นิราศสิ่งเหล่านี้
ฉันก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีวันนี้ วันที่พี่เล็กร้องเพลงสิ่งเหล่านี้ให้ฉัน วันที่เพลงนี้มันกลายมาเป็นเพลงของฉัน
Introduction
ฉันทำงานอยู่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ฉันเพิ่งถูกแฟนของฉันทิ้งเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม หลังจากนั้นฉันเสมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ทำงานแต่เพียงรอเวลาเลิกงาน อัดเบียร์จนเมาหลับร่ำไปทุกวัน
จุด Peak
เย็นวันที่ 3 สิงหาคม ฉันไปตลาดเพื่อไปซื้อเสบียง ฉันบังเอิญพบแฟนเก่าของฉันกำลังเดินตลาดกับผู้ชาย ฟ้า

ทำร้ายกันมากอ่ะ มันไวมากเกินไปสำหรับฉัน ฉันก้มหน้ากลับหลังหัน เดินอ้อมไปเข้าตลาดอีกซอยเพื่อซื้อของที่ต้องการแล้วรีบกลับ สมองเบลอไปหมด
วันต่อมา ฉันปรึกษาหัวหน้าเพื่อขอย้ายที่ทำงาน ฉันไม่สามารถทำงานอยู่ที่นี่ได้แล้ว หัวหน้าเมตตาฉัน หัวหน้าแนะนำให้ฉันลางานแล้วไปปฏิบัติธรรมที่วัด บังเอิญว่าวันนี้เพื่อนที่ทำงานของฉันจะไปทำวัตรเย็นวันพระพอดี จึงขอติดรถเขาไป
ฉันตัดสินใจเร็วมาก ฉันมีเวลาน้อยมากเพื่อเตรียมตัว ทั้งเคลียงาน ส่งเวร เตรียมของใช้ อยู่วัดต้องใช้อะไรบ้างยังไม่รู้เลย เตรียมของใส่บาตร เตรียมชุดขาวปฏิบัติธรรม กินข้าวเย็น, ฉันโทรบอกพ่อแม่ ฉันปิดมือถือแล้วโยนทิ้งไว้บนที่นอน The journal without map ได้เริ่มต้นขึ้น
ฉันมาถึงวัดราวๆ 20.00 วันนี้บังเอิญเป็นวันพระพอดี หลวงพ่อนำสวดมนต์ทำวัตรเย็น ทำวัตรเสร็จฉันจึงนำพวงมาลัย+ดอกบัว(เพื่อนเตรียมมาให้)ไปกราบหลวงพ่อ ขออยู่ที่นี่ 7 วัน
ปัญหาหนักที่สุดของฉันในตอนนี้คือ ไม่มีนาฬิกาปลุก เพราะว่าแบบว่าซ่าไง ห้าว อยากจัดเต็ม ไม่ได้เอาอะไรมาสักอย่าง จึงต้องฝากแม่ออกแถวนั้นช่วยมาปลุก พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ามาก
วันที่ 1
กิจวัตรประจำวันที่นี่ ฉันต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 อาบน้ำแต่งตัว
6 โมงเช้า ขึ้นรถออกไปรับบาตรพระ
6 โมงครึ่ง กลับมาที่วัดกับพระ ใส่บาตรพระ
พูดง่ายๆ ก็คือ ฉันกลายเป็นเด็กวัดคนหนึ่ง
ราวๆ 7 โมงเช้า นิมนต์พระขึ้นไปบนศาลาวัด ถวายอาหารที่พระบิณฑบาตมาได้ให้พระท่านตักใส่บาตร พอพระตักใส่บาตรเสร็จ พระท่านจะบอกอนุญาตยกอาหารที่เหลือให้พวกเรา หลังจากนั้นทุกอย่างจะเกิดขึ้นเร็วมากๆ แม่เฒ่าที่เห็นเฒ่าๆพุ่งเข้า charge อาหารอย่างไวมาก ของดีๆหมดอย่างรวดเร็ว ฉันเพิ่งเข้าใจแล้วว่าเด็กวัดช้าไม่ได้มันเป็นอย่างไร, ฉันเห็นป้าคนนึงตักแกงถุงใหญ่เก็บกลับบ้าน
ฉันกลัว
