อัญเดียรถีย์ บิดเบือนพระธรรมคำสอน ด้วยอคติว่า พระภิกษุดื่มสุรา ห้ามนิพพาน

ความคิดเห็นที่ 9-1
การละเมิดสิกขาบทก็ห้ามนิพพานได้ ถ้าพระรูปนั้นไม่สำนึก ไม่ละอาย ทำผิดอยู่เรื่อยไป ถึงแม้จะไม่ใช่โทษหนัก แต่ก็เป็นการเพิ่มพูนกิเลส
ถ้าชาวบ้านเขาไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ พระจะทำผิด ก็ช่างพระ ป่านนี้พระรูปนั้นก็คงยังนั่งดื่มเหล้าอยู่ แล้วจะถึงนิพพานได้หรือถ้ายังนั่งดื่มเหล้าอยู่

ลองถามตัวเองดูว่าระหว่างอย่าว่าพระทำผิดนะ เดี๋ยวจะบาป เดี๋ยวจะตกนรก ปล่อยพระไปลงนรก แต่เราอย่าลงนรกเป็นพอ กับช่วยกันสอดส่อง ช่วยกันเตือน ถ้าพระทำผิดพระวินัย ท่านจะได้สำนึกปรับปรุงตนเอง ไม่ละเมิดพระวินัย ไม่ไปลงนรก แบบไหนที่เป็นประโยชน์แก่ตัวพระที่กระทำผิด และพระพุทธศาสนา อย่ามัวห่วงแต่หน้าตาวัดที่ตัวเองนับถือ จนลืมปกป้องพระพุทธศาสนา

อีกอย่างนะคะใครบ้างที่ติเตียนพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์
เขาก็เอาข่าวพระที่ประพฤติไม่ดีมาให้ดูเป็นตัวอย่าง ตรงไหนไม่จริงไม่ถูกคุณก็แย้งสิ คนที่ทำผิดใช่พระในโครงการหรือเปล่า เมาสุราจริงหรือเปล่า ล่วงพระวินัยจริงหรือเปล่า แค่นั้นเอง  อย่าไปตู่เรียกคนนั้นคนนี้เป็นอัญญเดียรถีย์ติเตียนพระรัตนตรัย เพราะเขายังปกป้องพุทธศาสนามากกว่าคุณเสียอีก
ตอบกลับ
0 2  
Natzilla  
19 ชั่วโมงที่แล้ว
สมาชิกหมายเลข 2992332 ขำกลิ้ง, Bitter Coffee ถูกใจ


ความคิดเห็นที่ 9-3
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒   หน้าที่ 299                              
อรรถกถาอลคัททูปมสูตร
            
