.
ฝนตกหนักสลับฟ้าคำรณเหมือนฟ้ากำลังคร่ำครวญหวนไห้ น้ำตาฟ้ากรีดผ่านม่านแห่งความมืดดำของรัตติกาลอันหนาวเหน็บเยือกเย็นแผ่ซ่านเข้าไปถึงส่วนละเอียดอ่อนบอบางของจิตใจ
เขามองผ่านที่ปัดน้ำฝนของรถที่กำลังกวาดไปมา ยังพอมองเห็นประตูรั้วซึ่งมีแสงไฟริบหรี่หม่นมัวอึมครึม เพียงตอนนี้ได้เพียงแค่มองเท่านั้น ไม่มีปัญญากระทั่งเดินไปกดกริ่งหน้าบ้าน นานเท่าไรกันแล้วที่เขาไม่ได้เดินเข้าไปในบ้านแห่งความทรงจำ
บ้านที่เขาเคยอยู่ เคยเป็นเจ้าของ หลายสิ่งหลายอย่างไม่เคยเลือนหาย โซฟาตัวใหญ่ในห้องนั่งเล่นชั้นล่าง ที่เขาเคยกางมือออก รับร่างน้อยๆ ที่โผเข้ามาหาพร้อมด้วยรอยยิ้มแสนบริสุทธิ์ไร้เดียงสา โลกนี้คงงดงามเหลือเกินในสายตาของชีวิตตัวน้อยๆ
“หนูมาแล้วค่ะ คุณพ่อ”
ใช่แล้ว นั่นเป็นคำพูดซ้ำซาก แต่ฟังไม่เคยรู้เบื่อ มีอะไรที่จะสวยงามมากไปกว่านัยน์ตาของเด็กน้อยผู้มองโลกด้วยความบริสุทธิ์สวยงาม ปราศจากการระแวงจากความชั่วร้าย ไม่เปรอะเปื้อนปัญหาซับซ้อนด่างพร้อยและไม่ถูกต้องของสังคม
“หนูรักคุณพ่อที่สุดเลย”
คำพูดแบบนี้ ไม่มีพ่อคนไหนจะเบื่อหน่าย
“รักเท่าไรจ๊ะ”
“เท่าฟ้า..”
มือน้อยๆกางออกไปสุดล้าเท่าที่จะกางได้ มือน้อยๆ กางออกไปครอบคลุมความรักความห่วงใยและความปรารถนาดีทั้งหลายทั้งมวล แววตาคู่นั้นแจ่มใสเหลือเกิน ฟ้าจะกว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหนก็ช่างเถิด แต่ไม่กว้างใหญ่เกินไปกว่ามือน้อยกับแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจคู่นั้นจะโอบกอดได้หมดสิ้นอย่างแน่นอน จะมีอะไรกว้างไกลมากไปกว่าวงแขนน้อยๆอีกเล่า...
“คุณครูดุไหม เพื่อนแกล้งลูกไหม”
“คุณครูใจดีค่ะคุณพ่อ เพื่อนเลี้ยงขนมหนูด้วย”
เขายิ้มให้กับคำตอบนั้น อุ้มร่างน่ารักขึ้นมา สิ่งที่อยู่ในอ้อมอกเป็นตัวแทนแห่งความรักอีกส่วนหนึ่งที่บางคนอาจไม่เคยพบหรือยังไม่มีโอกาสพบ หรือบางคนก็ก้าวเดินหลบเลี่ยงเส้นทางสายนี้ไปไม่ว่าจะเห็นผลใดก็ตาม ชีวิตหนึ่งในอ้อมกอดสามารถทำให้เขาสามารถยินยอมแลกกันชีวิตของตนเอง ถ้าสามารถทดแทนได้
“พ่อรักหนูที่สุดเลย”
“หนูก็รักพ่อที่หนึ่งเลย”
ที่ปัดน้ำฝนยังคงทำงานต่อไป เสียงดังเป็นจังหวะเหมือนฝืดเสียเต็มประดาราวกับชีวิตในช่วงนี้ สายฝนกระหน่ำไม่ยอมหยุดแม้ม่านแห่งรัตติกาลจะโรยตัวมาปกคลุม เขาทำได้เพียงมองไปยังประตูบ้านหลังนั้น ซบหน้ากับฝ่ามือกลั้นเสียงสะอื้น
