เศรษฐศาสตร์ เด็กๆ จบมา ก็ 3 กว่า ภูมิใจค่ะ อวยตัวเองอยู่นานมาเริ่มเรื่องของการอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเลยนะคะ เดิมเป็นคนหน้าบาน หน้าก็ไม่แต่ง ถ่ายรูปมาหน้าใหญ่ บวมๆยังไงไม่รู้ แต่ก็ไม่คิดอะไรนะ เริ่มมาสังเกตุตัวเองก็ตอนพอเพื่อนๆชอบแซวนี่แหละ แล้วยังงัยล่ะ ก็แอบนอยด์ๆซิคะ จากนั้นก็เริ่มหาข้อมูลทำงัยให้หน้าเล็ก เห็นเพื่อน ๆ จัดฟันกัน รออะไรล่ะค่ะ ก็จัดด้วยสิ เผื่อหน้าฉันจะหน้าเล็กบ้าง นี่คือครั้งแรกที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิต



     หลังจากจัดฟันไป ก็มั่นหน้าคิดว่าหน้าเล็กสวยละ ก็ไม่ได้สนใจอะไร พอเรียนจบ เริ่มทำงาน เอ็นจอยกับการใช้ชีวิตค่ะ ไม่ต้องเรียนละ กินเที่ยว อย่างสำราญ สังสรรค์กับเพื่อนบ้างอย่างเป็นประจำ ปล่อยตัวให้อวบ อ้วน จนหน้าบาน กว่าเดิม จากอ้วนไม่มาก ก็กลายเป็นอืด อาจจะเป็นเพราะเหล้า เบียร์ จากการสังสรรค์ พอรู้สึกอึดอัด หาเสื้อผ้าใส่ยาก แล้วเพื่อนๆก็ชอบแซว อ้วนมั่งหละ กางเกงจะขาดละนะเธอ โอ๊ะๆๆระวังๆ เสื้อจ๋า กระดุมลาก่อนจร้าา 555
     เอิ่ม..อะไรเนี่ยย การจัดฟันไม่ได้ช่วยอะไรเราเลยรึนี่ บางคนจัดฟัน กินอะไรไม่ค่อยได้ จัดฟันหน้าเล็ก แต่ทำไม ทำไมเรากินได้เยอะ แถมหน้าก็ไม่เล็ก แง้ๆๆ แขนขาใหญ่ แน่นไปหมด กีฬาไม่เล่น ไม่ชอบ เหนื่อยเมื่อย ...แต่เรื่องผิวพรรณ หน้าตาก็มีการดูแลตัวเองบ้างตามที่สาว ๆ เค้าทำกัน เช่น ทาครีมบำรุงผิวหน้า บำรุงตัว สครับผิว ขัดๆถูๆ แต่งหน้าผัดแป้ง ตามประสา  อ่อ!! ข้ามเรื่องไปนิด ก่อนนี้เราเคยเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง เป็นโรคที่แปลกประหลาด ไม่มีคนเค้าเป็นกัน เคยเป็นตั้งแต่สมัยเรียนละ คุณหมอบอกว่าเป็น “โรคเกลื้อนกลีบกุหลาบ” โดนแดดมากไม่ค่อยได้ ต้องทากันแดดอยู่ประจำ ถ้าโดนแดดมาก ๆ ก็จะมีผื่นขึ้นตามแขน ตามขา ที่สำคัญขึ้นที่หน้าด้วย แอร๊ย!! นึกแล้วก็คัน นี่อาจจะเป็นอานิสงค์ ให้เราไม่ค่อยกล้าโดนแดด และหมั่นทาครีมกันแดดอย่างเป็นประจำ ผิวก็เลยไม่ค่อยคล้ำไปกว่าเดิม และสีผิวค่อยๆดีขึ้น