ชื่อ. ว่าอันตรายิกธรรม  เพราะทำอันตรายต่อสวรรค์และนิพพาน

     อันตรายิกธรรมเหล่านั้นมี  ๕  อย่าง   คือ   กรรม  กิเลส  วิบาก   อริยุปวาท  และอาณาวีตกกมะ.   ในอันตรายิกธรรมเหล่านั้น    อนันตริยกรรม  ๕  ชื่อว่า  กัมมน-ตรายิกธรรม.  ภิกษุณีทูสกกรรมก็เหมือนกัน.   แต่ภิกษุณีทูสกกรรมนั่น  กระทำอันตรายต่อพระนิพพานอย่างเดียว  หากระทำอันตรายต่อสวรรค์ไม่.  ธรรมคือ นิยตมิจฉาทิฏฐิ  ชื่อว่า  อันตรายิกธรรมคือกิเลส.  ปฏิสนธิธรรมของบัณเฑาะก์      สัตว์เดรัจฉาน  และอุภโตพยัญชนก  ชื่อว่า อันตรายิกธรรม   คือ  วิบาก.  ธรรม  คือ  การเข้าไปว่าร้ายพระอริยเจ้า  ชื่อว่า อันตรายิกรรม  คือ   อุปวาทะ.  แต่อุปวาทันตรายิกธรรมเหล่านั้น    ย่อมกระทำอันตรายตลอดเวลาที่ยังไม่ให้พระอริยเจ้าทั้งหลายอดโทษ  เบื้องหน้าแต่นั้นให้พระอริยเจ้าอดโทษแล้ว  หากระทำอันตรายไม่.  อาบัติ ๗ กองที่ภิกษุจงใจล่วงละเมิดแล้ว  ชื่อว่า  อันตรายิกธรรม  คือ   อาณาวีติกกมะ.  แม้อาณาวีติกกมันตรายิกธรรมเหล่านั้น  ย่อมกระทำอันตรายตลอดเวลาที่ภิกษุต้องอาบัติแล้วยังปฏิญญาตนว่าเป็นภิกษุอยู่ก็ดี ไม่อยู่ปริวาสกรรมก็ดี  ไม่แสดงอาบัติก็ดี เบื้องหน้าแต่นั้น  หากระทำอันตรายไม่   ในเรื่องอันตรายิกธรรมนั้น ภิกษุนี้เป็นพหุสูต เป็นพระธรรมกถึก ย่อมรู้อันตรายิกธรรมที่เหลือ แต่เพราะคนไม่ฉลาดในพระวินัย จึงไม่รู้อันตรายิกธรรม คือการล่วงละเมิดพระบัญญัติ

[วิเคราะห์ปาจิตตีย์]
     เนื้อความคาถาที่  ๖ พึงทราบดังนี้:-
     บาทคาถาว่า   ปาเตติ  กุสล  ธมฺม   มีความว่า   ความละเมิดนั้น  ยังกุศลจิตกล่าวคือกุศลธรรม  ของบุคคลผู้แกล้งต้องให้ตกไป  เพราะเหตุนั้น  ความละเมิดนั้น  ชื่อว่ายังจิตให้ตกไป   เพราะฉะนั้น  ความละเมิดนั้น  ชื่อว่า ปาจิตติยะ.              
     ก็ปาจิตติยะ ย่อมยังจิตให้ตกไป, ปาจิตติยะนั้น  ย่อมผิดต่ออริยมรรค และย่อมเป็นเหตุแห่งความลุ่มหลงแห่งจิต.   เพราะเหตุนั้น    คำว่า   ผิดต่อ อริยมรรค   และคำว่า  เป็นเหตุแห่งความลุ่มหลงแห่งจิต   ท่านจึงกล่าวแล้ว

จะพิมพ์อะไรระวังไว้มั่งนะคะ อย่าริแต่จะว่าคนอื่น พระธรรมวินัยเป็นสิ่งที่พระภิกษุต้องศึกษาและประพฤติปฏิบัติตามด้วยความเคารพ ไม่ใช่เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยแล้วจะล่วงพระวินัยได้โดยไม่ละอาย คุณไม่ใช่คนที่รับโทษ แต่เป็นภิกษุที่ล่วงพระวินัยแล้วไม่ปลงอาบัติ ไม่สำนึก ไม่ละอาย ต่างหาก ที่ต้องรับโทษแห่งการกระทำนั้น
ตอบกลับ
0 1  
Natzilla  
13 ชั่วโมงที่แล้ว
Bitter Coffee ถูกใจ

http://pantip.com/topic/35484103

























เรื่องนึ้ เกิดขึ้นเพราะ อคติล้วนๆ เลยนะครับ

กล่าวคือ อะไรก็ตาม ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ สำนักวัดพระธรรมกาย (แม้จะเพียงเศษเสี้ยวเล็กน้อย สักแค่ไหน)
มิจฉาทิฐิบุคคลเหล่านี้ ก็จะพยายาม "ลาก" เข้ามา เพื่อตำหนิติเตียนวัด ให้ได้
แม้ว่าบางครั้ง จะกลายเป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย เสียเอง ก็เหอะ

ตลกดี นะครับท่าน และบางครั้ง ก็ดูน่าสมเพชมากๆ ด้วย
อย่างเช่น กรณีนี้ ที่ยังจะเพ้อเจ้ออยู่อีก นะครับ ..... และก็กร่าง กันเหลือเกิน อีกด้วย

ตรงไหนครับ ที่ระบุว่า ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ เพราะ ดื่มสุรา ห้ามนิพพาน ?