“คุณยายใจร้าย ทำไมไม่ให้คุณพ่อหนูเข้ามา”
เขาจดจำคำพูดที่ฟังแล้วแสนเจ็บปวดประโยคนี้ไม่เคยลืมเลือน หลายครั้งกับความพยายามติดต่อลูกสาว ลูกตัวน้อยๆผู้ดิ้นรนอยู่ในการควบคุมของคุณยาย และผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่มีใบหน้าเย็นชาเหลือเกิน เย็นชาจนแทบไม่น่าเชื่อว่านั่นคือคู่ชีวิตที่เคยจูงมือร่วมทางเดินแห่งชีวิตกันมาอย่างน้อยช่วงหนึ่ง ผ่านวันเวลาแสนหวานมาช่วงหนึ่ง แม้บัดนี้จะกลายเป็นเพียงความทรงจำก็ตาม
น้ำตาที่ปะทุระอุคุกรุ่นมาจากความรู้สึกภายใน ตุ๊กตาหมีตัวสวยที่ซื้อมากะว่าจะฝากลูกสาวสุดที่รัก ตอนนี้ทำได้แค่นอนนิ่งอยู่เบาะรถข้างๆ ประตูบานนั้นแข็งแรงเกินแรงกายแรงใจไปจะฝ่าฟันเข้าไปได้ แต่สิ่งที่แย่ไปกว่าประตูหน้าบ้าน คือบุคคลที่อยู่ในบ้านต่างหาก ใบหน้าท่าทางเย็นชาราวรูปสลักจากน้ำแข็งดูไร้น้ำใจสุดประมาณ
“ผมขอพบลูกสักสองสามนาที”
เขาจำได้ถึงความพยายามครั้งสุดท้าย ความพยายามท่ามกลางสายฝน ความหนาวเย็นของน้ำตาฟ้าและม่านแห่งความมืดไม่มีผลอะไรต่อความหวังในการที่ขอพบลูกสักครั้ง เพียงฝากตุ๊กตาที่ลูกบ่นอยากได้มานานแล้วให้กับมือน้อยๆ ขอก้มตัวลงกอดลูกสักครั้ง บอกว่าคุณพ่อรักลูก… พูดจาปลอบใจลูกสักสองสามประโยคเท่านั้น บอกว่าคูณพ่อคนนี้จากไปแต่กาย คุณพ่องานยุ่ง ยังไม่มีเวลากลับบ้าน… แต่ใจยังอยู่กับลูกเสมอ แค่นั้น..
“กลับไปซะ…เลิกกันแล้วก็แล้วกันไป จะมายุ่งอะไรอีก”
“ลูกผมนะครับ” เสียงนั้นสั่นเครือและกลั่นออกมาจากความรู้สึกที่แสนเจ็บปวด
“นั่นก็หลานฉันเหมือนกัน”
เสียงเย็นชาและไร้น้ำใจเหลือเกิน บางทีอาจเย็นชาพอๆกับนัยน์ตาของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังคุณยาย เย็นชาจนกลายเป็นไร้น้ำใจ ที่รัก... เธอจะทำร้ายและทำลายความเป็นพ่อลูกกันขนาดนี้หรือ เป็นผู้ใหญ่ทำไมต้องถือเอาความโกรธ เกลียด และทิฐิของตัวเองเป็นที่ตั้งกางกั้นความเป็นพ่อกับลูกด้วย
คำพูดของคุณยายซึ่งด้านหลังคือนัยน์ตาแห่งความเย็นชาจนน่ากลัว เป็นคำตอบชัดเจนเหลือเกิน
“ผมเพียงขอพบลูกเท่านั้น”
“เธอหลับไปแล้ว”
“ไม่จริง ผมยังเห็นเธอเมื่อครู่นี้เอง”
ประโยคสุดท้ายคือประตูที่ปิดเข้าหากันอย่างแรง …ปิดความหวังและความฝันจนสิ้นเชิง จนต้องเดินไหล่งองุ้มแบบคนไร้เรี่ยวแรงและสิ้นหวังกลับมายังรถท่ามกลางสายฝนกระหน่ำซ้ำเติมจนบดบังกลืนหายไปในความมืดมน
คุณพ่อคะ หนูโตขึ้น ถ้าหนูแต่งงาน พ่อจะให้อะไรเป็นของขวัญหนูคะ