     ตามช่วงชีวิตค่ะ ทำงานต่างจังหวัดมาแล้ว อยากเข้ามาเมืองหลวงบ้าง อยากเห็นแสงสี เลยเข้ามา กทม. ช่วงปี’53  สนุกสิคะงานนี้ พกพาความมั่นใจมาเต็มกระเป๋า มั่นหน้าว่าสวยด้วย (คนแถวบ้านบอกมางี้นะ) ทำงานได้สักพักเริ่มมีความรู้สึกว่าเห้ยยยย...ทำไมคนกรุงเทพมีแต่คนสวย ๆ น๊า เริ่มขาดความมั่นใจละ มองทางไหน ก็เจอแต่คนเอวบาง ร่างน้อย หน้างี้เล็กเท่าฝ่ามือ ขางี้เรียวสวย เล็กเว่อร์ แรกๆก็เฉยๆนะ พออยู่กทม. สักระยะ เริ่มหันกลับมามองตัวเองบ้างละ อื้อหือ  นี่คือะไรยะ...หนังตางี้ตกเชียว หน้างี้เท่ากระมัง .....
     เอาล่ะ บอกกับตัวเองชั้นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองล่ะ อย่างน้อยก็เพื่อความมั่นใจของตัวเอง นี่คือเหตุผลส่วนตัวนะ ที่สำคัญเพราะเห็นคนอื่นๆผอมสวยหุ่นดี แอบอิจฉาเบาๆ เลยฮึด กลับมาดูแลตัวเอง เริ่มลดน้ำหนักโดยการเล่น ฮูลาฮูป ทำได้ง่าย ๆ ในห้องเล็ก ๆที่อพาร์ทเม้นท์ เพราะเราไม่มีเวลาที่จะไปฟิตเนสทำงานก็เลิกดึก เริ่มปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่าง เริ่มหัดแต่งหน้า ก็อาศัยดูจากยูทูปบ้าง อ่านจากห้องแป้งบ้าง ให้เพื่อนสอนบ้าง จากแต่งผิด ๆ คิดว่าถูกของเราก็พอเริ่มเป็นบ้างค่ะ คิ้วนี้พูดเลยยากชะมัด ยิ่งตานะ โอ้ยย เปลืองอายไลน์เนอร์มาก



      และต่อมาก็เริ่มอยากทำอย่างอื่นเพิ่มเติมนอกเหนือจากการทาครีมบำรุง สครับ มาร์ค ทั่วๆไปที่ทำเองที่ห้อง หรือแม้กระทั่งการทำทรีตเม้นท์ตามร้าน นั้นก็คือการสวยด้วยการฉีดโบท้อกช์กรามเป็นอันดับแรก และหลังจากโดนไป ครั้งนึงก็โบท้อกช์มาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง (เรียกว่าเสพติดเลยก็ว่าได้ 555)...หลังจากที่คุ้นเคยกับโบท้อกช์มานานร่วม 3-4 ปี ของปลอมเอย  หมอกระเป๋าเอย ก็ลองมาหมดแล้ว โชคดีที่เราไม่แพ้กับของปลอม สาธุมาก ๆ ค่ะ อยากจะเตือนเพื่อนๆ นะคะ ว่าอย่าลองของปลอม ถูกจริงแต่ไม่คุ้มเสี่ยง เสียงตังค์แพงหน่อย ฉีดตามคลินิกจริงๆจะดีกว่าค่ะ ได้ความคุ้มค่า และปลอดภัยนะคะ อันนี้ขอฝากเลยค่ะ



     พอถึงจุดนึงก็เริ่มอยากทำอย่างอื่นอีก มาสังเกตเบ้าหน้าตัวเองที่อยากทำเป็นอันดับต่อมาคือ ตา เพราะย้อนดูรูปเก่าๆของตัวเอง   เออจริงว่ะ ตาเราทำไมชั้นมันหลบข้างใน อยากแบ๊วๆบ้าง บางวันนอนมากตื่นมาตาตี่ไปเลย  (หาเหตุผลไปเรื่อย เพราะอยากทำ55) แบบว่าขี้เกียจกรีดอายไลน์เนอร์ ขี้เกียจใส่บิ๊กอาย แล้วก็แปะสติ๊กเกอร์ อะไรประมาณนั้นอ่ะ ทำมาหมดที่สำคัญอยู่ในกรุงเทพ เสียเวลาค่ะตื่นเช้ามาก็ต้องฟันฝ่ารถติด เม้าๆบ่นๆกับเพื่อน เพื่อนแนะนำ ชี้ทางค่ะ ... “แก แกทำตาซิ”   (โห๊ะ!!! ทำไมรู้ใจ) คุณพระ...เหมือนสวรรค์โปรด ทำตาเหรอ จะดีหรอ  หาข้อมูลซิคะรออะไรล่ะ...มุกเดิมก็หาข้อมูลจนได้ที่ ที่เราเชื่อใจและไว้ใจว่าที่นี่จะทำออกมาดี โดยการอ่านรีวิวของคนที่เคยทำ หาเคสที่ใกล้เคียงกับตาของเราค่ะ ตาเล็กๆ ไขมันชั้นตาเยอะ ตาหลบใน สรุปแล้วก็เลือกทำศัลยกรรมค่ะ เอาไขมันออก เปิดชั้นตาค่ะ