จากตอนแรก ถกเถียงกันถึงเรื่อง พระดื่มสุรา ความผิดนี้ ไม่ห้ามสวรรค์ ไม่ห้ามนิพพาน
และแม้ว่า ใครบางคน จะพยายาม แค่น มาเถียง แต่กลับแสดงหลักฐาน คนละเรื่องคนละราวกันเลย
กล่าวคือ ไปยกกรณี ที่เรียกว่า การทำอันตราย หรือทำผิด ต่อสวรรค์ ต่อนิพพาน มาอ้างซะงั้น

สรุปก็คือ คนๆนี้ แยกไม่ออก ระหว่างคำว่า "ห้าม" กับคำว่า ผิดต่อ หรือ อันตรายต่อ
สงสัยจะตกภาษาไทย มั้งครับ ?

ผิดต่อ อริยมรรค แปลว่า ห้ามนิพพานเหรอ ?
นั่นใช้สมองคิดแล้วเหรอ ?
แบบนึ้ เรียกว่า กล่าวตู่ บิดเบือนไหมครับ ?

5555555

1 กรุณา ตั้งสติ แล้วฟังให้ดีๆ นะครับ คำว่า "ห้าม" มันต่างกับคำว่า "เป็นอันตรายต่อ" มากนะครับ
เพราะคำว่า ห้าม มันมีความหมายว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส คือ ไม่ว่าจะทำอย่างไรๆ ก็เป็นไปไม่ได้

จงดูตัวอย่าง ของกรณีที่เรียกว่า "ห้าม" ให้ดีๆ นะครับ

v
v

บุคคล ๘ จำพวกเหล่านี้ คือคนลักเพศ ภิกษุเข้ารีดเดียรถีย์ คนฆ่ามารดา คนฆ่าบิดา คนฆ่าพระอรหันต์ สามเณรผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณี คนทำโลหิตุปบาท ภิกษุผู้ทำสังฆเภท ชื่อว่าถึงฐานะเป็นอภัพบุคคล เพราะเป็นผู้วิบัติด้วยการกระทำของตน เพราะฉะนั้นจึงจัดเป็นผู้พ่ายแพ้ด้วย.
               บรรดาบุคคล ๘ จำพวกนั้น สำหรับบุคคล ๓ จำพวกเหล่านี้ คือ คนลักเพศ ภิกษุเข้ารีดเดียรถีย์ สามเณรผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณี ไม่ถูกห้ามสวรรค์ แต่ถูกห้ามมรรคแท้. อีก ๕ จำพวกถูกห้ามแม้ทั้ง ๒ อย่าง. เพราะว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นจำพวกสัตว์ที่จะต้องเกิดในนรก ไม่มีระหว่าง. อภัพบุคคล ๑๑ จำพวกเหล่านี้และบุคคลผู้เป็นปาราชิก ๘ ข้างต้นจึงรวมเป็น ๑๙ ด้วยประการฉะนี้. แม้บุคคลเหล่านั้นรวมกับนางภิกษุณีผู้ยังความพอใจให้เกิดในเพศคฤหัสถ์ แล้วนุ่งห่มอย่างคฤหัสถ์จึงรวมเป็น ๒๐.
          
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=1&i=300&p=1

ในบทว่า มิจฺฉาทิฏฺฐิยา ภิกฺขเว สมนฺนาคตา สตฺตา นี้ พึงทราบวินิจฉัย ดังนี้
               มิจฉาทิฏฐิบางอย่างห้ามสวรรค์ด้วย ห้ามมรรคด้วย.
               บางอย่างห้ามมรรคเท่านั้น ไม่ห้ามสวรรค์.
               บางอย่างไม่ห้ามทั้งสวรรค์ ไม่ห้ามทั้งมรรค.
               บรรดามิจฉาทิฏฐิเหล่านั้น มิจฉาทิฏฐิ ๓ อย่างนี้ คือ อเหตุกทิฏฐิ อกิริยทิฏฐิ นัตถิกทิฏฐิ ห้ามสวรรค์และห้ามมรรค.
               อันตคาหิกมิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ ห้ามมรรค แต่ไม่ห้ามสวรรค์.
               สักกายทิฏฐิมีวัตถุ ๒๐ ไม่ห้ามสวรรค์ ไม่ห้ามมรรค.
          