หนูอยากได้อะไรล่ะจ๊ะ
หนูไม่อยากได้อะไรหรอกคะ ขอเป็นตุ๊กตาหมีสวยๆ ที่ใส่ชุดขาวๆแบบเจ้าสาวน่ารักๆนะคะ
ตุ๊กตาแบบนี้มันจะมีที่ไหนกัน
ไม่รู้ล่ะ หนูว่าคุณพ่อต้องหาให้หนูจนได้ เพราะคุณพ่อรักหนูใช่ไหมคะ
ฮื่อ..เราเก็บเรื่องนี้เป็นความลับนะ
ทำไมคะ
ก็..เพื่อความตื่นเต้นไง
คุณพ่อหายไปจากชีวิตฉันนานเหลือเกิน
ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ ที่จำได้คือคุณแม่พร่ำบ่นราวแม่มดร่ายเวทเหนือกระทะซึ่งมีน้ำเดือดพล่านทุกช่วงเย็นด้วยท่าทางฉุนเฉียว คุณพ่อที่น่าสงสารได้แต่ถือแก้วเหล้าหลบไปนั่งคนเดียวเงียบๆหลังบ้าน ใต้ต้นมะม่วงที่คุณพ่อเอาแคร่มาวางไว้ตัวหนึ่งและบางคืนคุณพ่อก็หลับบนนั้น หลายครั้งที่คุณพ่อดูอารมณ์ไม่ดี และคุณแม่ก็ดูจะไม่น้อยหน้าเลยแม้แต่น้อยในเรื่องอารมณ์
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ กับความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง คงไม่มีใครบ้างได้ว่าใครถูกใครผิด เพียงเห็นสีหน้าเย็นชาเกรี้ยวกราดของแม่ และสีหน้าราบเรียบแต่แววตาเหมือนเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของคุณพ่อ โลกทั้งโลกก็หม่นมัวมืดดำ มันเป็นสิ่งที่แย่จริงๆ ครอบครัวเราเหมือนมีลางร้ายอัปมงคลปกคลุมอยู่ หมอกเมฆแห่งความน่ากลัวครอบงำครอบครัวของฉันอย่างไม่มีทางหลบเลี่ยง พ่อกับแม่พูดกันน้อยลงทุกวัน แต่ใช้กิริยาอาการกระทบกระแทก-ดันใส่กันแบบสงครามจิตวิทยา ช่วงเย็นคุณแม่ทำครัวด้วยเสียงโครมครามปานจะถล่มทลายครัวให้พังพินาศ แต่ฉันก็รู้ว่าคำก่นพ่นพร่ำด่านั้นฝากไปยังพ่ออย่างไม่ต้องสงสัย สองคนอยู่บ้านเดียวกัน แต่ราวกับมีกำแพงหนาชั่วร้ายอันน่าสะพรึงกลัวและน่าชังมากั้นกาง
คุณพ่อเริ่มไม่กลับบ้าน จากวันเป็นสองวัน และมากขึ้นตามกาลเวลา บางคืนคุณพ่อกลับดึกมาก ฉันรอจนหลับไป เลยไม่ได้มีโอกาสเจอหน้าท่านมากเท่าที่ควรจะเป็น
ฉันยังจำวันสุดท้ายที่เจอคุณพ่อได้ดี ไม่เคยลืมเลือนแม้กระทั่งทุกวันนี้
“พ่อจะไปทำงาน คงหายไปหลายวัน”
พ่อบอกกับฉัน ในขณะอุ้มฉันกอดแน่นและนานอย่างที่ไม่ค่อยจะทำแบบนี้มาก่อน ฟังแล้วใจหายชอบกล คุณพ่อเหมือนจะน้ำตาคลอ และเสียงก็สั่นเครือเหมือนคนจะร้องไห้ อะไรบางอย่างทำให้ฉันรู้สึกว่านี่เป็นอ้อมกอดอันอบอุ่นครั้งสุดท้ายของคุณพ่อ หัวใจของฉันตกวูบลงในหล่มปลักอันน่ากลัว
“พ่อรักหนูที่สุดในโลกเลยรู้ไหม..”