ตอนแรกๆ ฉันก็ตักอาหารแต่พออิ่มในมื้อนี้ พออาหารเริ่มหมด ฉันลองถามคุณแม่ที่มาปฏิบัติธรรมเหมือนกัน ฉันถามแม่ไปว่า ฉันเพิ่งมาที่นี่วันแรก อาหารแบบนี้จะมีกี่มื้อ คุณแม่ถามฉันว่า มาที่นี่ตั้งใจกินกี่มื้อ มาถือศีล 8 รึเปล่า(ศีล 8 คืออะไรฉันยังไม่รู้เลย) ฉันตอบคุณแม่ไปว่า มาสงบสติอารมณ์ คิดว่าจะกินปกติ คุณแม่บอกว่าอาหารแบบนี้จะมีมื้อเดียว เพราะพระท่านฉันมื้อเดียว คุณจะกินกี่มื้อให้คุณตักเก็บไว้ หรือเลือกอาหารถุงที่ไม่บูดเน่าง่ายเก็บไว้ พอได้ยินดังนั้น ฉันก็เกิดความกลัว กลัวอดอาหาร กลัวไม่มีอาหารกิน (ชีวิตปกติกิน 12.00, 17.00, 20.00, 24.00 วันละ 4 มื้อ) ฉันตักอาหารมาเยอะมาก สะสมอาหารไว้กินเยอะมาก
สาเหตุที่ฉันลงรายละเอียดเรื่องนี้เยอะ เป็นเพราะว่า พ่อแม่ของฉันสอนฉันไว้ว่า อย่ากินอาหารเหลือ สัตว์ พืช ธรรมชาติ อะไรต่างๆมากมายถูกฆ่าถูกทำลายกลายมาเป็นอาหาร ฉันหยุดการฆ่าไม่ได้ ฉันทำได้เพียงไม่ให้ความสูญเสียมันสูญเปล่า ฉันต้องกินให้หมด แต่วันนี้ฉันกินไม่หมด เพราะฉันตักอาหารมามากเกินไป ฉันสะสมอาหารเพราะว่าฉันกลัวที่จะอด ประเด็นคือ ฉันคิดว่า ก่อนฉันมาที่นี่ ฉันสะสมเงินทอง เพราะกลัวลำบาก ฉันกลัวนั่นโน่นนี่ ฉันจึงสะสมกอบโกยนั่นโน่นนี่ ฉันสะสมสิ่งไม่จำเป็นหลายอย่างเพราะความกลัว แต่วันนี้ฉันมาเห็นกับตา พระ ไม่สะสมสิ่งของ ไม่สะสมเสื้อผ้า ไม่สะสมอาหาร ไม่สะสมสิ่งใดใด ไม่ยึดติดกับอะไร
คือ....ฉันรู้สึกว่างมาก เวลาช่างผ่านไปช้า อารมณ์เหมือนกับนิยายเรื่อง เวลา ของคุณชาติ กอบจิตติอ่ะ ดั่งที่เขาบอกแหละ ถ้าเราสนุกสนานมีส่วนร่วมกับอะไร เวลาจะผ่านไปเร็ว เหมือนดู Captain America civil war 3 ชั่วโมงแปปเดียวอ่ะ แต่ถ้าคุณไปอยู่ในสถานการณ์ที่คุณไม่มีส่วนร่วม มันจะช้ามาก
ชีวิตที่นี่ culture shock กับวิถีชีวิตปกติของฉันมากๆ งานที่โรงพยาบาล ทำๆงานไปเงยหน้าทีนึงก็ 10.30 เดินไปเดินมาทำโน่นนี่นั่น ดูเวลาอีกทีก็ 12.00 กินข้าว พอบ่าย ทำโน่นนี่นั่น แปปๆ 15.00 ใกล้เลิกงานและ แต่ที่นี่ slow life แบบจัดหนักจัดเต็มแบบว่าอยากให้ฮิปสเตอร์มาลอง(ขอแซะทีนึง) ที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีทีวี ไม่มีหนังสือพิมพ์ ตัดขาดโลกภายนอก มีแต่ความสงบ
วัดของหลวงพ่อที่นี่ ไม่มีตู้รับบริจาคเงินสักตู้(หลวงพ่อไม่ให้มี) ไม่มีตู้บริจาคค่าน้ำค่าไฟ ไม่มีวัตถุมงคลใดใดทั้งสิ้น
ตกบ่ายฉันไปกวาดลานวัด ระหว่างกวาดก็มีเรื่องฟุ้งซ่านเข้ามาบ้าง สติกลับมาก็ดับมันบ้าง
บ่ายแก่ๆฉันนั่นสมาธิ นั่งๆไปง่วงก็ผล็อยหลับไป
19.00 กินข้าว
20.00 ทำวัตรเย็น
22.00 ทำวัตรเย็นเสร็จ เอาอาหารที่เหลือไปทิ้ง แล้วเข้านอน
Summary วันที่ 1
-ใช้เงินไป 0 บาท
-กินข้าว 3 มื้อ (9.00, 13.00, 19.00)
-งานที่ทำ กวาดลานวัด
-การฝึก นั่งสมาธิ
วันที่ 2
เหมือนวันแรกแหละ ช่วยพระรับบาตร, ใส่บาตรพระ, สะสมอาหาร
ช่วงสายวันนี้ฉันล้างห้องน้ำในวัด
อาบน้ำ ซักเสื้อผ้า
อ่านพระไตรปิฎก
เมื่อวานตอนทำวัตรเย็น ฉันเหลือบไปเห็นตู้หนังสือในศาลาวัด ข้างในมีพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ยก collection ฉันจึงหยิบเล่ม 1 มาไว้อ่าน
