สวัสดีครับทุก ๆ คน หลังจากที่ผ่านมา 8 เดือนสำหรับทริปพิชิตภูกระดึงของผม วันนี้ (10/8/2559) ก็อยากจะมารีวิวการท่องเที่ยวที่เรียกได้ว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
เกริ่นกันก่อน...
แรกเริ่มเดิมทีผมกับเพื่อน ๆ ได้คุยกันเรื่องทริปภูกระดึงมาตั้งแต่อยู่ปี 2 กันแล้ว (ปัจจุบันเรียนจบสด ๆ ร้อน ๆ ครับ อิอิ) มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ตอนนั้นถึง 9 คนด้วยกัน แต่แล้วเราก็ต้องพับโปรเจคเก็บไปก่อนด้วยความขี้เกียจ หรืออะไรหลาย ๆ อย่าง จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงปี 4 เทอม 1 ตอนนั้นใกล้จะปิดเทอมช่วงก่อนปีใหม่ เราก็เลยมาคุยกันว่าถ้าเราขึ้นเทอม 2 แล้ว เราจะต้องทำโปรเจคอย่างไม่มีเวลาหายใจ กว่าเราจะว่างอีกทีก็ตอนเราจบ ซึ่งนั่นคือประมาณกลางปี ถ้าเราจะเที่ยวต้องตอนนี้เลย ไม่มีเวลาอีกแล้ว จึงได้รวบรวมสมัครพักพวกมาได้ทั้งสิ้น 5 คน ฮ่า ๆ ตั้ง 5 คน
ประกอบด้วย
- ผม
- เพื่อนผู้ชาย 1 คน
- เพื่อนผู้หญิงอีก 3 คน
พอปิดเทอมก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เพื่อนทิพย์สาวสวยประจำกลุ่มก็ได้สร้างแชทไว้คุยกัน เราสรุปวันที่สำหรับการผจญภัยนี้ คือ 14-16 มกราคม 2559 เพราะเราเปิดเทอมวันที่ 18 จะได้มีเวลาพักหนึ่งวันเต็ม ๆ (คิดว่าพอมั้ย??) ดังนั้นอยู่ว่าง ๆ ผมก็เลยหาข้อมูลเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติภูกระดึงมาอ่านดู สรุปได้คร่าว ๆ ดังนี้นะครับ
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ตั้งอยู่ที่ อ.ภูกระดึง จ.เลย ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญของประเทศไทย เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าระหว่างเดือน ตุลาคม ถึง พฤษภาคม ของทุกปี โดยไฮไลท์ของที่นี่คือ การเดินขึ้นไปพิชิตยอดบนสุดของภูกระดึง ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเส้นทางมันโคตรจะทรหด ด้วยระยะทางกว่า 9 กิโลเมตรในการเดินจากตีนภูไปถึงจุดบริการนักท่องเที่ยว และยังไม่รวมการเดินจากจุดบริการนักท่องเที่ยวไปชมสถานที่ต่าง ๆ บนยอดภู
แค่คิดก็มันส์ไว้ก่อนแล้วครับพี่น้อง
จนถึงวันเข้าหอพัก ปรากฏว่าเพื่อนผู้ชายมันป่วยเลยไปไม่ได้แล้ว ซวยละสิ เพราะความหวังอยู่ที่ไอ้เพื่อนคนนี้นี่แหละ มันเคยไปเที่ยวภูกระดึงหลายรอบแล้ว เราเลยหวังว่าจะให้มันเป็นไกด์จำเป็นให้ แต่ตอนนี้ต้องตัดมันออกไป เป็นว่าเหลือสมาชิก 4 คน แต่เพื่อนทิพย์คนสวยคนเดิมเลยอาสาชวนแฟนไปด้วย เพราะแฟนมันเคยไปที่ภูกระดึงแล้ว เราก็โอเค