พ่อพูดอย่างนี้จริงๆ และฉันก็เชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย คุณพ่อเป็นคนพูดน้อยแต่ทุกคำพูดเป็นสิ่งที่ฉันเชื่อและให้ความสำคัญกับคำพูดนั้นอย่างไม่กังขา
“คุณพ่อรักหนู ทำไมต้องหายไปหลายวัน” ฉันสงสัยอย่างนี้จริงๆในตอนนั้น และยิ่งทำให้คุณพ่อดูแย่ลงไปแบบไม่ตั้งใจ ใช่ …ฉัน เห็นคุณพ่อน้ำตาไหล แต่ฉันเด็กเกินไปที่จะเข้าใจถึงสภาพจิตใจอันเต็มไปด้วยความรวดร้าวของผู้ใหญ่ หรือไม่ก็ปัญหาของพวกผู้ใหญ่มันดูเกินขอบเขตของความคิดของเด็กๆ
“พ่อจะกลับมา” เสียงของท่านตอนนั้นสั่นสะท้านเต็มไปด้วยความรู้สึก ฟังดูน่าใจหาย
“คูณพ่อสัญญาแล้วนะคะ”
“พ่อสัญญา ก็พ่อรักลูกนี่จ๊ะ”
“เกี่ยวก้อยกันค่ะ”
หลังจากนั้น คุณพ่อก็หายไปนานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คุณแม่เริ่มพูดถึงคุณพ่อ...แต่ฟังแล้วไม่ใช่คุณพ่อคุณเดิมอย่างแน่นอน ใครคนนั้นเป็นคนแปลกหน้าที่คุณแม่พยายามให้ฉันเรียกว่าพ่อ แต่ไม่มีวันเสียล่ะ...ฉันมีพ่อเพียงคนเดียว... มีครั้งหนึ่งในคืนที่ฝนตกหนัก ฉันรู้สึกว่าคุณพ่ออยู่หน้าบ้าน ฉันจำเสียงรถของท่านได้ แต่คุณแม่กับคุณยายลากตัวฉันเข้าห้องนอน ด้วยสีหน้าท่าทางน่ากลัวเหลือเกิน คุณพ่อของฉันทำอะไรผิดมากมายแค่ไหนกันนะ ถึงทำให้ฉันต้องแอบมองจากหน้าต่างเพียงเพื่อเห็นไฟท้ายรถของคุณพ่อลับหายไปกับสายฝนและความมืด ลางสังหรณ์บอกว่าฉันจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
คืนนั้นฉันร้องไห้จนกระทั่งหลับไป ในฝันไม่มีแม้แต่เงาของคุณพ่อ….แต่ฉันไม่เคยลืมสัญญาของท่านเลย คุณพ่อไม่เคยผิดสัญญา…
ฉันเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ผ่านกระแสชีวิตที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายหลายหลาก ผ่านรั้วโรงเรียน ผ่านรั้วสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง และกำลังจะผ่านวงจรชีวิตที่สำคัญคือการมีครอบครัว ฉันคิดว่าคู่ครองคือคนที่เราจะอภัยให้กันและกันได้ทุกเรื่องไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม แต่จะเป็นจริงแค่ไหนก็คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ฉันไม่เคยได้ข่าวของคุณพ่ออีกเลย ท่านหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน เกิดอะไรขึ้นกันแน่...ภาพที่จดจำได้ดีซึ่งเสมือนเป็นตัวแทนของท่านคือสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดไม่มีความสุขในชีวิตครอบครัวของท่านนั่นเอง
งานแต่งงานจัดขึ้นแบบหรูหรา ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของคุณยายและคุณแม่ พูดถึงคุณแม่ท่านมีความสุขตามประสาท่าน เพราะได้แต่งงานกับนายทหารที่ฟังว่ารู้จักกันมานานก่อนหน้าที่จะแต่งงานกับคุณพ่อเสียอีก แต่ช่างเถอะ... มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แต่อย่างไรคุณพ่อยังอยู่ในความทรงจำของฉันเสมอ จดจำวันที่พ่อลูกคู่หนึ่งเดินไปโรงเรียนอนุบาลด้วยกัน มือน้อยๆของฉันสั่นไหวกับโรงเรียนและเพื่อนใหม่ ตอนนั้นมือแข็งแรงของคุณพ่อเป็นสิ่งที่มั่นคงเหลือเกินและให้กำลังใจฉันได้อย่างดีกับสังคมใหม่ฉัน จดจำเรื่องราวของทุกอย่างคุณพ่อราวกับภาพพิมพ์ที่ประทับลงไปในผืนผ้าแห่งความทรงจำ
......