พอกลับมาถึงกุฎิ ฉันสำรวจหนังสือ เล่ม 1 เป็นพระวินัยปิฏก ฉันสงสัยเลยนะ ทำไมเอาพระวินัยปิฎกขึ้นก่อนวะ ทำไมไม่ใช่พระธรรมคำสอน วิธีปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ขึ้นก่อน อันนั้นน่าจะสำคัญกว่าป่ะ แต่พออ่านๆไป ฉันก็หายสงสัยแล้ว ไม่ขอสปอยละกัน ฉันอยากบอกว่า ก่อนหน้าที่ฉันจะมาวัด ฉันก็แบบว่าหลงตัวเองไง มี ego คิดว่าตัวเอง “เข้าใจ” หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่พอมาอยู่ที่นี่ จึงเข้าใจว่า แล้วไงวะ เข้าใจเรื่องสูญญัติตา เข้าใจเรื่องทุกข์ เข้าใจเรื่องอนัตตา เข้าใจได้ พูดได้ อธิบายได้ แล้วไงวะ เข้าใจแต่จิตใจฟุ้งซ่านสับสน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ เป็นศาสนาแห่งความเพียรพยายาม การดำรงชีวิตตามวิถีแห่งพรหมจรรย์สำคัญกว่าการนั่งพล่ามถึงสิ่งที่ควรจะกระทำ(แต่สิ่งที่ตัวทำอยู่จริงๆมันคนละเรื่อง) พระวินัยปิฎกขึ้นก่อนถูกต้องแล้ว
กินข้าวตอน 15.30
ฉันปรึกษาแม่ออกที่ฉันไปถามเรื่องอาหารเมื่อวานว่า ฉันฟุ้งซ่านมากตอนนั่งสมาธิ นั่งสมาธิไม่ได้มานานแล้ว แม่ออกบอกว่าจู่ๆไปนั่งเลยก็ฟุ้งซ่าน เป็นใครก็ฟุ้ง ต้องสวดมนต์หรือเดินจงกรมก่อนแล้วไปนั่ง จะสงบได้ แม่ออกชวนเดินจงกรมคืนนี้หลังจากทำวัตรเย็น
แม่ออกให้ยืมมือถือมาเครื่องนึง nokia กากๆเอาไปตั้งปลุก พร้อมหนังสือธรรรมะ ใจดีอ่ะ
ตกเย็นราวๆ 18.30 เพื่อนที่มาส่งฉันมาเยี่ยมฉัน เรื่องวุ่นวายในโลกจริงของฉันรอฉันอยู่
20.00 เริ่มทำวัตรเย็น
21.00 ทำวัตรเย็นเสร็จ แม่ออกสอนฉันเดินจงกรม ฉันเดินไปเรื่อย พอเงยหน้าขึ้นดูนาฬิกา 21.40!!!! คือมันสงบ และผ่านไปไวมาก
หลังจากนั้นฉันก็นั่งสมาธิ ความฟุ้งซ่านเข้ามาเป็นระยะ สติกลับมาก็ดับมันลง พอสติฉันเริ่มหมด แหงนดูนาฬิกา 22.10!!!! ขาทั้ง 2 ข้างของฉันเป็นเหน็บ คงเป็นมานานแล้ว แต่ฉันไม่รู้สึก แม่ออกบอกว่ากายกับจิตแยกกัน กายเจ็บแต่จิตไม่เจ็บ ก็ไม่เจ็บ คือมันมหัศจรรย์มากๆอ่ะ ฉันทำสมาธิอยู่ร่วมชั่วโมง แต่รู้สึกเหมือนแค่ 5 นาที แม่ออกบอกว่า เวลาที่นี่ก็ผ่านไปเร็ว เหมือนที่ที่เจ้าจากมานั่นแหละ
-ฉันกลับกุฎิ เอาอาหารที่สะสมไว้ไปทิ้ง เป็นแกง 2 ถุง ฉันเริ่มไม่รู้สึกหิว แต่ฉันก็ยังกลัวอด ฉันจึงสะสมอาหาร
Summary วันที่ 2
-ใช้เงินไป 0 บาท
-กินข้าว 2 มื้อ (8.30, 15.30)
-งานที่ทำ ล้างห้องน้ำ
-การฝึก เดินจงกรม นั่งสมาธิ 1 ชั่วโมง 10 นาที
วันที่ 3
ตื่นเช้ามาก็ออกไปรับบาตรพระเหมือนเดิม
วันนี้ฉันขอตั้ง KPI กับตัวเอง
รหัสตัวชี้วัด 001
ชื่อตัวชี้วัด กินอิ่มอย่างมีคุณภาพ ปริมาณอาหารเหลือ = 0
วัตถุประสงค์ เพื่อหยุดยั้งการระงับความกลัวด้วยการสะสมกอบโกย
เป้าหมาย อาหารเหลือ = 0
รอบการประเมิน ทุกวัน
ผู้รับผิดชอบตัวชี้วัด ฉัน
เกณฑ์การประเมินเชิงคุณภาพของตัวชี้วัด กินอาหารหมด ไม่ได้หมายความว่า กินหมดอย่างไร้คุณภาพ กินหมดอย่างไร้คุณภาพหมายความว่า แม้ว่าจะกินหมด แต่อิ่มท้องแตก คือกินมากเกินความจำเป็น ไม่ผ่าน!!!!
