เด็กบ้านนอก..
ราสส์ กิโลหก
ผมเป็นเด็กบ้านนอก คือเกิดและเติบโตในจังหวัดที่ห่างไกลจากเมืองหลวง สมัยนั้นเขาเรียกว่าเด็กบ้านนอก ถ้าเป็นเด็กกรุงเทพ เขาเรียกเด็กเมืองกรุงหรือเด็กเทพ(กรุงเทพ) ดูช่างเลิศลอยสวยหรูในสายตาของเด็กบ้านนอก..
สำหรับเด็กที่จังหวัดผม หลายๆคนมีความใฝ่ฝันอยากเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพ แต่ก็เป็นสิ่งที่ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง จะมีที่หัวกระเด็นสามารถเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพได้ไม่กี่คน พวกนี้จะเป็นคนมีฐานะหรือไม่ก็มีญาติพี่น้องมีบ้านอยู่ในกรุงเทพ..
ปีนั้น พ.ศ. 2512 เมื่อจบชั้น ม.ศ. 3 พรรคพวกที่เรียนด้วยกันมา 90 ในร้อยคน จะหาที่เรียนแถวบ้าน เช่นโรงเรียนช่างไม้(สมัยนี้เขาเรียกจนโก้ว่าเทคนิค) หรือไม่ก็ไปเรียนวิชาครู (ป.ก.ศ.) อีกส่วนหนึ่งไม่เรียนต่อกลับไปช่วยพ่อ-แม่ทำนาเพราะความยากจน พวกกลุ่มหลังนี่ ถ้าดีก็ดีจนดังคับจังหวัด ถ้าเลวก็เป็นโจรเป็นเสือติดคุกติดตะรางก็หลายคน..
ส่วนตัวผมนั้น ถือว่าโชคดี เพราะมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ข้างบ้าน พ่อ-แม่ เขาเป็นคนมีเงิน มีร้านค้าไม้ พวกพี่ๆของเขาเรียนเก่ง ระดับที่หนึ่งของอำเภอ ของจังหวัด เข้าไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯกันทุกคน และพ่อ-แม่เช่าบ้านให้ลูกๆอยู่กันเพื่อเรียนหนังสือในกรุงเทพด้วย เพื่อนคนนี้เป็นรุ่นพี่ 3 ปี เล่นกันมาแต่เด็กสนิทกันมาก เป็นเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน เพราะผมไม่เคยเรียกเขาพี่ .เขาจบก่อนผม และเข้าไปเรียนต่อ ระดับ ม.ศ. 4 และสามรถสอบติดโรงเรียนของรัฐบาลในกรุงเทพ และต่อมาก็สอบติดมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงสมัยนั้นได้ไม่ยาก เพราะบ้านนี้หัวดีกันทุกคน คณะที่เขาเลือกเรียนคือคณะวิศวะ(โยธา) สมัยนั้น ถ้าเรียนวิศวะต้องเลือก โยธาเป็นอันดับ 1 มหาวิทยาลัยนี้อยู่แถวสามย่าน...