สัญญาของพ่อ
ฝนตกหนักสลับฟ้าคำรณเหมือนฟ้ากำลังคร่ำครวญหวนไห้ น้ำตาฟ้ากรีดผ่านม่านแห่งความมืดดำของรัตติกาลอันหนาวเหน็บเยือกเย็นแผ่ซ่านเข้าไปถึงส่วนละเอียดอ่อนบอบางของจิตใจ
เขามองผ่านที่ปัดน้ำฝนของรถที่กำลังกวาดไปมา ยังพอมองเห็นประตูรั้วซึ่งมีแสงไฟริบหรี่หม่นมัวอึมครึม เพียงตอนนี้ได้เพียงแค่มองเท่านั้น ไม่มีปัญญากระทั่งเดินไปกดกริ่งหน้าบ้าน นานเท่าไรกันแล้วที่เขาไม่ได้เดินเข้าไปในบ้านแห่งความทรงจำ
บ้านที่เขาเคยอยู่ เคยเป็นเจ้าของ หลายสิ่งหลายอย่างไม่เคยเลือนหาย โซฟาตัวใหญ่ในห้องนั่งเล่นชั้นล่าง ที่เขาเคยกางมือออก รับร่างน้อยๆ ที่โผเข้ามาหาพร้อมด้วยรอยยิ้มแสนบริสุทธิ์ไร้เดียงสา โลกนี้คงงดงามเหลือเกินในสายตาของชีวิตตัวน้อยๆ
“หนูมาแล้วค่ะ คุณพ่อ”
ใช่แล้ว นั่นเป็นคำพูดซ้ำซาก แต่ฟังไม่เคยรู้เบื่อ มีอะไรที่จะสวยงามมากไปกว่านัยน์ตาของเด็กน้อยผู้มองโลกด้วยความบริสุทธิ์สวยงาม ปราศจากการระแวงจากความชั่วร้าย ไม่เปรอะเปื้อนปัญหาซับซ้อนด่างพร้อยและไม่ถูกต้องของสังคม
“หนูรักคุณพ่อที่สุดเลย”
คำพูดแบบนี้ ไม่มีพ่อคนไหนจะเบื่อหน่าย
“รักเท่าไรจ๊ะ”
“เท่าฟ้า..”
มือน้อยๆกางออกไปสุดล้าเท่าที่จะกางได้ มือน้อยๆ กางออกไปครอบคลุมความรักความห่วงใยและความปรารถนาดีทั้งหลายทั้งมวล แววตาคู่นั้นแจ่มใสเหลือเกิน ฟ้าจะกว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหนก็ช่างเถิด แต่ไม่กว้างใหญ่เกินไปกว่ามือน้อยกับแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจคู่นั้นจะโอบกอดได้หมดสิ้นอย่างแน่นอน จะมีอะไรกว้างไกลมากไปกว่าวงแขนน้อยๆอีกเล่า...
“คุณครูดุไหม เพื่อนแกล้งลูกไหม”
“คุณครูใจดีค่ะคุณพ่อ เพื่อนเลี้ยงขนมหนูด้วย”
เขายิ้มให้กับคำตอบนั้น อุ้มร่างน่ารักขึ้นมา สิ่งที่อยู่ในอ้อมอกเป็นตัวแทนแห่งความรักอีกส่วนหนึ่งที่บางคนอาจไม่เคยพบหรือยังไม่มีโอกาสพบ หรือบางคนก็ก้าวเดินหลบเลี่ยงเส้นทางสายนี้ไปไม่ว่าจะเห็นผลใดก็ตาม ชีวิตหนึ่งในอ้อมกอดสามารถทำให้เขาสามารถยินยอมแลกกันชีวิตของตนเอง ถ้าสามารถทดแทนได้
“พ่อรักหนูที่สุดเลย”
“หนูก็รักพ่อที่หนึ่งเลย”
ที่ปัดน้ำฝนยังคงทำงานต่อไป เสียงดังเป็นจังหวะเหมือนฝืดเสียเต็มประดาราวกับชีวิตในช่วงนี้ สายฝนกระหน่ำไม่ยอมหยุดแม้ม่านแห่งรัตติกาลจะโรยตัวมาปกคลุม เขาทำได้เพียงมองไปยังประตูบ้านหลังนั้น ซบหน้ากับฝ่ามือกลั้นเสียงสะอื้น