อาหารที่สะสมมาในวันนี้
1.แบรนด์ 2 ขวด (ยกให้แม่ออกกับเพื่อนที่มาหา)
2.ข้าวต้มมัด 2 ชิ้น
3.ข้าวเหนียวสังขยา 1 ห่อ
4.ไข่เค็ม 1 ลูก
5.ไก่ต้ม 5 น่อง
6.ไก่ต้มปีกบน 2 ปีก
7.dutchmill 4 in 1 180ml 2 กล่อง (ผลไม้รวม, สตรอฯ)
8.foremost strawberry 200ml 2 ขวด
9.โอวัลตินกล่อง 180 ml 1 กล่อง
10.ไมโล 125 ml 1 กล่อง
11.นมสเตอริไลล์ ตราหมี 140 ml 1 กระป๋อง
12.foremost chocolate 400ml 1 ขวด
13.ปลานิลทอด 1½ ตัว
14.ปลานิลแดดเดียว ½ ตัว
15.ปลานิลทอด 1 ชิ้น
16.ปลายาวทอด 4 ตัว
17.ข้าวกล้อง 3 ถุง
18.ตัมฟัก 1 ถุง
19.องุ่นแดง 1 ถุง
20.ขนมชั้น 2 ชิ้น (ให้เพื่อนกินไป 1 ชิ้น)
21.ทองหยอด 11 ลูก
โอ๊ยยยยยยยยยย นี่ขนาดคิดว่า จะระมัดระวังในการสะสมอาหารแล้วนะ ทำไมบานเบอะขนาดนั้น
เพื่อนมาเยี่ยมฉัน ฉันพาเขาไปกราบหลวงพ่อ หลวงพ่อถามว่าฉันเป็นอย่างไรบ้าง ฉันตอบว่าโอเคมากๆ ที่นี่สงบมาก หลวงพ่อบอกว่าอยู่แล้วใจสงบก็บวชอยู่ที่นี่
ช่วงเช้าถึงบ่าย ฉันอยู่ที่ศาลาวัดคอยรับใช้หลวงพ่อ
อาหารเช้าที่ฉันทานไป
5.ไก่ต้ม 2 น่อง
6. ไก่ต้ม 2 ปีก
17.ข้าวกล้อง 1 ถุง
20.ชนมชั้น 1 ชิ้น
21.ทองหยอด 4 ลูก
อาหารเย็นที่ฉันทานไป
3.ข้าวเหนียวสังขยา 1 ห่อ
5.ไก่ต้ม 3 น่อง
8.foremost strawberry 2 ขวด
15.ปลานิลทอด 1 ชิ้น
17.ข้าวกล้อง 1 ถุง
20.ขนมชั้น 1 ชิ้น
21.ทองหยอด 7 ลูก
สรุปอาหารที่ฉันกินเหลือ
2.ข้าวต้มมัด 2 ชิ้น
4.ไข่เค็ม 1 ฟอง
7.dutchmill 4 in 1 2 กล่อง
9.โอวัลตินกล่อง 1 กล่อง
10.ไมโล 1 กล่อง
11.นมสเตอไรล์ ตราหมี 1 กระป๋อง
12.foremost chocolate 1 ขวด
13.ปลานิลทอด 1½ ตัว
14.ปลานิลแดดเดียว ½ ตัว
16.ปลายาวทอด 4 ตัว
17. ข้าวกล้อง เหลือ 1 ถุง
18.ต้มฟัก 1 ถุง
19.องุ่นแดง 1 ถุง
ยังดีที่อาหารที่เหลือมันไม่บูดเน่าง่าย ยังแบ่งปันให้หมาให้แมวได้ พรุ่งนี้ฉันจะหยิบอาหารอย่างมีสติ
ตกบ่ายก็เม้ามอยกับเพื่อน ส่งเพื่อนกลับบ้าน
ช่วงบ่ายก็ซักเสื้อผ้า ช่วยแม่ออกเตรียมวัตถุดิบทำอาหารถวายพระวันพรุ่งนี้
ค่ำๆก็ทำวัตรเย็น เดินจงกรม นั่งสมาธิ
พรุ่งนี้โลกภายนอก วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม วันลงประชามติ ฉันอยู่ที่นี่มา 3 วัน ไม่ได้รับรู้ข่าวสารใดใดเลย ไม่มีทีวี ไม่มี internet สมัยก่อนว่างไม่ได้ ต้องหยิบเอาโทรศัพท์มาเปิด facebook ทุกครั้งที่ว่าง ฉันไม่รู้ข่าวร้าย ฉันไม่รู้ข่าวอาชญากรรมใดใดเลย ตกลงข้อมูลข่าวสารเท่าทันโลกมันจำเป็นหรือคือการมอมเมา ฉันอยู่แบบไม่มีอะไรมา 3 วันแล้วเนี่ย อยู่ได้ สบายใจด้วย ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่ ชุดขาว กกน สมุด ดินสอ ยางลบ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ แชมพู โฟมล้างหน้า ผงซักฟอก ถ้าสักวันฉันได้บวช ฉันจะอิสระยิ่งกว่านี้อีกหรือ มันคงสบายไม่น้อยแฮะ
Summary วันที่ 3
-ใช้เงินไป 0 บาท
-กินข้าว 2 มื้อ 8.30, 15.00
-งานที่ทำ ช่วยงานหลวงพ่อ ช่วยงานแม่ออก