อ้อ ลืมบอกไปครับ เราเรียนกันที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ดังนั้นการไปภูกระดึงก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม เพราะขอนแก่นกับเลยอยู่ไม่ไกลกันมากนั่นเอง
การเตรียมตัว
13 มกราคม 2558
ช่วงเย็นเราไปเดินห้างกัน ตุนเสบียง อยากกินอะไรซื้อ อยากได้อะไรซื้อ จะได้ไม่ไปซื้อบนภู เพราะมันแพง (เป็นอะไรที่คิดผิดที่สุดในชีวิต) ด้วยความที่เพื่อนที่เคยไปแล้วมาบอกว่า น้ำขวดละ 50 บาท ขนมซองละ 30 บาท บลา ๆ ไอ้เราก็ซื้อไปดิ ซื้อไปให้หมด
สรุปรายการซื้อของผม
- เต็นท์ 299 บาท (ผมยังไม่มีเลยซื้อ ใครที่มีเต็นท์อยู่แล้วเอาไปใช้ได้เลยครับ)
- ของกิน + ของใช้ 500 บาท ได้แก่ น้ำเปล่า ขนม ซีเรียล นม มาม่า กระดาษชำระ โลชั่น ฯลฯ
การจัดกระเป๋า
- เสื้อ 3 ตัว ไม่รวมตัวที่ใส่ไป
- กางเกงขายาว 2 ตัว กะใส่ตัวเดิม
- เสื้อแขนยาว ปกติตัวเดียวก็พอครับ แต่ผมบ้าหอบฟางเลยเอาไป 2 ตัว
- กางเกงใน 3 ตัว เฉลี่ยวันละตัว
- ไฟฉาย เพราะกางคืนมันจะมืดมาก
- ขัน + เครื่องอาบน้ำ
- ผ้าเช็ดตัว
- ผ้าเช็ดหน้าสำหรับพาดคอเวลาเดิน
- รองเท้าผ้าใบสำหรับใส่เดิน และรองเท้าแตะสำหรับใส่อาบน้ำ
- แบตสำรอง หูฟัง และสายชาร์ต
รวม ๆ แล้วก็ของที่เราคิดว่าจำเป็นครับ แต่ผมจะเกินจำเป็นไปนิดนึงเพราะชอบเผื่อ รวม ๆ แล้วได้ 2 กระเป๋า คือ กระเป๋าของใช้ และกระเป๋าเสบียง
วันที่ 1
14 มกราคม 2559
04:00 น.
ผมไม่นอนครับ เพราะกลัวไม่ตื่น ถึงเวลาก็ลงไปรอเพื่อนที่ล่างหอ นัดกันตี 4 แล้วก็แว้นไปขึ้นรถที่
บขส 1 ขอนแก่น ไปถึงก็ฝากรถไว้ที่ร้านรับฝาก ประกอบกับรถ
ขอนแก่นเมืองเลย มาได้เวลาพอดีก็เลยวิ่งกันทุลักทุเลหน่อย สรุปได้รถเวลาประมาณ 04:30 น.
รถราคา 85 บาท
เนื่องจากมากัน 5 คน ทิพย์ย่อมต้องนั่งกับแฟน เตยกับลูกเกดเป็นคู่โปรเจคกันก็นั่งคู่กันไป หมาสิครับผมเนี่ย นั่งคนเดียวก็ได้ฟระ ผมไม่สบายอยู่แล้วด้วยตอนนั้นเลยกินยาแล้วนอนไปเลย
07:00 น. โดยประมาณ
ผานกเค้า...
ผมตื่นมาเวลาหกโมงเช้านิด ๆ ตอนนี้รถวิ่งอยู่บนถนนที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ บรรยากาศดีสุด ๆ ด้านซ้ายมือก็เป็นภูเขาสูงชัน หรือที่เรียกว่าผานกเค้านั่นแหละครับ ยังกะอยู่ในหนังต่างประเทศ
คือของจริงสวยมากนะ แต่เราถ่ายออกมาแล้ว...