“คุณยายใจร้าย ทำไมไม่ให้คุณพ่อหนูเข้ามา”
เขาจดจำคำพูดที่ฟังแล้วแสนเจ็บปวดประโยคนี้ไม่เคยลืมเลือน หลายครั้งกับความพยายามติดต่อลูกสาว ลูกตัวน้อยๆผู้ดิ้นรนอยู่ในการควบคุมของคุณยาย และผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่มีใบหน้าเย็นชาเหลือเกิน เย็นชาจนแทบไม่น่าเชื่อว่านั่นคือคู่ชีวิตที่เคยจูงมือร่วมทางเดินแห่งชีวิตกันมาอย่างน้อยช่วงหนึ่ง ผ่านวันเวลาแสนหวานมาช่วงหนึ่ง แม้บัดนี้จะกลายเป็นเพียงความทรงจำก็ตาม
น้ำตาที่ปะทุระอุคุกรุ่นมาจากความรู้สึกภายใน ตุ๊กตาหมีตัวสวยที่ซื้อมากะว่าจะฝากลูกสาวสุดที่รัก ตอนนี้ทำได้แค่นอนนิ่งอยู่เบาะรถข้างๆ ประตูบานนั้นแข็งแรงเกินแรงกายแรงใจไปจะฝ่าฟันเข้าไปได้ แต่สิ่งที่แย่ไปกว่าประตูหน้าบ้าน คือบุคคลที่อยู่ในบ้านต่างหาก ใบหน้าท่าทางเย็นชาราวรูปสลักจากน้ำแข็งดูไร้น้ำใจสุดประมาณ
“ผมขอพบลูกสักสองสามนาที”
เขาจำได้ถึงความพยายามครั้งสุดท้าย ความพยายามท่ามกลางสายฝน ความหนาวเย็นของน้ำตาฟ้าและม่านแห่งความมืดไม่มีผลอะไรต่อความหวังในการที่ขอพบลูกสักครั้ง เพียงฝากตุ๊กตาที่ลูกบ่นอยากได้มานานแล้วให้กับมือน้อยๆ ขอก้มตัวลงกอดลูกสักครั้ง บอกว่าคุณพ่อรักลูก… พูดจาปลอบใจลูกสักสองสามประโยคเท่านั้น บอกว่าคูณพ่อคนนี้จากไปแต่กาย คุณพ่องานยุ่ง ยังไม่มีเวลากลับบ้าน… แต่ใจยังอยู่กับลูกเสมอ แค่นั้น..
“กลับไปซะ…เลิกกันแล้วก็แล้วกันไป จะมายุ่งอะไรอีก”
“ลูกผมนะครับ” เสียงนั้นสั่นเครือและกลั่นออกมาจากความรู้สึกที่แสนเจ็บปวด
“นั่นก็หลานฉันเหมือนกัน”
เสียงเย็นชาและไร้น้ำใจเหลือเกิน บางทีอาจเย็นชาพอๆกับนัยน์ตาของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังคุณยาย เย็นชาจนกลายเป็นไร้น้ำใจ ที่รัก... เธอจะทำร้ายและทำลายความเป็นพ่อลูกกันขนาดนี้หรือ เป็นผู้ใหญ่ทำไมต้องถือเอาความโกรธ เกลียด และทิฐิของตัวเองเป็นที่ตั้งกางกั้นความเป็นพ่อกับลูกด้วย
คำพูดของคุณยายซึ่งด้านหลังคือนัยน์ตาแห่งความเย็นชาจนน่ากลัว เป็นคำตอบชัดเจนเหลือเกิน
“ผมเพียงขอพบลูกเท่านั้น”
“เธอหลับไปแล้ว”
“ไม่จริง ผมยังเห็นเธอเมื่อครู่นี้เอง”
ประโยคสุดท้ายคือประตูที่ปิดเข้าหากันอย่างแรง …ปิดความหวังและความฝันจนสิ้นเชิง จนต้องเดินไหล่งองุ้มแบบคนไร้เรี่ยวแรงและสิ้นหวังกลับมายังรถท่ามกลางสายฝนกระหน่ำซ้ำเติมจนบดบังกลืนหายไปในความมืดมน
คุณพ่อคะ หนูโตขึ้น ถ้าหนูแต่งงาน พ่อจะให้อะไรเป็นของขวัญหนูคะ