-การฝึก เดินจงกรม นั่งสมาธิ 1 ชั่วโมง
-ตก KPI
พรุ่งนี้ หยิบข้าว 2 ถุง กับข้าว 1-2อย่าง/อาหาร 1 มื้อ ไม่ต้องสะสมน้ำปานะ ไม่ต้องกลัวอด หิวขอเขากินได้ คนอื่นสะสมเยอะแยะ ของหวาน 1อย่าง/มื้อก็พอ
นิราศสิ่งเหล่านี้
ฉันก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีวันนี้ วันที่พี่เล็กร้องเพลงสิ่งเหล่านี้ให้ฉัน วันที่เพลงนี้มันกลายมาเป็นเพลงของฉัน
Introduction
ฉันทำงานอยู่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ฉันเพิ่งถูกแฟนของฉันทิ้งเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม หลังจากนั้นฉันเสมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ทำงานแต่เพียงรอเวลาเลิกงาน อัดเบียร์จนเมาหลับร่ำไปทุกวัน
จุด Peak
เย็นวันที่ 3 สิงหาคม ฉันไปตลาดเพื่อไปซื้อเสบียง ฉันบังเอิญพบแฟนเก่าของฉันกำลังเดินตลาดกับผู้ชาย ฟ้า
วันต่อมา ฉันปรึกษาหัวหน้าเพื่อขอย้ายที่ทำงาน ฉันไม่สามารถทำงานอยู่ที่นี่ได้แล้ว หัวหน้าเมตตาฉัน หัวหน้าแนะนำให้ฉันลางานแล้วไปปฏิบัติธรรมที่วัด บังเอิญว่าวันนี้เพื่อนที่ทำงานของฉันจะไปทำวัตรเย็นวันพระพอดี จึงขอติดรถเขาไป
ฉันตัดสินใจเร็วมาก ฉันมีเวลาน้อยมากเพื่อเตรียมตัว ทั้งเคลียงาน ส่งเวร เตรียมของใช้ อยู่วัดต้องใช้อะไรบ้างยังไม่รู้เลย เตรียมของใส่บาตร เตรียมชุดขาวปฏิบัติธรรม กินข้าวเย็น, ฉันโทรบอกพ่อแม่ ฉันปิดมือถือแล้วโยนทิ้งไว้บนที่นอน The journal without map ได้เริ่มต้นขึ้น
ฉันมาถึงวัดราวๆ 20.00 วันนี้บังเอิญเป็นวันพระพอดี หลวงพ่อนำสวดมนต์ทำวัตรเย็น ทำวัตรเสร็จฉันจึงนำพวงมาลัย+ดอกบัว(เพื่อนเตรียมมาให้)ไปกราบหลวงพ่อ ขออยู่ที่นี่ 7 วัน
ปัญหาหนักที่สุดของฉันในตอนนี้คือ ไม่มีนาฬิกาปลุก เพราะว่าแบบว่าซ่าไง ห้าว อยากจัดเต็ม ไม่ได้เอาอะไรมาสักอย่าง จึงต้องฝากแม่ออกแถวนั้นช่วยมาปลุก พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ามาก
วันที่ 1
กิจวัตรประจำวันที่นี่ ฉันต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 อาบน้ำแต่งตัว
6 โมงเช้า ขึ้นรถออกไปรับบาตรพระ
6 โมงครึ่ง กลับมาที่วัดกับพระ ใส่บาตรพระ
พูดง่ายๆ ก็คือ ฉันกลายเป็นเด็กวัดคนหนึ่ง
ราวๆ 7 โมงเช้า นิมนต์พระขึ้นไปบนศาลาวัด ถวายอาหารที่พระบิณฑบาตมาได้ให้พระท่านตักใส่บาตร พอพระตักใส่บาตรเสร็จ พระท่านจะบอกอนุญาตยกอาหารที่เหลือให้พวกเรา หลังจากนั้นทุกอย่างจะเกิดขึ้นเร็วมากๆ แม่เฒ่าที่เห็นเฒ่าๆพุ่งเข้า charge อาหารอย่างไวมาก ของดีๆหมดอย่างรวดเร็ว ฉันเพิ่งเข้าใจแล้วว่าเด็กวัดช้าไม่ได้มันเป็นอย่างไร, ฉันเห็นป้าคนนึงตักแกงถุงใหญ่เก็บกลับบ้าน
ฉันกลัว
