[CR] * * * รีวิวน้ำมันเบรค ATE SL.6 / Super Racing และ Dixcel DOT 5.1 * * *

รู้ตัวตอนบ่ายแก่ๆ ของวันเสาร์ ว่า ต้อง service ระบบเบรคของรถอย่างเร่งด่วน, น้ำมันเบรค ก็ไม่มีเหลือติดบ้าน, แถม ณ ตอนนั้นก็อยู่ ปราจีนบุรี ซะด้วยสิ จะไปหา ATE Super Blue Racing จากใครล่ะนั่น เพราะพรุ่งนี้ก็วันอาทิตย์

คิดไป คิดมา ก็นึกขึ้นได้ว่า มีคนขายน้ำมันเบรค Dixcel อยู่นี่นา วิ่งไปซื้อที่บ้านได้เลย ... ก็เลยได้มาเป็นข้อมูลมาแบ่งปันครับ

.............................

ถ้ามีคนมาถามคุณว่า ... น้ำมันเบรค ยี่ห้อนี้ รุ่นนั้น ฟิลลิ่งในการเหยียบ มันเป็นยังไง ? คุณจะว่า เค้า "บ้า" หรือป่าวครับ ?

หลายคนอาจจะว่า "บ้า" แต่หลายคนที่ใช้รถ ใช้เบรคมาเยอะ ก็จะทราบดีว่า มันแตกต่าง แต่จะต่างกันแค่ไหน ? ต่างอย่างไร ? แล้ว เลือกแบบไหนดี ? ... เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง เอาแบบอ่านง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ นะครับ

รู้จักน้ำมันเบรค

น้ำมันเบรค เป็นของเหลว ที่ทำหน้าที่ถ่ายแรงจากเท้าคุณผ่านชุดหม้อลมเบรค / แม่ปั๊มเบรค ส่งผ่านแรงทั้งหมด ไปยังล้อทั้งสี่ เพื่อให้ชุดเบรคทำงานครับ

น้ำมันเบรค มีสัก 3 สูตร แต่โดยปกติที่เจอ จะมี 2 สูตร คือ

1. Glycol base ... อันนี้คือ น้ำมันเบรค ที่เป็นเกรด DOT 3 / DOT 4 และ DOT 5.1
2. Silicone base ... อันนี้คือ น้ำมันเบรค ที่เป็นเกรด DOT 5

น้ำมันเบรค ในข้อ 1 และ 2 ผสมกันไม่ได้เด็ดขาด และ ในรถบ้าน ใช้งานทั่วไป ก็ห้ามใช้ น้ำมันเบรค DOT 5 โดยเด็ดขาด ครับ ... คุณสมบัติของ DOT 5 คือ ทนความร้อนสูงมาก จากการที่ใช้ Base Oil เป็น ซิลิโคน ครับ แต่ข้อเสีย อันใหญ่หลวงของมัน ก็คือ มันไม่รวมตัวกับน้ำ แถมยัง ลอยอยู่เหนือน้ำ ด้วยครับ

ฉะนั้น หากมี น้ำ แค่เพียงนิด (ความชื้นในอากาศ) น้ำก็จะไหลไปกอง แถมลูกสูบเบรค นั่น ส่งผลให้ ชิ้นส่วนในคาลิปเปอร์ เกิดสนิม และ การกัดกร่อน ขึ้นได้ครับ

มาตรฐานของน้ำมันเบรค

มาตรฐานของน้ำมันเบรค ถูกคุมด้วย มาตรฐาน DOT โดยมีค่าที่ใช้ควบคุม และ แบ่งเกรดของน้ำมันเบรค อยู่ 3 - 4 ค่า คือ

1. Dry Boiling Temp .. หรือ จุดเดือดแห้ง แปลอีกทีว่า ถ้าน้ำมันเบรคใหม่ๆ ที่ไม่มีความชื้นเข้ามาผสม จะมีจุดเดือดเท่าไหร่ ?

2. Wet Boiling Temp .. หรือ จุดเดือดชื้น แปลอีกทีว่า ถ้าน้ำมันเบรคที่ผ่านการใช้งานไปสักระยะ มีความชื้นเข้ามาผสม (วัดที่มีน้ำเข้ามาผสม 3.7%) จุดเดือดจะเหลือเท่าไหร่ ?

3. Viscosity .. หรือค่าความหนืด ซึ่งจะวัดที่ 2 อุณหภูมิคือ -40 องศาเซลเซียส และ 100 องศาเซลเซียส หน่วยเป็น mm2 / s หรือ ย่อๆว่า cSt .. ปกติ จะสนแต่ ค่าความหนืดที่อุณหภูมิ -40 องศา นะครับ

โดย
ค่ามาก ก็แปลว่า น้ำมันเบรค หนืด การตอบสนองก็จะช้าหน่อย ออกแนวแน่นๆเท้า ไปจนถึง ทื่อ
ค่าน้อย ก็แปลว่า น้ำมันเบรค ใส การตอบสนองก็จะรวดเร็วทันใจ แตะปุ๊บ ส่งแรงไปยังชุดเบรคให้ทำงานปั๊บเลย

4. Ph .. ค่าความเป็นกรด / ด่าง อันนี้ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก

ซึ่งการแบ่งเกณฑ์มาตรฐานของน้ำมันเบรค ก็จะมีดังตารางด้านล่างนี้ครับ



แล้วเลือกแบบไหนดี ?

