"Train to Busan" อย่างที่ทราบกันนะครับว่าธีมหลักของหนังมันจะเป็น "หนังซอมบี้" และเป็นซอมบี้ที่วิวัฒนาการถึงขีดสุดแล้วซะด้วยนะ เพราะซอมบี้ในหนังไม่ใช่แค่วิ่งเร็ว แต่อาจจะเรียกได้ว่าพวกมันพยายาม "กระโจน" เข้าใส่เหยื่ออย่างหิวกระหายเลยก็ได้ ลองคิดเล่นๆว่าถ้าผมต้องอยู่ในสถานการณ์แบบในเรื่อง ผมก็คงนอนนิ่งๆให้มันมากัดแต่โดยดี เพราะไม่รู้ว่าวิ่งหนีไปแล้วจะวิ่งหนีมันรอดรึเปล่า แม่มวิ่งเร็วยังกะนักวิ่งโอลิมปิค ฮ่าๆๆ ..แต่ก็นั่นแหละครับ ด้วยความเป็นหนังสัญชาติเกาหลีใต้ เค้าก็คงไม่ได้แค่จะเล่าถึงแต่ซอมบี้อยู่แล้ว เค้ายังยัดเอาความดราม่าที่หนักหน่วงจนถึงขนาดที่ว่าถ้าใครจิตอ่อนหน่อยนี่จะต้องน้ำตาแตกทั้งเรื่องได้แน่นอน ซึ่งผมชอบนะ เพราะเอาจริงๆผมไม่ค่อยถูกจริตกับหนังซอมบี้หรือแนวแบบต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอดแบบนี้เท่าไร เพราะทุกอย่างมันดูจะเดาทางได้หมดว่ามันวิ่งๆไปสุดท้ายตัวเอกแม่มก็รอดอยู่ดี แต่พอเป็นหนังเรื่องนี้แล้วบอกตรงๆว่าผมเดาไม่ได้เลยครับ เพราะเพื่อความดราม่าแล้ว พี่เกาหลีแกทำได้ทุกอย่างจริงๆ นึกจะฆ่าใครเพื่อความดราม่าพี่แกก็ทำ
สิ่งที่ดึงความสนใจของผมให้อยากดูหนังเรื่องนี้มันเริ่มมาตั้งแต่พล็อตเรื่องเลยครับ เพราะด้วยเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นในขบวนรถไฟ หนึ่งเลยคือมันหนีไปไหนไม่ได้ มันมีแต่ซ่อนตัวและเผชิญหน้าต่อสู้เท่านั้น แล้วพอมันเป็นหนัง ผมเชื่ออยู่แล้วว่ามันต้องมีเหตุการณ์อะไรซักอย่างเพื่อให้กลุ่มพระเอกจำเป็นต้องวิ่งฝ่าฝูงซอมบี้เพื่อไปช่วยเหลือใครซักคนอยู่แล้ว และความลุ้นระทึกต่างๆ บวกกับความดราม่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันก็มาจากการที่ต้องวิ่งฝ่าฝูงซอมบี้นี่แหละ ซึ่งบอกเลยว่ามันเป็นการวางจังหวะได้ถูกที่ถูกเวลามาก ทั้งการเล่าเรื่อง การลำดับภาพ และการใช้เสียงดนตรี มันพอดีมากๆที่เราจะรู้สึกตามไปกับตัวละครในเรื่อง ผมนั่งดูนี่แทบนั่งไม่ติดเก้าอี้เพราะมันได้ลุ้นตลอด พอลุ้นเสร็จหนังเค้าก็ไม่ปล่อยให้เราหายใจหายคอได้สะดวกเท่าไร เพราะเค้าก็ยัดเอาความดราม่าเข้ามาให้เราสะเทือนใจแทบจะในทันที แล้วมันก็สลับกันอยู่แบบนี้อ่ะครับทั้งเรื่อง คือลุ้นระทึกกับการหนีซอมบี้ สลับกับสะเทือนใจกับดราม่าของตัวละครในเรื่อง และเป็นหนังที่(ในรอบที่ผมดู)ทั้งโรงพร้อมใจกันร้อง "เxี้ย" ร้อง "เฮ้ย" ในจังหวะที่พร้อมกันตลอด