ตอนแรกๆ ฉันก็ตักอาหารแต่พออิ่มในมื้อนี้ พออาหารเริ่มหมด ฉันลองถามคุณแม่ที่มาปฏิบัติธรรมเหมือนกัน ฉันถามแม่ไปว่า ฉันเพิ่งมาที่นี่วันแรก อาหารแบบนี้จะมีกี่มื้อ คุณแม่ถามฉันว่า มาที่นี่ตั้งใจกินกี่มื้อ มาถือศีล 8 รึเปล่า(ศีล 8 คืออะไรฉันยังไม่รู้เลย) ฉันตอบคุณแม่ไปว่า มาสงบสติอารมณ์ คิดว่าจะกินปกติ คุณแม่บอกว่าอาหารแบบนี้จะมีมื้อเดียว เพราะพระท่านฉันมื้อเดียว คุณจะกินกี่มื้อให้คุณตักเก็บไว้ หรือเลือกอาหารถุงที่ไม่บูดเน่าง่ายเก็บไว้ พอได้ยินดังนั้น ฉันก็เกิดความกลัว กลัวอดอาหาร กลัวไม่มีอาหารกิน (ชีวิตปกติกิน 12.00, 17.00, 20.00, 24.00 วันละ 4 มื้อ) ฉันตักอาหารมาเยอะมาก สะสมอาหารไว้กินเยอะมาก
สาเหตุที่ฉันลงรายละเอียดเรื่องนี้เยอะ เป็นเพราะว่า พ่อแม่ของฉันสอนฉันไว้ว่า อย่ากินอาหารเหลือ สัตว์ พืช ธรรมชาติ อะไรต่างๆมากมายถูกฆ่าถูกทำลายกลายมาเป็นอาหาร ฉันหยุดการฆ่าไม่ได้ ฉันทำได้เพียงไม่ให้ความสูญเสียมันสูญเปล่า ฉันต้องกินให้หมด แต่วันนี้ฉันกินไม่หมด เพราะฉันตักอาหารมามากเกินไป ฉันสะสมอาหารเพราะว่าฉันกลัวที่จะอด ประเด็นคือ ฉันคิดว่า ก่อนฉันมาที่นี่ ฉันสะสมเงินทอง เพราะกลัวลำบาก ฉันกลัวนั่นโน่นนี่ ฉันจึงสะสมกอบโกยนั่นโน่นนี่ ฉันสะสมสิ่งไม่จำเป็นหลายอย่างเพราะความกลัว แต่วันนี้ฉันมาเห็นกับตา พระ ไม่สะสมสิ่งของ ไม่สะสมเสื้อผ้า ไม่สะสมอาหาร ไม่สะสมสิ่งใดใด ไม่ยึดติดกับอะไร
คือ....ฉันรู้สึกว่างมาก เวลาช่างผ่านไปช้า อารมณ์เหมือนกับนิยายเรื่อง เวลา ของคุณชาติ กอบจิตติอ่ะ ดั่งที่เขาบอกแหละ ถ้าเราสนุกสนานมีส่วนร่วมกับอะไร เวลาจะผ่านไปเร็ว เหมือนดู Captain America civil war 3 ชั่วโมงแปปเดียวอ่ะ แต่ถ้าคุณไปอยู่ในสถานการณ์ที่คุณไม่มีส่วนร่วม มันจะช้ามาก
ชีวิตที่นี่ culture shock กับวิถีชีวิตปกติของฉันมากๆ งานที่โรงพยาบาล ทำๆงานไปเงยหน้าทีนึงก็ 10.30 เดินไปเดินมาทำโน่นนี่นั่น ดูเวลาอีกทีก็ 12.00 กินข้าว พอบ่าย ทำโน่นนี่นั่น แปปๆ 15.00 ใกล้เลิกงานและ แต่ที่นี่ slow life แบบจัดหนักจัดเต็มแบบว่าอยากให้ฮิปสเตอร์มาลอง(ขอแซะทีนึง) ที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีทีวี ไม่มีหนังสือพิมพ์ ตัดขาดโลกภายนอก มีแต่ความสงบ
วัดของหลวงพ่อที่นี่ ไม่มีตู้รับบริจาคเงินสักตู้(หลวงพ่อไม่ให้มี) ไม่มีตู้บริจาคค่าน้ำค่าไฟ ไม่มีวัตถุมงคลใดใดทั้งสิ้น
ตกบ่ายฉันไปกวาดลานวัด ระหว่างกวาดก็มีเรื่องฟุ้งซ่านเข้ามาบ้าง สติกลับมาก็ดับมันบ้าง
บ่ายแก่ๆฉันนั่นสมาธิ นั่งๆไปง่วงก็ผล็อยหลับไป
19.00 กินข้าว
20.00 ทำวัตรเย็น
22.00 ทำวัตรเย็นเสร็จ เอาอาหารที่เหลือไปทิ้ง แล้วเข้านอน
Summary วันที่ 1
-ใช้เงินไป 0 บาท
-กินข้าว 3 มื้อ (9.00, 13.00, 19.00)
-งานที่ทำ กวาดลานวัด
-การฝึก นั่งสมาธิ
วันที่ 2
เหมือนวันแรกแหละ ช่วยพระรับบาตร, ใส่บาตรพระ, สะสมอาหาร
ช่วงสายวันนี้ฉันล้างห้องน้ำในวัด
อาบน้ำ ซักเสื้อผ้า
อ่านพระไตรปิฎก
เมื่อวานตอนทำวัตรเย็น ฉันเหลือบไปเห็นตู้หนังสือในศาลาวัด ข้างในมีพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ยก collection ฉันจึงหยิบเล่ม 1 มาไว้อ่าน