1. ดูการใช้งานของตัวเอง / ดูสเปคผู้ผลิต ... ขับรถธรรมดาทั่วไป ค่อยๆละเมียดเบรค ไม่เคยเบรคแรง ผ้าเบรคก็ของโรงงาน อันนี้เบิกน้ำมันเบรคศูนย์ หรือ เกรดมาตรฐานตามที่ผู้ผลิตรถกำหนด ก็จบ ครับ ง่ายดี

2. แต่ถ้าเป็นพวกใส่ใจ สนใจระบบเบรค ใส่ผ้าเบรคเกรดสูงขึ้น ต้องการเบรคที่คุมได้ทุกสถานการณ์ อันนี้ก็มาสนใจ ใส่ใจ ในการเลือกน้ำมันเบรคสักหน่อยครับ

คนกลุ่มนี้ แน่นอนครับ เลือกเกรดก่อน นั่นคือ DOT 4 หรือ 5.1 (พวกนี้ ใส่แทนของเดิม จากโรงงานได้ทั้งหมด) ถ้าขับโหด เลือกที่ทนร้อนสูงสักหน่อยครับ เผื่อไว้นิด แต่ถ้าส่วนตัว ถ้าไม่ได้เอารถลงแข่ง พวกน้ำมันเบรค ที่ทนอุณหภูมิระดับเกิน 300 องศา ไม่ต้องไปสนใจเค้าหรอกครับ ผมว่า เกินความจำเป็น (ขับลงเขา จน ผ้าเบรค 900 องศา ควันออกล้อ ยังไม่เห็นน้ำมันเบรค ที่ทนได้ 200 กว่าองศามันเดือดเลยครับ)

ตามด้วย เรื่องของค่าความหนืด อันนี้เป็นเรื่องของฟิลลิ่ง ครับ ถ้าส่วนตัวผมนะ ... ผมจะดูนิสัยเบรคเดิมของรถผมก่อน เช่น

เดิมเบรคจับช้าไปหน่อย ต้องออกแรงกดเยอะ ... แบบนี้ ผมก็มักจะเลือกน้ำมันเบรค ที่มีค่าความหนืดต่ำ มันก็จะตอบสนองไวขึ้น ขับสนุกขึ้น

หรือ

เดิมจับไวอยู่แล้ว อยากให้มันเฉื่อยลงนิด แน่นขึ้นหน่อย ... แบบนี้ ผมก็มักจะเลือกน้ำมันเบรค ที่มีค่าความหนืดสูง ก็จะได้แป้นที่แน่นขึ้น คุมได้ง่ายขึ้นครับ

........................

พอเห็นภาพแล้วใช่ไหม ทีนี้ มารีวิว น้ำมันเบรคกัน ซึ่งประกอบด้วย ATE SL.6 / ATE Super Blue Racing และ Dixcel DOT5.1

ทั้งหมดนี้ ลองในรถคันเดียวกัน คือ HONDA CR-V G3 กับ ชุดเบรค Dixcel ทั้งหมด (จาน Type SD หน้าหลัง, ผ้าเบรค Type X หน้าหลัง)





อ่านสเปคกันก่อน

1. ค่า Dry Boiling Point ... Super Blue ทนร้อนสุดที่ 280 องศา / Dixcel รองลงมาด้วย 269 องศา / SL.6 ต่ำสุดด้วย 265 องศา

2. ค่า Wet Boiling Point ... Super Blue ทนร้อนสุดที่ 198 องศา / Dixcel ตามติดด้วย 187 องศา / SL.6 ต่ำสุดด้วย 175 องศา

3. ค่าความหนืดที่ -40 องศา ... Super Blue 1,400 cSt / Dixcel 810 cSt / SL.6 700 cSt

4. มาตรฐาน DOT ...

Super Blue ค่าจุดเดือดผ่านมาตรฐาน DOT 5.1 ไปไกลครับ แต่ได้ DOT 4 เพราะค่าความหนืด มากเกินไป
SL.6 ค่าจุดเดือดแห้ง กับ ค่าความหนืด ผ่านมาตรฐาน DOT 5.1 ไปไกล แต่ได้ DOT 4 เพราะค่าจุดเดือดชื้นต่ำกว่ามาตรฐาน DOT 5.1
Dixcel อันนี้ผ่านมาตรฐาน DOT 5.1 ทั้งหมด แต่จุดเดือด และ จุดเดือดชื้น ด้อยกว่า Super Blue