แล้วรถก็มาจอดที่จุดส่งผู้โดยสาร คือเค้าบอกว่าเราต้องลงตรงนั้น เป็นจุดรถสองแถวและเป็นร้านขายข้าวแกง ขายน้ำ มาม่า แต่ตรงนี้ยังขายราคาปกติอยู่
กินข้าวเช้ากันเสร็จเราก็เหมารถสองแถว
ราคาคนละ 30 บาท แต่ต้องได้เต็มคันรถถึงจะออก เราเลยรวมกับกรุ๊ปอื่นเต็มคันพอดี รถสองแถวจะมาส่งที่หน้าอุทยาน แล้วเราก็เข้าไปซื้อตั๋วในอาคาร
ผู้ชายในรูปคือข้าพเจ้าเอง ข้าง ๆ คือเพื่อนทิพย์
ขอเพื่อนแล้วนะว่าจะเอารูปเห็นหน้าลง แต่ขี้เกียจแต่ง+เลือกรูปไม่ปรึกษาใคร
ทีนี้เราต้องจ่ายค่าขึ้นภู
คนละ 40 บาท และค่าสถานที่กางเต็นท์
คืนละ 30 บาท เรานอนกันสองคืนก็ 60 บาท จ่ายกันให้เสร็จตั้งแต่ก่อนขึ้น แล้วเขาจะให้ใบเสร็จเรามาเก็บไว้ พร้อมทั้งตั๋วขึ้นภูโดยที่หางตั๋วเราสามารถเก็บเป็นของที่ระลึกได้
และนี่คือทีมของเรา //รูปนี้ดูดีสุดแล้ว อย่ามาด่า 5555
ด่านต่อมาคือจุดบริการลูกหาบ ใครที่นำสัมภาระมา ผมขอแนะนำให้จ้างลูกหาบทั้งหมด เอาของติดตัวไปแค่กระเป๋าเงิน โทรศัพท์ ที่ชาร์ตสำรอง และของที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น มิเช่นนั้นท่านจะประสบชะตากรรมเดียวกับผม ดังนี้
อย่างที่ได้บอกทุกคนไปแล้วว่าผมนั้นได้นำสัมภาระมารวมทั้งหมด 2 กระเป๋าใหญ่ ใบแรกเป็นเสื้อผ้าของใช้ เต็นท์ อีกใบเป็นเสบียง (มีน้ำขวดใหญ่ 3 ขวด และอย่างอื่นอีกมากมาย คิดแล้วขนลุก) ผมคิดแล้วคิดอีกว่าจะจ้างเขาหาบดีไหม เพราะค่าหาบคิดตามน้ำหนักคือ
กิโลกรัมละ 30 บาท ซึ่งก็แพงเอาเรื่อง
ผมกลับมาคิด ๆ แล้วก็ตัดสินใจเอากระเป๋าเสื้อผ้า กับเต็นท์ไปจ้างเขาหาบ ช่างน้ำหนักได้ 9 กิโลกรัมกับอีก 1 ขีด เจ้าหน้าที่ปัดเป็น 10 กิโลซะงั้น ให้ตายเถอะ แถมต้องเสียค่าตั๋วติดกระเป๋าใบละ 5 บาท หรือ 15 บาทนี่แหละครับ จำไม่ได้แล้ว สรุปคือผมต้องจ่ายทั้งหมด
ประมาณ 300 กว่าบาท ในการจ้างลูกหาบขาขึ้น ลูกหาบจะเอาของไปมัด ๆ รวมกันกับไม้ไผ่แล้วแบกใส่บ่าไป ไปเจอกันอีกทีที่จุดพักนักท่องเที่ยวบนภูเลย
เหตุผลที่ผมเลือกที่จะสะพายกระเป๋าของกิน (ราว ๆ 7 กิโลกรัม) ก็เพราะคิดว่าเดินไปกินไปเดี๋ยวมันก็เบา โอเคคิดได้ดังนั้นก็ลุยกันเลย ก่อนขึ้นอู๋ แฟนของเพื่อนทิพย์ (ที่เคยมาภูกระดึงแล้วครั้งนึง) พาไปกราบพระก่อนจะเริ่มเดินทาง
.