พอกลับมาถึงกุฎิ ฉันสำรวจหนังสือ เล่ม 1 เป็นพระวินัยปิฏก ฉันสงสัยเลยนะ ทำไมเอาพระวินัยปิฎกขึ้นก่อนวะ ทำไมไม่ใช่พระธรรมคำสอน วิธีปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ขึ้นก่อน อันนั้นน่าจะสำคัญกว่าป่ะ แต่พออ่านๆไป ฉันก็หายสงสัยแล้ว ไม่ขอสปอยละกัน ฉันอยากบอกว่า ก่อนหน้าที่ฉันจะมาวัด ฉันก็แบบว่าหลงตัวเองไง มี ego คิดว่าตัวเอง “เข้าใจ” หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่พอมาอยู่ที่นี่ จึงเข้าใจว่า แล้วไงวะ เข้าใจเรื่องสูญญัติตา เข้าใจเรื่องทุกข์ เข้าใจเรื่องอนัตตา เข้าใจได้ พูดได้ อธิบายได้ แล้วไงวะ เข้าใจแต่จิตใจฟุ้งซ่านสับสน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ เป็นศาสนาแห่งความเพียรพยายาม การดำรงชีวิตตามวิถีแห่งพรหมจรรย์สำคัญกว่าการนั่งพล่ามถึงสิ่งที่ควรจะกระทำ(แต่สิ่งที่ตัวทำอยู่จริงๆมันคนละเรื่อง) พระวินัยปิฎกขึ้นก่อนถูกต้องแล้ว
กินข้าวตอน 15.30
ฉันปรึกษาแม่ออกที่ฉันไปถามเรื่องอาหารเมื่อวานว่า ฉันฟุ้งซ่านมากตอนนั่งสมาธิ นั่งสมาธิไม่ได้มานานแล้ว แม่ออกบอกว่าจู่ๆไปนั่งเลยก็ฟุ้งซ่าน เป็นใครก็ฟุ้ง ต้องสวดมนต์หรือเดินจงกรมก่อนแล้วไปนั่ง จะสงบได้ แม่ออกชวนเดินจงกรมคืนนี้หลังจากทำวัตรเย็น
แม่ออกให้ยืมมือถือมาเครื่องนึง nokia กากๆเอาไปตั้งปลุก พร้อมหนังสือธรรรมะ ใจดีอ่ะ
ตกเย็นราวๆ 18.30 เพื่อนที่มาส่งฉันมาเยี่ยมฉัน เรื่องวุ่นวายในโลกจริงของฉันรอฉันอยู่
20.00 เริ่มทำวัตรเย็น
21.00 ทำวัตรเย็นเสร็จ แม่ออกสอนฉันเดินจงกรม ฉันเดินไปเรื่อย พอเงยหน้าขึ้นดูนาฬิกา 21.40!!!! คือมันสงบ และผ่านไปไวมาก
หลังจากนั้นฉันก็นั่งสมาธิ ความฟุ้งซ่านเข้ามาเป็นระยะ สติกลับมาก็ดับมันลง พอสติฉันเริ่มหมด แหงนดูนาฬิกา 22.10!!!! ขาทั้ง 2 ข้างของฉันเป็นเหน็บ คงเป็นมานานแล้ว แต่ฉันไม่รู้สึก แม่ออกบอกว่ากายกับจิตแยกกัน กายเจ็บแต่จิตไม่เจ็บ ก็ไม่เจ็บ คือมันมหัศจรรย์มากๆอ่ะ ฉันทำสมาธิอยู่ร่วมชั่วโมง แต่รู้สึกเหมือนแค่ 5 นาที แม่ออกบอกว่า เวลาที่นี่ก็ผ่านไปเร็ว เหมือนที่ที่เจ้าจากมานั่นแหละ
-ฉันกลับกุฎิ เอาอาหารที่สะสมไว้ไปทิ้ง เป็นแกง 2 ถุง ฉันเริ่มไม่รู้สึกหิว แต่ฉันก็ยังกลัวอด ฉันจึงสะสมอาหาร
Summary วันที่ 2
-ใช้เงินไป 0 บาท
-กินข้าว 2 มื้อ (8.30, 15.30)
-งานที่ทำ ล้างห้องน้ำ
-การฝึก เดินจงกรม นั่งสมาธิ 1 ชั่วโมง 10 นาที
วันที่ 3
ตื่นเช้ามาก็ออกไปรับบาตรพระเหมือนเดิม
วันนี้ฉันขอตั้ง KPI กับตัวเอง
รหัสตัวชี้วัด 001
ชื่อตัวชี้วัด กินอิ่มอย่างมีคุณภาพ ปริมาณอาหารเหลือ = 0
วัตถุประสงค์ เพื่อหยุดยั้งการระงับความกลัวด้วยการสะสมกอบโกย
เป้าหมาย อาหารเหลือ = 0
รอบการประเมิน ทุกวัน
ผู้รับผิดชอบตัวชี้วัด ฉัน
เกณฑ์การประเมินเชิงคุณภาพของตัวชี้วัด กินอาหารหมด ไม่ได้หมายความว่า กินหมดอย่างไร้คุณภาพ กินหมดอย่างไร้คุณภาพหมายความว่า แม้ว่าจะกินหมด แต่อิ่มท้องแตก คือกินมากเกินความจำเป็น ไม่ผ่าน!!!!