อีกอย่างที่ผมชอบในหนังเรื่องนี้คือความกล้าเล่นของเค้า มันทำให้เราเดาทางหนังไม่ถูกเลยว่าใครจะเหลือรอดบ้าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ใครจะไปคิดว่าหนังมันจะกล้าฆ่าตัวละครเด่นๆตายเรียบ เข้าใจนะครับว่าต้องมีตัวละครหลักตายแน่นอนเพื่อจุดพีคของหนัง แต่ก็ไม่คิดว่าหนังเค้าจะฆ่าล้างบางขนาดนั้น คือเริ่มตั้งแต่ลุงอ้วนโดนกัด อันนั้นเข้าใจได้ เพราะผมคิดไว้แล้วว่าคนนี้ต้องตายแน่นอน องค์ประกอบมันเหมาะที่จะทำให้เกิดดราม่าได้ ทั้งเมียท้อง ทั้งนิสัยห้าวๆ ห่ามๆ แต่รู้จักช่วยเหลือคนอื่น ผมเดาไว้แล้วว่าลุงอ้วนนี่แหละที่จะทำให้พระเอกรู้จักเสียสละให้คนอื่นบ้าง และก็จริง พอลุงอ้วนโดนกัดก็ได้ดราม่าไปหนึ่งลูกใหญ่ แต่มันแค่ลูกแรกเท่านั้น มันยังไม่หมด คนที่ผมคิดว่าตายแน่ๆอีกคนคือป้าแก่สองพี่น้อง คิดไว้แล้วว่าต้องมีคนใดคนนึงโดนกัดแน่นอน ซึ่งก็เป็นจริงอีกเหมือนกัน มาถึงคนที่ผมคิดว่าไม่น่าตายบ้างนะครับ คนแรกคือคู่รักนักเรียน ซึ่งผู้หญิงนี่ถ้าจำไม่ผิดนี่น่าจะเป็นไอดอลวันเดอร์เกิร์ล คิดว่ายังไงคู่นี้ต้องไม่ตาย เพราะตามสูตรสำเร็จแล้วถ้ามีคู่รักที่เปิดเรื่องมาว่าไม่ได้รักกันแบบนี้ สุดท้ายน่าจะต้องอยู่รอดเพื่อจะได้รักกันสิ แถมนักแสดงยังเป็นไอดอลชื่อดัง หนังมันไม่น่าใจร้ายขนาดเอาศิลปินมาให้ซอมบี้กัดเล่นหรอก แต่เรื่องนี้เค้าฆ่าครับ ได้ดราม่าไปอีก 1 ดอก พร้อมกับเสียง "เxี้ย" ลั่นโรง ฮ่าๆๆ อีกคนนึงที่ผมไม่คิดว่าจะตายเหมือนกันคือลุง Homeless คนนั้น คิดว่าถ้าตัวละครมาทรงนี้ สุดท้ายต้องเป็นฮีโร่ช่วยเหลือคนอื่นและอยู่รอดร่วมกับคนอื่นเหมือนกัน แต่เปล่าครับ แกกลายเป็นฮีโร่จริง แต่ไม่รอด ได้ดราม่าพร้อมเสียงสะอื้นเบาๆจากคนนั่งข้างผมไปอีกดอก พอคนนี้ตาย ผมเริ่มไม่ไว้ใจหนังแล้วครับว่าจะฆ่าใครอีกเพื่อความดราม่า ผมเริ่มลุ้นไปกับทุกตัวละครว่าใครจะอยู่หรือไป และสุดท้าย คนที่ผมไม่คิดว่าจะตายที่สุด และเชื่อว่าทุกคนที่ไปดูก็ไม่น่าจะคิดว่าหนังจะฆ่าเค้าได้ นั่นคือพระเอกครับ นี่มันหนังประเภทไหนกันที่เอาพระเอกมาฆ่า!!!! ตอนพระเอกโดนกัดนี่ทั้งโรงร้อง "เฮ้ย" ผสมกับ "เxี้ย" ดังมาก(มีเสียงอุทานเป็นภาษาเกาหลีด้วย เพราะรอบที่ผมดูเป็นภาษาเกาหลี คนเกาหลีก็มาดูกันเยอะ) เอาจริงๆผมก็มีแอบคิดนะครับว่าพระเอกมันน่าจะต้องมีเลือดเป็นสารต้านเชื้อซอมบี้รึเปล่า มันเป็นพระเอกนะเฮ้ย มันน่าจะต้องรอดสิ ฮ่าๆๆ ..แต่คิดไปคิดมามันก็โอเคนะครับที่หนังมันปล่อยให้จบไปแบบนั้น เพราะถ้าพระเอกไม่ตาย มันต้องมีเรื่องต่อไปอีกว่าพระเอกจะทำยังไงที่ตัวเองเป็นต้นเหตุของเรื่อง คือมันน่าจะมีเรื่องต่อยืดยาวอ่ะครับ ปล่อยให้ตายไปซะ ดราม่าดอกเดียวใหญ่ๆแล้วจบเลย ซึ่งพอพระเอกตายแล้วผมก็เลิกไว้ใจหนังอย่างสิ้นเชิงอ่ะครับ นั่งดูไปก็ระแวงไปว่าแม่มจะฆ่าให้หมดเลยมั้ย ซีนสุดท้ายนี่บีบหัวใจมาก เพราะนึกว่าจะไม่เหลือใครรอดแล้ว ฮ่าๆๆ