มาถึง ฟิลลิ่ง ของแต่ละตัวมั่ง

1. ATE SL.6

ด้วยค่าความหนืดที่ต่ำสุด แน่นอนครับ มันตอบสนองไวมาก ไวแบบกระดิกเท้าเป็นหัวทิ่ม ... ไวเหมือนคุณขับ City โฉมที่แล้ว จนชิน แล้วอยู่ดีๆ มีคนให้มาขับ Vios โฉมที่แล้ว แบบที่คุณไม่เคยขับมาก่อน คุณจะเจอกับอาการเบรคเดิมๆโรงงานของ Vios ตัวนั้น แบบเดียวกับน้ำมันเบรคตัวนี้นำเสนอให้ น่ะครับ

น้ำมันเบรคตัวนี้ ตอบสนองไว จนผมที่เป็นคนขับ เวียนหัวเอง ล่ะครับ อาจจะด้วย ชุดเบรคผม ที่ มันไวกว่าปกติมากๆ อยู่แล้ว มาเจอน้ำมันเบรคตัวนี้อีก ก็เลยเกินปกติไปสักหน่อย อีกอย่าง ที่ไม่ชอบก็คือ มันทำให้ผม คุมน้ำหนักเท้าได้ยากครับ สะกิดเป็นจับ ก็แตะเบาๆ  แต่พอมาเร็ว แตะด้วยน้ำหนักที่ Linear ขึ้นมา ดันไม่อยู่ซะนี่ กลับต้องกดเบรคหนักขึ้น อะไรแบบนี้น่ะครับ

ตัวนี้ผมทนใช้ได้สัก 3 เดือน ก็ถ่ายทิ้งครับ ... ลิตรนึงไม่แพง ไม่เกิน 500 บาทมังครับ

น้ำมันตัวนี้ น่าจะมีประโยชน์กับพวกรถที่เบรคทื่อๆหน่อย ครับ

2. ATE Super Blue Racing



อดีตขวัญใจของผมตัวนึงเลยล่ะ ด้วยความหนืดที่มากสักหน่อย ทำให้มันจับไม่ไว นิสัยเค้า ออกแนวแน่นๆเท้า จับช้าเล็กน้อย ดูดเท้านิดหน่อย ที่ชอบก็เพราะ มันทำให้ผมคุมน้ำหนักที่ใช้ในการเบรคได้ดีครับ ยิ่งกับรถที่ไม่มี ABS การคุมน้ำหนักเบรค เพื่อเบรคให้ล้อไม่ล็อค จะทำได้ดีมากๆ (ผมใส่ แมงกะไซค์ ที่บ้านด้วย)

ราคาแถวๆลิตรละ 1,000 บาท บวกลบ

3. Dixcel DOT 5.1



ของแปลก ของใหม่ เพิ่งได้ลอง ดูจากสเปคความหนืดแล้ว น่าจะไว แต่พอลองใช้งานจริง ... นิสัยเค้าไวกว่า Super Blue สักเล็กน้อย อยู่ในระดับกำลังดีสำหรับผม ส่วนแป้นเบรค เหมือนเบาเท้าขึ้น ความแน่นลดลง แต่ยังคุมน้ำหนักในการเบรคได้ดีเหมือนเดิม

ราคาแถวๆลิตรละ 1,000 บาท บวกลบ

บทสรุป

ถ้ากับชุดเบรครถผม ณ ตอนนี้ ผมพอใจ Dixcel DOT 5.1 มากที่สุด ไวเท้าดี แต่ยังคุมน้ำหนักเบรคได้ง่าย หัวไม่ทิ่ม ไม่เวียนหัว

แต่กับ คันอื่น ถ้าอยากลอง ต้องถามตัวเองว่า ที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน มันเป็นยังไง อยากให้เบรค ไวขึ้น หรือ ช้าลง แล้วค่อยไปเลือกน้ำมันเบรคแต่ละตัวครับ

ยกตัวอย่าง Mazda 2 ที่ผมใส่ Dixcel ES ในล้อหน้า ส่วนล้อหลังเป็นดรัม โรงงาน .. คันนั้น ใส่ ATE Super Blue Racing กับ คนที่ขับ รถที่เบรคไวๆมาก่อน ส่วนตัวผมว่า มันช้าไปหน่อย ถ้าต้องเลือกน้ำมันเบรค อีกครั้ง ผมจะลอง ATE SL.6 หรือ Dixcel 5.1 ครับ น่าจะทำให้รถที่เบรคเฉื่อยๆ กลับมาไวขึ้นได้ ในระดับที่น่าพอใจครับ

ลองดูครับ ไหนๆรถหลายคัน ก็ลงทุนกับระบบเบรคไปมากมาย ทั้งผ้าเทพ คาลิปเปอร์เทพ อย่ามาตกม้าตาย ด้วยการใช้น้ำมันเบรคธรรมดา เกรดมาตรฐานเลยครับ ทำทั้งที เสียเวลาเลือก / อ่านสเปคนิดนึง มันจะได้ ได้ของ ได้ประสิทธิภาพและการตอบสนอง ที่ตรงใจเราครับ
ชื่อสินค้า:   ATE / Dixcel
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่