เขาจะกลับบ้านเดือนละครั้ง ผมมองเขากลับบ้านด้วยความชื่นชม กรุงเทพในความรู้สึกของเด็กบ้านนอก มันเป็นเหมือนวิมานชั้นฟ้าอะไรปานนั้น
วันหนึ่งเขาเอ่ยปากชวนผมไปเรียนต่อที่กรุงเทพ และให้ไปพักที่บ้านเช่าด้วยกัน ผมนั้นดีใจจนเนื้อเต้น รีบกลับบ้านไปบอกยาย ผมอยู่กับยาย ไม่ได้อยู่กับพ่อ-แม่ ตอนแรกยายไม่ให้ไปแกเป็นห่วงเพราะจะอยู่ไกลหูไกลตา นั้นคือความรู้สึกของคนสูงอายุ เพราะแกเลี้ยงผมมาแต่เด็ก แต่ในที่สุดก็ยอมให้ไปเพราะ เพื่อนผมเข้าไปพูดให้เห็นผลดีของการเข้าไปเรียนต่อที่กรุงเทพ ที่สำคัญค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ไม่ต้องเสีย พูดง่ายก็กินอยู่กับเขานั่นแหละ จนยายยอมให้เข้าไปกรุงเทพฯ ที่สำคัญผมต้องหาที่เข้าเรียนให้ได้ ถ้าหาที่เรียนไม่ได้ก็ต้องกลับมาเรียนแถวบ้านเหมือนคนอื่นๆ
เพื่อนตะเวนพาผม ไปหาที่เรียน จนไปได้สมัครสอบที่วิทยาลัยแห่งหนึ่ง ย่านทุ่งมหาเมฆ ถือเป็นวิทยาลัยมีระดับที่เดียว คือถ้าเรียน 3 ปี ก็ได้วุฒิ ป.ว.ช. และเมื่อจบ ปี 3 จะเรียนต่อ ปี 4 ต้องสอบอีก ครั้ง เมื่อจบ 5 ปี จะได้วุฒิ ป.ว.ส. ซึ่งสูงสุดในระดับอาชีวะในสมัยนั้น.
เอาตำราและแนวข้อสอบมานั่ง สอนนั่งติวกัน ดูหนังสืออย่างหนัก ผมนึกเสมอว่าจะต้องสอบให้ได้ แม้จะยากเย็นเต็มที แต่คนเราต้องมีความหวัง
วันไปสอบเพื่อนผมต้องพาไป เพราะผมไปคนเดียวไม่ได้ นั่งรถเมล์ก็ไม่เป็นกลัวหลง เดียวไปไม่ถึง จำไม่ได้ว่าสอบ กี่วัน(47 ปีมาแล้ว)...ตอนเข้าสอบมือไม้สั่น จนแทบจะกาคำตอบไม่ได้ วิชาที่เป็นพระเอกคือคณิตศาสตร์ เพราะมีคะแนนถึง 200 คะแนน วิชาอื่น แค่ 100 ที่สำคัญวิชาคณิตศาสตร์ มีโจทย์มาให้และให้ทำเป็นข้อๆ ไม่มีมาเลือก ก,ข,ค,ง เหมือนวิชาอื่นๆ..
ตอนติวข้อสอบ เราหาโจทย์มาทำกันเป็นร้อยข้อ เพื่อนผมเรียนระดับวิศวะ เขาเก่งคณิตศาสตร์ จนผมได้ความรู้เพิ่มเติมมากมาย..แต่ที่ใจไม่ดีคือภาษาอังกฤษเด็กบ้านนอกภาษาอังกฤษเหมือนยาดำ กินไม่อร่อยทั้งเหม็นทังขม...
พอสอบเสร็จเพื่อนรีบถาม คณิตศาสตร์ ไปได้ดี แต่ภาษาอังกฤษ แย่ ส่วนวิชาอื่น ก็มีวิทยาศาสตร์ และภาษาไทยก็พอได้...ห้าสิบห้าสิบ วัดดวงกัน..
วันประกาศผลสอบ ตื่นเต้นจนนอนแทบไม่ได้หลับๆตื่นๆ กลัวสอบไม่ได้ ต้องกลับบ้านนอก ความหวังคงพังทลาย เพราะผมอยากเป็นเด็กเทพ นึกภาพว่าเวลากลับบ้านเพื่อนฝูงต้องมาล้อมหน้าล้อมหลัง ต้องพากันมองว่า หมอนี่ไปเรียนถึงกรุงเทพ...มันช่างหรูเลิศลอยในความคิดของเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง...
เพื่อนพาไปที่วิทยาลัยแต่เช้า ว่าไปเช้าแล้ว แต่พอไปถึง พวกที่สอบ พากันมาดูผลสอบเต็มไปหมด ที่บริเวณหน้าวิทยาลัย มีสระน้ำขนาดใหญ่ และมีศาลตั้งอยู่ด้วยข้างๆสระ เห็นมีคนเข้าไปไหว้กันมาก ผมจึงบอกเพื่อนว่าอยากไหว้บ้าง ..