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=181&p=1

2 ส่วนกรณีที่เป็นอันตรายต่อ มรรคผล นั้น มันหมายถึงแค่ว่า เป็นเครื่องกั้น เครื่องเนิ่นช้า แต่ยังเป็นไปได้ ยังทำได้อยู่
กล่าวคือ พระพุทธเจ้าตรัสว่า พวกอาบัติเล็กน้อย ที่ไม่ใช่อาทิพรหมจรรย์ ภิกษุอาจต้องอาบัติบ้าง ออกจากอาบัติบ้าง
แต่ตรัสว่า ไม่เป็นผู้อาภัพต่อความเป็น โสดาบัน สกิทาคาที อนาคามี และ อรหันต์ เพราะเหตุคือ ล่วงสิกขาบทเหล่านี้เลย

ดังนั้น จงอย่า มโน คิดเอาเอง พูดเอาเอง กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย
จงแสดงหลักฐานมาครับ ว่ามีข้อความตรงไหน ระบุว่า ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะดื่มสุรา "ห้าม" มรรค "ห้าม" นิพพาน

เข้าใจ คำว่า "ห้าม" ไหมครับ ?
อย่ามา แถกแถ กับผม นะครับท่าน

v
v


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต

เสขสูตรที่ ๒
             [๕๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วนนี้ มาสู่อุเทศ
ทุกกึ่งเดือน ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายผู้ปรารถนาประโยชน์ศึกษากันอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สิกขา ๓ นี้ ที่สิกขาบท ๑๕๐ นั้นรวมอยู่ด้วยทั้งหมด สิกขา ๓ นั้นเป็นไฉน คือ
อธิศีลสิกขา ๑ อธิจิตตสิกขา ๑ อธิปัญญาสิกขา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขา ๓
นี้แล  ที่สิกขาบท ๑๕๐ นั้นรวมอยู่ด้วยทั้งหมด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำพอประมาณในสมาธิ เป็นผู้ทำ
พอประมาณในปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัติบ้าง
ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้
แต่ว่าสิกขาบทเหล่าใด เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่พรหมจรรย์
เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และเป็นผู้มีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่
ในสิกขาบททั้งหลาย เธอเป็นพระโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป
เป็นผู้มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงจะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำพอประมาณ
ในสมาธิ เป็นผู้ทำพอประมาณในปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง
ย่อมออกจากอาบัติบ้าง ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคน
อาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้ แต่ว่าสิกขาบทเหล่าใด เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์
สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และมีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้น
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เธอเป็นพระสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓
หมดสิ้นไป และเพราะราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง จะมายังโลกนี้อีกคราวเดียว
เท่านั้น แล้วจักทำที่สุดทุกข์ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้
ทำให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ เป็นผู้ทำพอประมาณในปัญญา
เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัติบ้าง ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้ แต่สิกขาบทเหล่าใด
เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และ
มีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เธอเป็น
ผู้ผุดขึ้นเกิด จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะ
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ หมดสิ้นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ใน
ปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัติบ้าง ข้อนั้นเพราะ
เหตุไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้ แต่ว่าสิกขาบท
เหล่าใด เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีล
ยั่งยืน และมีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
เธอทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลาย
สิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ทำได้เพียงบางส่วน ย่อมให้สำเร็จบางส่วน ผู้ทำให้บริบูรณ์ ย่อมให้สำเร็จได้
บริบูรณ์อย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสิกขาบททั้งหลายว่า ไม่เป็น
หมันเลย ฯ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=6123&Z=6160
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่