.
.
.
ต่อที่คอมเมนต์ด้านล่างนะครับ
[CR] ครั้งหนึ่งในชีวิต แบกกระเป๋าเที่ยวภูกระดึง 3 วัน 2 คืน
เกริ่นกันก่อน...
แรกเริ่มเดิมทีผมกับเพื่อน ๆ ได้คุยกันเรื่องทริปภูกระดึงมาตั้งแต่อยู่ปี 2 กันแล้ว (ปัจจุบันเรียนจบสด ๆ ร้อน ๆ ครับ อิอิ) มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ตอนนั้นถึง 9 คนด้วยกัน แต่แล้วเราก็ต้องพับโปรเจคเก็บไปก่อนด้วยความขี้เกียจ หรืออะไรหลาย ๆ อย่าง จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงปี 4 เทอม 1 ตอนนั้นใกล้จะปิดเทอมช่วงก่อนปีใหม่ เราก็เลยมาคุยกันว่าถ้าเราขึ้นเทอม 2 แล้ว เราจะต้องทำโปรเจคอย่างไม่มีเวลาหายใจ กว่าเราจะว่างอีกทีก็ตอนเราจบ ซึ่งนั่นคือประมาณกลางปี ถ้าเราจะเที่ยวต้องตอนนี้เลย ไม่มีเวลาอีกแล้ว จึงได้รวบรวมสมัครพักพวกมาได้ทั้งสิ้น 5 คน ฮ่า ๆ ตั้ง 5 คน
ประกอบด้วย
- ผม
- เพื่อนผู้ชาย 1 คน
- เพื่อนผู้หญิงอีก 3 คน
พอปิดเทอมก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เพื่อนทิพย์สาวสวยประจำกลุ่มก็ได้สร้างแชทไว้คุยกัน เราสรุปวันที่สำหรับการผจญภัยนี้ คือ 14-16 มกราคม 2559 เพราะเราเปิดเทอมวันที่ 18 จะได้มีเวลาพักหนึ่งวันเต็ม ๆ (คิดว่าพอมั้ย??) ดังนั้นอยู่ว่าง ๆ ผมก็เลยหาข้อมูลเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติภูกระดึงมาอ่านดู สรุปได้คร่าว ๆ ดังนี้นะครับ
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ตั้งอยู่ที่ อ.ภูกระดึง จ.เลย ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญของประเทศไทย เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าระหว่างเดือน ตุลาคม ถึง พฤษภาคม ของทุกปี โดยไฮไลท์ของที่นี่คือ การเดินขึ้นไปพิชิตยอดบนสุดของภูกระดึง ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเส้นทางมันโคตรจะทรหด ด้วยระยะทางกว่า 9 กิโลเมตรในการเดินจากตีนภูไปถึงจุดบริการนักท่องเที่ยว และยังไม่รวมการเดินจากจุดบริการนักท่องเที่ยวไปชมสถานที่ต่าง ๆ บนยอดภู
แค่คิดก็มันส์ไว้ก่อนแล้วครับพี่น้อง