คนยังแยะมุงดูที่บอร์ดกันแน่น เราไม่รีบและผมระงับความตื่นเต้นไม่ได้ จึงยังไม่อยากเข้าไปดูตอนนี้ พากันไปนั่งที่ใต้ต้นไม้ไม่ไกลจากศาลมากนัก จึงได้เห็นภาพของผู้ที่เข้ามาดูผลสอบ มันต่างกันราวฟ้ากับดิน ทั้งผิดหวัง ทั้งสมหวัง นี่แหละชีวิต
การสอบครั้งนี้ จากจำนวนผู้เข้ามาสมัครสอบ และจำนวนที่รับ อัตราส่วนประมาณ 1 ต่อ สิบเศษๆเกือบยี่สิบ ความรู้สึกมันกลับไปกลับมา บางครั้งรู้สึกมั่นใจว่าเราทำได้ บางครั้งไม่ไม่มั่นใจกลัวคนอื่นทำได้ดีกว่าเรา คิดไปเรื่อยเปื่อย ..
จนพักใหญ่ๆเพื่อนถามว่าจะไปดูกันหรือยัง..แต่ผมสั่นหน้าบอกว่าขอเวลาอีกสักพักเพราะคนยังแยะอยู่ เราจึงนั่งเล่นกันอยู่ที่เดิม ใต้ต้นไม้ใหญ่ ลมพัดผ่านสระน้ำ น้ำกระเพื่อมเป็นละลอกเข้ากระทบริมบ่อ อากาศเย็นสบาย แต่ในตัวผมร้อนรุ่มจนแทบระเบิด ความคิดเตลิดไปๆมาๆ...คิดว่าถ้าสอบได้จะเป็นยังไง ถ้าสอบไม่ได้จะเป็นยังไง เอ๊ย ..เหนื่อย..
เราแทบไม่ได้คุยกัน มันเครียดนะ ผมนั่งเหม่อลอย มองดูอาคารที่จะเป็นสถานที่เรียน มันช่างใหญ่โต สวยงาม มีนักศึกษาที่เรียนอยู่แล้ว บ้างถือหนังสือ บ้างถืออุปกรณ์การเรียน พวกเขาคงมาทำกิจกรรมบางอย่างกัน เพราะจริงแล้วตอนนี้มันเป็นช่วงปิดเทอม..
ชุดนักศึกษาที่นี่ จะเป็นกางเกงขายาวสีน้ำเงิน เสื้อสีขาว ไม่มีการปักอะไรที่เสื้อ จะมีสัญลักษณ์คือเข็มขัดของวิทยาลัย ที่ระบุว่าเรียนอยู่ที่นี่ ผมนั่งมองพวกเขาเดินกันไปมา ถ้ามากันเป็นกลุ่มจะหัวเราะพุดคุยกัน ด้วยความรื่นเริง น่าสนุกจริงๆ ...
ผมอยากใส่ชุดแบบพวกเขาบ้าง เราจะมีวาสนา รึเปล่าหนอ...
จะไปดูกันได้หรือยัง ...เสียงเพื่อนดังอยู่ข้างๆ ทำเอาผมตื่นจากภวังค์..
"ยังไม่อยากไป..."ผมตอบ
“เอางี้ เราจะไปดูให้แล้วกัน นั่งรออยู่นี่นะ คนซาลงแล้ว” เพื่อนไม่รอคำตอบ เขาเดินออกไปเลย หรือคงรำคาญเจ้าเด็กบ้านนอก ขี้กลัวแบบผม...
ผมมองตามเขาไปแบบไม่ละสายตา มองเขาเดินทุกฝีก้าว จนไปถึงที่บอร์ดประกาศรายชื่อ เห็นเขาเอานิ้วมือไล่ไปตามประกาศที่ติดอยู่ พยายามสังเกตท่าทางว่าจะมีอะไรผิดปกติจากเดิมบ้าง เช่น ยกมือแสดงความดีใจ หรือหยุดชะงัก แล้วหันหลังกลับ ซึ่งแสดงว่า เจอรายชื่อ ผมสอบได้แล้ว
แต่ไม่มีการแสดงอะไรออกมาเลย เขาไล่นิ้วไปเรื่อย จนสุดบอร์ด คงไม่มีรายชื่อผมแน่แล้ว เพื่อนผมหันหน้าเดินกลับมา ไม่มีทีท่าอะไรทั้งนั้น จนมาใกล้ ท่าทางหน้าตาเขาเฉยเมย
“ไม่ติด” ได้ยินแค่คำนี้จากนั้นหูผมอื้อแทบจะดับ ...