หนูอยากได้อะไรล่ะจ๊ะ
หนูไม่อยากได้อะไรหรอกคะ ขอเป็นตุ๊กตาหมีสวยๆ ที่ใส่ชุดขาวๆแบบเจ้าสาวน่ารักๆนะคะ
ตุ๊กตาแบบนี้มันจะมีที่ไหนกัน
ไม่รู้ล่ะ หนูว่าคุณพ่อต้องหาให้หนูจนได้ เพราะคุณพ่อรักหนูใช่ไหมคะ
ฮื่อ..เราเก็บเรื่องนี้เป็นความลับนะ
ทำไมคะ
ก็..เพื่อความตื่นเต้นไง
คุณพ่อหายไปจากชีวิตฉันนานเหลือเกิน
ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ ที่จำได้คือคุณแม่พร่ำบ่นราวแม่มดร่ายเวทเหนือกระทะซึ่งมีน้ำเดือดพล่านทุกช่วงเย็นด้วยท่าทางฉุนเฉียว คุณพ่อที่น่าสงสารได้แต่ถือแก้วเหล้าหลบไปนั่งคนเดียวเงียบๆหลังบ้าน ใต้ต้นมะม่วงที่คุณพ่อเอาแคร่มาวางไว้ตัวหนึ่งและบางคืนคุณพ่อก็หลับบนนั้น หลายครั้งที่คุณพ่อดูอารมณ์ไม่ดี และคุณแม่ก็ดูจะไม่น้อยหน้าเลยแม้แต่น้อยในเรื่องอารมณ์
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ กับความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง คงไม่มีใครบ้างได้ว่าใครถูกใครผิด เพียงเห็นสีหน้าเย็นชาเกรี้ยวกราดของแม่ และสีหน้าราบเรียบแต่แววตาเหมือนเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของคุณพ่อ โลกทั้งโลกก็หม่นมัวมืดดำ มันเป็นสิ่งที่แย่จริงๆ ครอบครัวเราเหมือนมีลางร้ายอัปมงคลปกคลุมอยู่ หมอกเมฆแห่งความน่ากลัวครอบงำครอบครัวของฉันอย่างไม่มีทางหลบเลี่ยง พ่อกับแม่พูดกันน้อยลงทุกวัน แต่ใช้กิริยาอาการกระทบกระแทก-ดันใส่กันแบบสงครามจิตวิทยา ช่วงเย็นคุณแม่ทำครัวด้วยเสียงโครมครามปานจะถล่มทลายครัวให้พังพินาศ แต่ฉันก็รู้ว่าคำก่นพ่นพร่ำด่านั้นฝากไปยังพ่ออย่างไม่ต้องสงสัย สองคนอยู่บ้านเดียวกัน แต่ราวกับมีกำแพงหนาชั่วร้ายอันน่าสะพรึงกลัวและน่าชังมากั้นกาง
คุณพ่อเริ่มไม่กลับบ้าน จากวันเป็นสองวัน และมากขึ้นตามกาลเวลา บางคืนคุณพ่อกลับดึกมาก ฉันรอจนหลับไป เลยไม่ได้มีโอกาสเจอหน้าท่านมากเท่าที่ควรจะเป็น
ฉันยังจำวันสุดท้ายที่เจอคุณพ่อได้ดี ไม่เคยลืมเลือนแม้กระทั่งทุกวันนี้
“พ่อจะไปทำงาน คงหายไปหลายวัน”
พ่อบอกกับฉัน ในขณะอุ้มฉันกอดแน่นและนานอย่างที่ไม่ค่อยจะทำแบบนี้มาก่อน ฟังแล้วใจหายชอบกล คุณพ่อเหมือนจะน้ำตาคลอ และเสียงก็สั่นเครือเหมือนคนจะร้องไห้ อะไรบางอย่างทำให้ฉันรู้สึกว่านี่เป็นอ้อมกอดอันอบอุ่นครั้งสุดท้ายของคุณพ่อ หัวใจของฉันตกวูบลงในหล่มปลักอันน่ากลัว
“พ่อรักหนูที่สุดในโลกเลยรู้ไหม..”