อีกสิ่งหนึ่งที่หนังสอดแทรกมาให้เราเห็นตั้งแต่ต้นจนจบเลยก็คือเรื่องของครอบครัวครับ หนังเริ่มเรื่องด้วยการที่พระเอกจำใจจะต้องไปส่งลูกสาวเพื่อไปหาภรรยาเก่าที่ปูซานโดยการโดยสารรถไฟ ที่ผมใช้คำว่า "จำใจ" เพราะเอาจริงๆพระเอกไม่สนิทกับลูกเลย แต่ไม่ใช่ว่าเค้าไม่รักลูกของเค้านะครับ แต่ด้วยหน้าที่การงาน ภาระความรับผิดชอบ มันทำให้เค้าละเลยที่จะใส่ใจความรู้สึกของลูกสาว ระยะห่างระหว่างเค้ากับลูกสาวจึงค่อยๆห่างกันมากขึ้นๆ จนถึงวันที่ลูกสาวจะไปหาแม่ เพื่อไปฉลองวันเกิดด้วยกันที่ปูซาน เพราะความน้อยใจที่สะสมมาเรื่อยๆ ด้วยอารมณ์ของเด็กอ่ะครับ ที่ยังไม่เข้าใจภาระหน้าที่ของผู้ใหญ่ ก็แค่ต้องการให้พ่อสนใจเธอบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้อยู่แต่กับย่าแบบนั้น เธอเลยยื่นคำขาดให้พ่อของเธอว่าถ้าจะไปปูซานก็ต้องเป็นวันนี้เท่านั้น ถ้าพ่อไม่ไปด้วย เธอก็จะนั่งรถไฟไปของเธอเอง พระเอกจึงต้องจำใจยอมไปส่งเพราะเป็นห่วงลูก ทั้งที่จริงๆแล้วตัวเองก็ยังมีงานที่ต้องสะสางให้เสร็จ จุดนี้ผมรู้สึกเหมือนเค้ากำลังสะท้อนภาพของมนุษย์บ้างานทั้งหลายอ่ะครับที่ชอบเอาครอบครัวมาอ้างว่าต้องทำงานเพื่อครอบครัว แต่กลับทำแต่งานโดยไม่สนใจครอบครัวเลย ผมเข้าใจว่าตัวพระเอกเองก็คงอ้างกับตัวเองเหมือนกันว่าเค้าต้องทำงานหนักเพื่อครอบครัว โดยลืมคิดไปว่าสิ่งที่คนในครอบครัวต้องการมากที่สุดคือตัวเค้า ไม่ใช่สิ่งที่เค้าหามาให้ แล้วสองพ่อลูกก็เริ่มเข้าใจกันมากขึ้นจากการที่ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ ลูกสาวที่คิดมาตลอดว่าพ่อไม่ต้องการก็รู้สึกได้ถึงความรักและความห่วงใยที่ผู้เป็นพ่อมอบให้ ส่วนพ่อก็ได้เรียนรู้จากทุกๆคำพูดและการกระทำของลูกสาว ทำให้เค้ากลายเป็นคนที่ดีขึ้น
พ่ออีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือลุงอ้วนที่มีเมียกำลังท้องครับ ในยามปกติลุงอ้วนดูเป็นคนที่กลัวเมีย แต่พอถึงคราวคับขัน ด้วยความเป็นหัวหน้าครอบครัวของเค้า เค้าก็ทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เค้าตรงเข้าสู้กับฝูงซอมบี้อย่างไม่เกรงกลัวอะไรเพื่อที่จะไปช่วยเมียและลูกในท้อง ในขณะเดียวกันเค้าก็มีความอ่อนโยน และมีใจคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวพระเอกในตอนต้นเรื่องซะอีก จริงๆผมว่าลุงอ้วนดูจะเป็นฮีโร่ที่สุดในเรื่องแล้ว
สองป้าพี่น้อง คู่นี้ก็น่ารักดีครับ ดูเป็นคู่พี่น้องที่อยู่ด้วยกันมานานๆจนคนน้องอาจจะรู้สึกเขินๆ บวกกับรำคาณหน่อยๆกับการห่วงใยเกินเหตุของพี่สาวตัวเอง แต่พอถึงที่สุดแล้ว ความรักของพี่น้องคู่นี้ยังไงก็ตัดกันไม่ขาด ตอนที่ทั้งคู่ต้องแยกกัน คนน้องก็แสดงออกชัดเจนว่าเป็นห่วงพี่สาวของแกมาก คู่นี้เป็นคู่ที่บทไม่มีอะไรมากครับ แต่ผมโคตรชอบความรักของทั้งสองคนที่มีให้กันเลย