วิมานทราย ทะลายลงจนราบเรียบ และละลายหายไปกับน้ำทะเลที่ซัดกระหน่ำเข้ามาอย่างรุนแรง..
**********************************
เรากลับมาบ้านนอกพร้อมกัน ผมคงต้องไปเรียนครูหรือโรงเรียนช่างไม้ใกล้บ้าน...ความผิดหวัง เหมือนหล่นจากฟ้าลงมากลางดินอย่างแรง
“ยาย ผมสอบไม่ได้” ผมบอกยายด้วยเสียงเบาหวิว..พร้อมกับเดินไปที่อื่น..กลับไปสู่บรรยากาศเดิมๆ ไม่ได้เป็นแล้วเด็กเทพ เด็กเทิบอะไร...วาสนาคงไม่มี...
***********************************
หลายวันต่อมาเพื่อนมาที่บ้าน กำลังนั่งคุยกับยาย...
แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเพื่อนผมก็รู้จักยายอยู่แล้ว..
“เดี๋ยวเก็บเสื้อผ้า เอาใบสุทธิไปด้วย” ยายพูด
“ทำไมล่ะ “
“นายสอบติด เราแกล้งนาย” เสียงเพื่อนผมสอดแทรกขึ้นมา
ฟ้าแลบจนสว่างโร่ไปทั้งใบหน้า โอย เสียงสวรรค์หรือนี่...ผมนี่แทบจะวิ่งไปกอดเพื่อนด้วยความหมั่นเขี้ยว
โธ่ เล่นมุขนี้ผมจะโกรธดีมั๊ย นี่....
เด็กบ้านนอก..
ราสส์ กิโลหก
ผมเป็นเด็กบ้านนอก คือเกิดและเติบโตในจังหวัดที่ห่างไกลจากเมืองหลวง สมัยนั้นเขาเรียกว่าเด็กบ้านนอก ถ้าเป็นเด็กกรุงเทพ เขาเรียกเด็กเมืองกรุงหรือเด็กเทพ(กรุงเทพ) ดูช่างเลิศลอยสวยหรูในสายตาของเด็กบ้านนอก..
สำหรับเด็กที่จังหวัดผม หลายๆคนมีความใฝ่ฝันอยากเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพ แต่ก็เป็นสิ่งที่ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง จะมีที่หัวกระเด็นสามารถเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพได้ไม่กี่คน พวกนี้จะเป็นคนมีฐานะหรือไม่ก็มีญาติพี่น้องมีบ้านอยู่ในกรุงเทพ..
ปีนั้น พ.ศ. 2512 เมื่อจบชั้น ม.ศ. 3 พรรคพวกที่เรียนด้วยกันมา 90 ในร้อยคน จะหาที่เรียนแถวบ้าน เช่นโรงเรียนช่างไม้(สมัยนี้เขาเรียกจนโก้ว่าเทคนิค) หรือไม่ก็ไปเรียนวิชาครู (ป.ก.ศ.) อีกส่วนหนึ่งไม่เรียนต่อกลับไปช่วยพ่อ-แม่ทำนาเพราะความยากจน พวกกลุ่มหลังนี่ ถ้าดีก็ดีจนดังคับจังหวัด ถ้าเลวก็เป็นโจรเป็นเสือติดคุกติดตะรางก็หลายคน..