จนถึงวันเข้าหอพัก ปรากฏว่าเพื่อนผู้ชายมันป่วยเลยไปไม่ได้แล้ว ซวยละสิ เพราะความหวังอยู่ที่ไอ้เพื่อนคนนี้นี่แหละ มันเคยไปเที่ยวภูกระดึงหลายรอบแล้ว เราเลยหวังว่าจะให้มันเป็นไกด์จำเป็นให้ แต่ตอนนี้ต้องตัดมันออกไป เป็นว่าเหลือสมาชิก 4 คน แต่เพื่อนทิพย์คนสวยคนเดิมเลยอาสาชวนแฟนไปด้วย เพราะแฟนมันเคยไปที่ภูกระดึงแล้ว เราก็โอเค
อ้อ ลืมบอกไปครับ เราเรียนกันที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ดังนั้นการไปภูกระดึงก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม เพราะขอนแก่นกับเลยอยู่ไม่ไกลกันมากนั่นเอง
การเตรียมตัว
13 มกราคม 2558
ช่วงเย็นเราไปเดินห้างกัน ตุนเสบียง อยากกินอะไรซื้อ อยากได้อะไรซื้อ จะได้ไม่ไปซื้อบนภู เพราะมันแพง (เป็นอะไรที่คิดผิดที่สุดในชีวิต) ด้วยความที่เพื่อนที่เคยไปแล้วมาบอกว่า น้ำขวดละ 50 บาท ขนมซองละ 30 บาท บลา ๆ ไอ้เราก็ซื้อไปดิ ซื้อไปให้หมด
สรุปรายการซื้อของผม
- เต็นท์ 299 บาท (ผมยังไม่มีเลยซื้อ ใครที่มีเต็นท์อยู่แล้วเอาไปใช้ได้เลยครับ)
- ของกิน + ของใช้ 500 บาท ได้แก่ น้ำเปล่า ขนม ซีเรียล นม มาม่า กระดาษชำระ โลชั่น ฯลฯ
การจัดกระเป๋า
- เสื้อ 3 ตัว ไม่รวมตัวที่ใส่ไป
- กางเกงขายาว 2 ตัว กะใส่ตัวเดิม
- เสื้อแขนยาว ปกติตัวเดียวก็พอครับ แต่ผมบ้าหอบฟางเลยเอาไป 2 ตัว
- กางเกงใน 3 ตัว เฉลี่ยวันละตัว
- ไฟฉาย เพราะกางคืนมันจะมืดมาก
- ขัน + เครื่องอาบน้ำ
- ผ้าเช็ดตัว
- ผ้าเช็ดหน้าสำหรับพาดคอเวลาเดิน
- รองเท้าผ้าใบสำหรับใส่เดิน และรองเท้าแตะสำหรับใส่อาบน้ำ
- แบตสำรอง หูฟัง และสายชาร์ต
รวม ๆ แล้วก็ของที่เราคิดว่าจำเป็นครับ แต่ผมจะเกินจำเป็นไปนิดนึงเพราะชอบเผื่อ รวม ๆ แล้วได้ 2 กระเป๋า คือ กระเป๋าของใช้ และกระเป๋าเสบียง
วันที่ 1
14 มกราคม 2559
04:00 น.
ผมไม่นอนครับ เพราะกลัวไม่ตื่น ถึงเวลาก็ลงไปรอเพื่อนที่ล่างหอ นัดกันตี 4 แล้วก็แว้นไปขึ้นรถที่ บขส 1 ขอนแก่น ไปถึงก็ฝากรถไว้ที่ร้านรับฝาก ประกอบกับรถ ขอนแก่นเมืองเลย มาได้เวลาพอดีก็เลยวิ่งกันทุลักทุเลหน่อย สรุปได้รถเวลาประมาณ 04:30 น.
รถราคา 85 บาท
เนื่องจากมากัน 5 คน ทิพย์ย่อมต้องนั่งกับแฟน เตยกับลูกเกดเป็นคู่โปรเจคกันก็นั่งคู่กันไป หมาสิครับผมเนี่ย นั่งคนเดียวก็ได้ฟระ ผมไม่สบายอยู่แล้วด้วยตอนนั้นเลยกินยาแล้วนอนไปเลย
07:00 น. โดยประมาณ
ผานกเค้า...