พ่อพูดอย่างนี้จริงๆ และฉันก็เชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย คุณพ่อเป็นคนพูดน้อยแต่ทุกคำพูดเป็นสิ่งที่ฉันเชื่อและให้ความสำคัญกับคำพูดนั้นอย่างไม่กังขา
“คุณพ่อรักหนู ทำไมต้องหายไปหลายวัน” ฉันสงสัยอย่างนี้จริงๆในตอนนั้น และยิ่งทำให้คุณพ่อดูแย่ลงไปแบบไม่ตั้งใจ ใช่ …ฉัน เห็นคุณพ่อน้ำตาไหล แต่ฉันเด็กเกินไปที่จะเข้าใจถึงสภาพจิตใจอันเต็มไปด้วยความรวดร้าวของผู้ใหญ่ หรือไม่ก็ปัญหาของพวกผู้ใหญ่มันดูเกินขอบเขตของความคิดของเด็กๆ
“พ่อจะกลับมา” เสียงของท่านตอนนั้นสั่นสะท้านเต็มไปด้วยความรู้สึก ฟังดูน่าใจหาย
“คูณพ่อสัญญาแล้วนะคะ”
“พ่อสัญญา ก็พ่อรักลูกนี่จ๊ะ”
“เกี่ยวก้อยกันค่ะ”
หลังจากนั้น คุณพ่อก็หายไปนานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คุณแม่เริ่มพูดถึงคุณพ่อ...แต่ฟังแล้วไม่ใช่คุณพ่อคุณเดิมอย่างแน่นอน ใครคนนั้นเป็นคนแปลกหน้าที่คุณแม่พยายามให้ฉันเรียกว่าพ่อ แต่ไม่มีวันเสียล่ะ...ฉันมีพ่อเพียงคนเดียว... มีครั้งหนึ่งในคืนที่ฝนตกหนัก ฉันรู้สึกว่าคุณพ่ออยู่หน้าบ้าน ฉันจำเสียงรถของท่านได้ แต่คุณแม่กับคุณยายลากตัวฉันเข้าห้องนอน ด้วยสีหน้าท่าทางน่ากลัวเหลือเกิน คุณพ่อของฉันทำอะไรผิดมากมายแค่ไหนกันนะ ถึงทำให้ฉันต้องแอบมองจากหน้าต่างเพียงเพื่อเห็นไฟท้ายรถของคุณพ่อลับหายไปกับสายฝนและความมืด ลางสังหรณ์บอกว่าฉันจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
คืนนั้นฉันร้องไห้จนกระทั่งหลับไป ในฝันไม่มีแม้แต่เงาของคุณพ่อ….แต่ฉันไม่เคยลืมสัญญาของท่านเลย คุณพ่อไม่เคยผิดสัญญา…
ฉันเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ผ่านกระแสชีวิตที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายหลายหลาก ผ่านรั้วโรงเรียน ผ่านรั้วสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง และกำลังจะผ่านวงจรชีวิตที่สำคัญคือการมีครอบครัว ฉันคิดว่าคู่ครองคือคนที่เราจะอภัยให้กันและกันได้ทุกเรื่องไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม แต่จะเป็นจริงแค่ไหนก็คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ฉันไม่เคยได้ข่าวของคุณพ่ออีกเลย ท่านหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน เกิดอะไรขึ้นกันแน่...ภาพที่จดจำได้ดีซึ่งเสมือนเป็นตัวแทนของท่านคือสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดไม่มีความสุขในชีวิตครอบครัวของท่านนั่นเอง
งานแต่งงานจัดขึ้นแบบหรูหรา ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของคุณยายและคุณแม่ พูดถึงคุณแม่ท่านมีความสุขตามประสาท่าน เพราะได้แต่งงานกับนายทหารที่ฟังว่ารู้จักกันมานานก่อนหน้าที่จะแต่งงานกับคุณพ่อเสียอีก แต่ช่างเถอะ... มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แต่อย่างไรคุณพ่อยังอยู่ในความทรงจำของฉันเสมอ จดจำวันที่พ่อลูกคู่หนึ่งเดินไปโรงเรียนอนุบาลด้วยกัน มือน้อยๆของฉันสั่นไหวกับโรงเรียนและเพื่อนใหม่ ตอนนั้นมือแข็งแรงของคุณพ่อเป็นสิ่งที่มั่นคงเหลือเกินและให้กำลังใจฉันได้อย่างดีกับสังคมใหม่ฉัน จดจำเรื่องราวของทุกอย่างคุณพ่อราวกับภาพพิมพ์ที่ประทับลงไปในผืนผ้าแห่งความทรงจำ
......