ส่วนตัวผมนั้น ถือว่าโชคดี เพราะมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ข้างบ้าน พ่อ-แม่ เขาเป็นคนมีเงิน มีร้านค้าไม้ พวกพี่ๆของเขาเรียนเก่ง ระดับที่หนึ่งของอำเภอ ของจังหวัด เข้าไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯกันทุกคน และพ่อ-แม่เช่าบ้านให้ลูกๆอยู่กันเพื่อเรียนหนังสือในกรุงเทพด้วย เพื่อนคนนี้เป็นรุ่นพี่ 3 ปี เล่นกันมาแต่เด็กสนิทกันมาก เป็นเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน เพราะผมไม่เคยเรียกเขาพี่ .เขาจบก่อนผม และเข้าไปเรียนต่อ ระดับ ม.ศ. 4 และสามรถสอบติดโรงเรียนของรัฐบาลในกรุงเทพ และต่อมาก็สอบติดมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงสมัยนั้นได้ไม่ยาก เพราะบ้านนี้หัวดีกันทุกคน คณะที่เขาเลือกเรียนคือคณะวิศวะ(โยธา) สมัยนั้น ถ้าเรียนวิศวะต้องเลือก โยธาเป็นอันดับ 1 มหาวิทยาลัยนี้อยู่แถวสามย่าน...
เขาจะกลับบ้านเดือนละครั้ง ผมมองเขากลับบ้านด้วยความชื่นชม กรุงเทพในความรู้สึกของเด็กบ้านนอก มันเป็นเหมือนวิมานชั้นฟ้าอะไรปานนั้น
วันหนึ่งเขาเอ่ยปากชวนผมไปเรียนต่อที่กรุงเทพ และให้ไปพักที่บ้านเช่าด้วยกัน ผมนั้นดีใจจนเนื้อเต้น รีบกลับบ้านไปบอกยาย ผมอยู่กับยาย ไม่ได้อยู่กับพ่อ-แม่ ตอนแรกยายไม่ให้ไปแกเป็นห่วงเพราะจะอยู่ไกลหูไกลตา นั้นคือความรู้สึกของคนสูงอายุ เพราะแกเลี้ยงผมมาแต่เด็ก แต่ในที่สุดก็ยอมให้ไปเพราะ เพื่อนผมเข้าไปพูดให้เห็นผลดีของการเข้าไปเรียนต่อที่กรุงเทพ ที่สำคัญค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ไม่ต้องเสีย พูดง่ายก็กินอยู่กับเขานั่นแหละ จนยายยอมให้เข้าไปกรุงเทพฯ ที่สำคัญผมต้องหาที่เข้าเรียนให้ได้ ถ้าหาที่เรียนไม่ได้ก็ต้องกลับมาเรียนแถวบ้านเหมือนคนอื่นๆ
เพื่อนตะเวนพาผม ไปหาที่เรียน จนไปได้สมัครสอบที่วิทยาลัยแห่งหนึ่ง ย่านทุ่งมหาเมฆ ถือเป็นวิทยาลัยมีระดับที่เดียว คือถ้าเรียน 3 ปี ก็ได้วุฒิ ป.ว.ช. และเมื่อจบ ปี 3 จะเรียนต่อ ปี 4 ต้องสอบอีก ครั้ง เมื่อจบ 5 ปี จะได้วุฒิ ป.ว.ส. ซึ่งสูงสุดในระดับอาชีวะในสมัยนั้น.
เอาตำราและแนวข้อสอบมานั่ง สอนนั่งติวกัน ดูหนังสืออย่างหนัก ผมนึกเสมอว่าจะต้องสอบให้ได้ แม้จะยากเย็นเต็มที แต่คนเราต้องมีความหวัง
วันไปสอบเพื่อนผมต้องพาไป เพราะผมไปคนเดียวไม่ได้ นั่งรถเมล์ก็ไม่เป็นกลัวหลง เดียวไปไม่ถึง จำไม่ได้ว่าสอบ กี่วัน(47 ปีมาแล้ว)...ตอนเข้าสอบมือไม้สั่น จนแทบจะกาคำตอบไม่ได้ วิชาที่เป็นพระเอกคือคณิตศาสตร์ เพราะมีคะแนนถึง 200 คะแนน วิชาอื่น แค่ 100 ที่สำคัญวิชาคณิตศาสตร์ มีโจทย์มาให้และให้ทำเป็นข้อๆ ไม่มีมาเลือก ก,ข,ค,ง เหมือนวิชาอื่นๆ..