ผมตื่นมาเวลาหกโมงเช้านิด ๆ ตอนนี้รถวิ่งอยู่บนถนนที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ บรรยากาศดีสุด ๆ ด้านซ้ายมือก็เป็นภูเขาสูงชัน หรือที่เรียกว่าผานกเค้านั่นแหละครับ ยังกะอยู่ในหนังต่างประเทศ
แล้วรถก็มาจอดที่จุดส่งผู้โดยสาร คือเค้าบอกว่าเราต้องลงตรงนั้น เป็นจุดรถสองแถวและเป็นร้านขายข้าวแกง ขายน้ำ มาม่า แต่ตรงนี้ยังขายราคาปกติอยู่
กินข้าวเช้ากันเสร็จเราก็เหมารถสองแถว ราคาคนละ 30 บาท แต่ต้องได้เต็มคันรถถึงจะออก เราเลยรวมกับกรุ๊ปอื่นเต็มคันพอดี รถสองแถวจะมาส่งที่หน้าอุทยาน แล้วเราก็เข้าไปซื้อตั๋วในอาคาร
ขอเพื่อนแล้วนะว่าจะเอารูปเห็นหน้าลง แต่ขี้เกียจแต่ง+เลือกรูปไม่ปรึกษาใคร
ทีนี้เราต้องจ่ายค่าขึ้นภู คนละ 40 บาท และค่าสถานที่กางเต็นท์ คืนละ 30 บาท เรานอนกันสองคืนก็ 60 บาท จ่ายกันให้เสร็จตั้งแต่ก่อนขึ้น แล้วเขาจะให้ใบเสร็จเรามาเก็บไว้ พร้อมทั้งตั๋วขึ้นภูโดยที่หางตั๋วเราสามารถเก็บเป็นของที่ระลึกได้
ด่านต่อมาคือจุดบริการลูกหาบ ใครที่นำสัมภาระมา ผมขอแนะนำให้จ้างลูกหาบทั้งหมด เอาของติดตัวไปแค่กระเป๋าเงิน โทรศัพท์ ที่ชาร์ตสำรอง และของที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น มิเช่นนั้นท่านจะประสบชะตากรรมเดียวกับผม ดังนี้
อย่างที่ได้บอกทุกคนไปแล้วว่าผมนั้นได้นำสัมภาระมารวมทั้งหมด 2 กระเป๋าใหญ่ ใบแรกเป็นเสื้อผ้าของใช้ เต็นท์ อีกใบเป็นเสบียง (มีน้ำขวดใหญ่ 3 ขวด และอย่างอื่นอีกมากมาย คิดแล้วขนลุก) ผมคิดแล้วคิดอีกว่าจะจ้างเขาหาบดีไหม เพราะค่าหาบคิดตามน้ำหนักคือ กิโลกรัมละ 30 บาท ซึ่งก็แพงเอาเรื่อง
ผมกลับมาคิด ๆ แล้วก็ตัดสินใจเอากระเป๋าเสื้อผ้า กับเต็นท์ไปจ้างเขาหาบ ช่างน้ำหนักได้ 9 กิโลกรัมกับอีก 1 ขีด เจ้าหน้าที่ปัดเป็น 10 กิโลซะงั้น ให้ตายเถอะ แถมต้องเสียค่าตั๋วติดกระเป๋าใบละ 5 บาท หรือ 15 บาทนี่แหละครับ จำไม่ได้แล้ว สรุปคือผมต้องจ่ายทั้งหมด ประมาณ 300 กว่าบาท ในการจ้างลูกหาบขาขึ้น ลูกหาบจะเอาของไปมัด ๆ รวมกันกับไม้ไผ่แล้วแบกใส่บ่าไป ไปเจอกันอีกทีที่จุดพักนักท่องเที่ยวบนภูเลย
เหตุผลที่ผมเลือกที่จะสะพายกระเป๋าของกิน (ราว ๆ 7 กิโลกรัม) ก็เพราะคิดว่าเดินไปกินไปเดี๋ยวมันก็เบา โอเคคิดได้ดังนั้นก็ลุยกันเลย ก่อนขึ้นอู๋ แฟนของเพื่อนทิพย์ (ที่เคยมาภูกระดึงแล้วครั้งนึง) พาไปกราบพระก่อนจะเริ่มเดินทาง
.
.
.
.
ต่อที่คอมเมนต์ด้านล่างนะครับ