     หลังจากจัดฟันแล้ว โบท้อกช์แล้ว ทำตาแล้ว ก็ยังไม่พอใจในรูปหน้าเท่าไหร่ มันแบบอยากทำอีกนิด อีกนิดเดียว คิด คิดจะทุบหน้าหรอ หรือ เสริมดั้ง เหอะๆ ยังอ่ะ....ยังไม่กล้าขนาดนั้น ทำตานี่ก็ถือว่าเป็นการลงมีดหมอครั้งใหญ่แล้วนะ อีกอย่างพูดเลยกลัวเจ็บ กลัวมีด กลัวการผ่าตัด ครั้งนั้นผ่านมาได้ก็ถือว่าตัวเองเก่งล่ะ แล้วยังงัยคะ เพื่อนอีกแล้วค่ะ เม้ามอยกัน นางก็บอกอีกละค่ะว่า โลกนี้ ยุคนี้เค้าไม่ต้องศัลยกันละย่ะ แค่ “ร้อยไหม” ก็พอ ในขณะนั้นเทรนด์ “ร้อยไหม” กำลังมาเลย ร้อยไหมหน้า เพราะอายุขึ้นเลขสามแล้วหน้าก็เริ่มไม่กระชับ ก็เลยอยากร้อยไหมให้หน้าเรียวกระชับ ส่วนจมูกไม่ได้คิดว่าต้องทำหรือควรทำเพราะยังไม่ได้กังวลอะไร ที่สำคัญไม่รู้ว่านอกจากศัลยกรรมและการฉีดฟิลเลอร์ จะมีวิธีไหนอีกที่ทำให้จมูกโด่งได้ แต่พอคุยกับคุณหมอเรื่องร้อยไหมหน้า คุณหมอเค้าก็แนะนำว่า ถ้าร้อยไหมหน้าแล้วก็ร้อยเพิ่มให้สันจมูกโด่งขึ้นอีกนิดนึงไปด้วยเลยซิ จะทำให้หน้าดูมีมิติและก็คมขึ้น หื้ออ ตั้งใจแค่ร้อยไหมหน้า แล้วร้อยไหมจมูกให้โด่งมีด้วยรึนี่ ยังงัยคะ คุณหมอบอกว่าก็ไม่อยากศัลยกรรม และฟิลเลอร์ก็อันตรายสำหรับการฉีดจมูก เพราะฉะนั้นร้อยไหมเสริมจมูกนี่แหละเป็นทางเลือกค่ะ ก็เอิ่ม....เอาไงดี คิดอยู่แปบนึง ไหนๆก็ไหนๆละ จะรออะไร จัดซิคะ  จากหน้าบานๆ จมูกเอียงๆ ตอนนี้ปลื้ม แล้วก็มั่นใจเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ^__^







     นี่แหละค่ะทั้งหมดก็คือการเปลี่ยนแปลงของเราที่เราอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนๆนะคะ ที่เข้ามาอ่านได้บ้างนะคะ  ได้มากได้น้อยก็แล้วแต่เพื่อนๆจะเอาไปปรับเปลี่ยนใช้กับตัวเองนะคะ บางคนอาจจออกกำลังกาย แล้วเห็นผล ควบคุมอาหารแล้วเห็นผล ทำศัลยกรรมแล้วมั่นใจ ก็แล้วแต่ความสะดวกค่ะ เอาที่สบายใจของแต่ละคนนะคะ สำหรับเราก็เป็นอีกวิธีของเราที่อยากจะแชร์ให้เพื่อนๆ ได้รู้ว่ากว่าจะมั่นใจแบบนี้ ก็เจ็บมาเยอะ ทำก็เยอะค่ะ 555
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันมาจนจบนะคะ คำใดที่พิมผิดสะกดไม่ถูกขออภัยด้วยนะคร้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่