ตอนติวข้อสอบ เราหาโจทย์มาทำกันเป็นร้อยข้อ เพื่อนผมเรียนระดับวิศวะ เขาเก่งคณิตศาสตร์ จนผมได้ความรู้เพิ่มเติมมากมาย..แต่ที่ใจไม่ดีคือภาษาอังกฤษเด็กบ้านนอกภาษาอังกฤษเหมือนยาดำ กินไม่อร่อยทั้งเหม็นทังขม...
พอสอบเสร็จเพื่อนรีบถาม คณิตศาสตร์ ไปได้ดี แต่ภาษาอังกฤษ แย่ ส่วนวิชาอื่น ก็มีวิทยาศาสตร์ และภาษาไทยก็พอได้...ห้าสิบห้าสิบ วัดดวงกัน..
วันประกาศผลสอบ ตื่นเต้นจนนอนแทบไม่ได้หลับๆตื่นๆ กลัวสอบไม่ได้ ต้องกลับบ้านนอก ความหวังคงพังทลาย เพราะผมอยากเป็นเด็กเทพ นึกภาพว่าเวลากลับบ้านเพื่อนฝูงต้องมาล้อมหน้าล้อมหลัง ต้องพากันมองว่า หมอนี่ไปเรียนถึงกรุงเทพ...มันช่างหรูเลิศลอยในความคิดของเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง...
เพื่อนพาไปที่วิทยาลัยแต่เช้า ว่าไปเช้าแล้ว แต่พอไปถึง พวกที่สอบ พากันมาดูผลสอบเต็มไปหมด ที่บริเวณหน้าวิทยาลัย มีสระน้ำขนาดใหญ่ และมีศาลตั้งอยู่ด้วยข้างๆสระ เห็นมีคนเข้าไปไหว้กันมาก ผมจึงบอกเพื่อนว่าอยากไหว้บ้าง ..
คนยังแยะมุงดูที่บอร์ดกันแน่น เราไม่รีบและผมระงับความตื่นเต้นไม่ได้ จึงยังไม่อยากเข้าไปดูตอนนี้ พากันไปนั่งที่ใต้ต้นไม้ไม่ไกลจากศาลมากนัก จึงได้เห็นภาพของผู้ที่เข้ามาดูผลสอบ มันต่างกันราวฟ้ากับดิน ทั้งผิดหวัง ทั้งสมหวัง นี่แหละชีวิต
การสอบครั้งนี้ จากจำนวนผู้เข้ามาสมัครสอบ และจำนวนที่รับ อัตราส่วนประมาณ 1 ต่อ สิบเศษๆเกือบยี่สิบ ความรู้สึกมันกลับไปกลับมา บางครั้งรู้สึกมั่นใจว่าเราทำได้ บางครั้งไม่ไม่มั่นใจกลัวคนอื่นทำได้ดีกว่าเรา คิดไปเรื่อยเปื่อย ..
จนพักใหญ่ๆเพื่อนถามว่าจะไปดูกันหรือยัง..แต่ผมสั่นหน้าบอกว่าขอเวลาอีกสักพักเพราะคนยังแยะอยู่ เราจึงนั่งเล่นกันอยู่ที่เดิม ใต้ต้นไม้ใหญ่ ลมพัดผ่านสระน้ำ น้ำกระเพื่อมเป็นละลอกเข้ากระทบริมบ่อ อากาศเย็นสบาย แต่ในตัวผมร้อนรุ่มจนแทบระเบิด ความคิดเตลิดไปๆมาๆ...คิดว่าถ้าสอบได้จะเป็นยังไง ถ้าสอบไม่ได้จะเป็นยังไง เอ๊ย ..เหนื่อย..
เราแทบไม่ได้คุยกัน มันเครียดนะ ผมนั่งเหม่อลอย มองดูอาคารที่จะเป็นสถานที่เรียน มันช่างใหญ่โต สวยงาม มีนักศึกษาที่เรียนอยู่แล้ว บ้างถือหนังสือ บ้างถืออุปกรณ์การเรียน พวกเขาคงมาทำกิจกรรมบางอย่างกัน เพราะจริงแล้วตอนนี้มันเป็นช่วงปิดเทอม..