อาหารที่สะสมมาในวันนี้
1.แบรนด์ 2 ขวด (ยกให้แม่ออกกับเพื่อนที่มาหา)
2.ข้าวต้มมัด 2 ชิ้น
3.ข้าวเหนียวสังขยา 1 ห่อ
4.ไข่เค็ม 1 ลูก
5.ไก่ต้ม 5 น่อง
6.ไก่ต้มปีกบน 2 ปีก
7.dutchmill 4 in 1 180ml 2 กล่อง (ผลไม้รวม, สตรอฯ)
8.foremost strawberry 200ml 2 ขวด
9.โอวัลตินกล่อง 180 ml 1 กล่อง
10.ไมโล 125 ml 1 กล่อง
11.นมสเตอริไลล์ ตราหมี 140 ml 1 กระป๋อง
12.foremost chocolate 400ml 1 ขวด
13.ปลานิลทอด 1½ ตัว
14.ปลานิลแดดเดียว ½ ตัว
15.ปลานิลทอด 1 ชิ้น
16.ปลายาวทอด 4 ตัว
17.ข้าวกล้อง 3 ถุง
18.ตัมฟัก 1 ถุง
19.องุ่นแดง 1 ถุง
20.ขนมชั้น 2 ชิ้น (ให้เพื่อนกินไป 1 ชิ้น)
21.ทองหยอด 11 ลูก
โอ๊ยยยยยยยยยย นี่ขนาดคิดว่า จะระมัดระวังในการสะสมอาหารแล้วนะ ทำไมบานเบอะขนาดนั้น
เพื่อนมาเยี่ยมฉัน ฉันพาเขาไปกราบหลวงพ่อ หลวงพ่อถามว่าฉันเป็นอย่างไรบ้าง ฉันตอบว่าโอเคมากๆ ที่นี่สงบมาก หลวงพ่อบอกว่าอยู่แล้วใจสงบก็บวชอยู่ที่นี่
ช่วงเช้าถึงบ่าย ฉันอยู่ที่ศาลาวัดคอยรับใช้หลวงพ่อ
อาหารเช้าที่ฉันทานไป
5.ไก่ต้ม 2 น่อง
6. ไก่ต้ม 2 ปีก
17.ข้าวกล้อง 1 ถุง
20.ชนมชั้น 1 ชิ้น
21.ทองหยอด 4 ลูก
อาหารเย็นที่ฉันทานไป
3.ข้าวเหนียวสังขยา 1 ห่อ
5.ไก่ต้ม 3 น่อง
8.foremost strawberry 2 ขวด
15.ปลานิลทอด 1 ชิ้น
17.ข้าวกล้อง 1 ถุง
20.ขนมชั้น 1 ชิ้น
21.ทองหยอด 7 ลูก
สรุปอาหารที่ฉันกินเหลือ
2.ข้าวต้มมัด 2 ชิ้น
4.ไข่เค็ม 1 ฟอง
7.dutchmill 4 in 1 2 กล่อง
9.โอวัลตินกล่อง 1 กล่อง
10.ไมโล 1 กล่อง
11.นมสเตอไรล์ ตราหมี 1 กระป๋อง
12.foremost chocolate 1 ขวด
13.ปลานิลทอด 1½ ตัว
14.ปลานิลแดดเดียว ½ ตัว
16.ปลายาวทอด 4 ตัว
17. ข้าวกล้อง เหลือ 1 ถุง
18.ต้มฟัก 1 ถุง
19.องุ่นแดง 1 ถุง
ยังดีที่อาหารที่เหลือมันไม่บูดเน่าง่าย ยังแบ่งปันให้หมาให้แมวได้ พรุ่งนี้ฉันจะหยิบอาหารอย่างมีสติ
ตกบ่ายก็เม้ามอยกับเพื่อน ส่งเพื่อนกลับบ้าน
ช่วงบ่ายก็ซักเสื้อผ้า ช่วยแม่ออกเตรียมวัตถุดิบทำอาหารถวายพระวันพรุ่งนี้
ค่ำๆก็ทำวัตรเย็น เดินจงกรม นั่งสมาธิ
พรุ่งนี้โลกภายนอก วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม วันลงประชามติ ฉันอยู่ที่นี่มา 3 วัน ไม่ได้รับรู้ข่าวสารใดใดเลย ไม่มีทีวี ไม่มี internet สมัยก่อนว่างไม่ได้ ต้องหยิบเอาโทรศัพท์มาเปิด facebook ทุกครั้งที่ว่าง ฉันไม่รู้ข่าวร้าย ฉันไม่รู้ข่าวอาชญากรรมใดใดเลย ตกลงข้อมูลข่าวสารเท่าทันโลกมันจำเป็นหรือคือการมอมเมา ฉันอยู่แบบไม่มีอะไรมา 3 วันแล้วเนี่ย อยู่ได้ สบายใจด้วย ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่ ชุดขาว กกน สมุด ดินสอ ยางลบ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ แชมพู โฟมล้างหน้า ผงซักฟอก ถ้าสักวันฉันได้บวช ฉันจะอิสระยิ่งกว่านี้อีกหรือ มันคงสบายไม่น้อยแฮะ
Summary วันที่ 3
-ใช้เงินไป 0 บาท
-กินข้าว 2 มื้อ 8.30, 15.00
-งานที่ทำ ช่วยงานหลวงพ่อ ช่วยงานแม่ออก
-การฝึก เดินจงกรม นั่งสมาธิ 1 ชั่วโมง
-ตก KPI
พรุ่งนี้ หยิบข้าว 2 ถุง กับข้าว 1-2อย่าง/อาหาร 1 มื้อ ไม่ต้องสะสมน้ำปานะ ไม่ต้องกลัวอด หิวขอเขากินได้ คนอื่นสะสมเยอะแยะ ของหวาน 1อย่าง/มื้อก็พอ