ชุดนักศึกษาที่นี่ จะเป็นกางเกงขายาวสีน้ำเงิน เสื้อสีขาว ไม่มีการปักอะไรที่เสื้อ จะมีสัญลักษณ์คือเข็มขัดของวิทยาลัย ที่ระบุว่าเรียนอยู่ที่นี่ ผมนั่งมองพวกเขาเดินกันไปมา ถ้ามากันเป็นกลุ่มจะหัวเราะพุดคุยกัน ด้วยความรื่นเริง น่าสนุกจริงๆ ...
ผมอยากใส่ชุดแบบพวกเขาบ้าง เราจะมีวาสนา รึเปล่าหนอ...
จะไปดูกันได้หรือยัง ...เสียงเพื่อนดังอยู่ข้างๆ ทำเอาผมตื่นจากภวังค์..
"ยังไม่อยากไป..."ผมตอบ
“เอางี้ เราจะไปดูให้แล้วกัน นั่งรออยู่นี่นะ คนซาลงแล้ว” เพื่อนไม่รอคำตอบ เขาเดินออกไปเลย หรือคงรำคาญเจ้าเด็กบ้านนอก ขี้กลัวแบบผม...
ผมมองตามเขาไปแบบไม่ละสายตา มองเขาเดินทุกฝีก้าว จนไปถึงที่บอร์ดประกาศรายชื่อ เห็นเขาเอานิ้วมือไล่ไปตามประกาศที่ติดอยู่ พยายามสังเกตท่าทางว่าจะมีอะไรผิดปกติจากเดิมบ้าง เช่น ยกมือแสดงความดีใจ หรือหยุดชะงัก แล้วหันหลังกลับ ซึ่งแสดงว่า เจอรายชื่อ ผมสอบได้แล้ว
แต่ไม่มีการแสดงอะไรออกมาเลย เขาไล่นิ้วไปเรื่อย จนสุดบอร์ด คงไม่มีรายชื่อผมแน่แล้ว เพื่อนผมหันหน้าเดินกลับมา ไม่มีทีท่าอะไรทั้งนั้น จนมาใกล้ ท่าทางหน้าตาเขาเฉยเมย
“ไม่ติด” ได้ยินแค่คำนี้จากนั้นหูผมอื้อแทบจะดับ ...
วิมานทราย ทะลายลงจนราบเรียบ และละลายหายไปกับน้ำทะเลที่ซัดกระหน่ำเข้ามาอย่างรุนแรง..
**********************************
เรากลับมาบ้านนอกพร้อมกัน ผมคงต้องไปเรียนครูหรือโรงเรียนช่างไม้ใกล้บ้าน...ความผิดหวัง เหมือนหล่นจากฟ้าลงมากลางดินอย่างแรง
“ยาย ผมสอบไม่ได้” ผมบอกยายด้วยเสียงเบาหวิว..พร้อมกับเดินไปที่อื่น..กลับไปสู่บรรยากาศเดิมๆ ไม่ได้เป็นแล้วเด็กเทพ เด็กเทิบอะไร...วาสนาคงไม่มี...
***********************************
หลายวันต่อมาเพื่อนมาที่บ้าน กำลังนั่งคุยกับยาย...
แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเพื่อนผมก็รู้จักยายอยู่แล้ว..
“เดี๋ยวเก็บเสื้อผ้า เอาใบสุทธิไปด้วย” ยายพูด
“ทำไมล่ะ “
“นายสอบติด เราแกล้งนาย” เสียงเพื่อนผมสอดแทรกขึ้นมา
ฟ้าแลบจนสว่างโร่ไปทั้งใบหน้า โอย เสียงสวรรค์หรือนี่...ผมนี่แทบจะวิ่งไปกอดเพื่อนด้วยความหมั่นเขี้ยว
โธ่ เล่นมุขนี้ผมจะโกรธดีมั๊ย นี่....