คู่รักนักเรียน สำหรับวัยรุ่นแล้ว คำว่าครอบครัวของเค้าอาจจะไม่ได้หมายถึงครอบครัวที่ประกอบด้วย พ่อ แม่ พี่ น้อง เพียงอย่างเดียว แต่อีกครอบครัวนึงของเค้าคือ "เพื่อน" เพื่อนเป็นเหมือนกลุ่มคนอีกกลุ่มนึงที่จะอยู่ข้างๆเค้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่ถ้าวันนึงเพื่อนเรากลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว มันคงทำใจลำบากที่จะต้องทำร้ายเพื่อนตัวเอง แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าซอมบี้พวกนั้นอาจจะมาทำร้ายเราก็ได้ (ขอสารภาพตามตรงว่าผมจำชื่อตัวละครไม่ได้เลยครับ ชื่อจริงๆของนักแสดงผมก็ไม่รู้จัก ดังนั้นขอเรียกว่าวัยรุ่นผู้ชายและวัยรุ่นผู้หญิงละกันนะ) ผมชอบตอนที่วัยรุ่นผู้ชายซึ่งอยู่กับกลุ่มพระเอกที่พยายามฝ่าฝูงซอมบี้ไปอีกโบกี้นึงเพื่อหาวัยรุ่นผู้หญิง เพื่อนคนเดียวที่เค้าเหลืออยู่ เพราะคนอื่นกลายเป็นซอมบี้ไปหมดแล้ว และเค้าต้องผ่านโบกี้ที่เต็มไปด้วยเพื่อนคนอื่นๆของเค้า เค้าแสดงออกชัดเจนว่าเค้าไม่กล้าที่จะฟาดหน้าเพื่อนของเค้าด้วยไม่เบสบอลอย่างที่เค้าเคยทำกับซอมบี้ตัวอื่น กลายเป็นว่าเค้ายืนนิ่ง ดูซอมบี้ที่เคยเป็นเพื่อนเค้าพยายามจะกัดกลุ่มพระเอก ถ้าคิดในมุมของเค้า มันก็ทำใจลำบากอยู่นะครับที่จะต้องทำร้ายคนที่ตัวเองรักมากๆ ผมว่าตรงนี้หนังเค้าทำออกมาได้ค่อนข้างดี เพราะถ้ามาถึงแล้วฟาดเอาๆ โดยไม่รู้สึกอะไรเลยนี่มันก็ดูจะใจร้ายกับคำว่า "เพื่อน" เกินไปหน่อย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้และสุดท้ายเมื่อวัยรุ่นผู้หญิงกลายเป็นซอมบี้ไป เค้าก็เลยเลือกที่จะนั่งนิ่งๆให้เธอกัดโดยไม่ขัดขืน เพราะสำหรับเค้าแล้ว เธอเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของเค้า เมื่อไม่มีเธอแล้ว เค้าก็คงไม่รู้จะอยู่ต่อไปเพื่ออะไรเหมือนกัน
และมีอีกหลายเหตุการณ์ครับที่สื่อถึงครอบครัวอย่างชัดเจน ทั้งตอนที่แม่ของพระเอกโทรเข้ามาเพื่อคุยกับลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย และตอนที่ลุงตัวร้ายนั่นบอกว่าให้ช่วยพากลับบ้านหน่อย ทุกอย่างมันโยงหาครอบครัวหมดเลย เหตุผลที่ต้องเอาชีวิตรอด เหตุผลที่ต้องเห็นแก่ตัว เหตุผลที่ยอมโดนกัด เพราะทุกคนพยายามจะรักษาสถานภาพของ "ครอบครัว" เอาไว้ ซึ่งอาจจะเพราะเค้าใช้เรื่องนี้มาเล่าด้วยมั้งครับมันเลยทำให้ผมรู้สึกอินไปกับเค้าได้ตลอดทั้งเรื่อง

สรุปนะครับ "Train to Busan" เป็นหนังเกาหลีอีกเรื่องที่ผมกล้าพูดเต็มปากว่าผมชอบมากๆ หลังจากที่ผมเคยชอบเรื่อง Tae Guk Gi มากๆเช่นกัน มันได้ลุ้น ได้ดราม่า เป็นหนังซอมบี้ที่ทำให้เห็นความน่ากลัวของคนมากกว่าซอมบี้ หรือจะเรียกว่าเป็นหนังดราม่าที่มีซอมบี้เป็นปัจจัยให้เกิดดราม่าก็ได้ เพราะมันได้ความดราม่ามากกว่าการวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากซอมบี้ซะอีก แนะนำให้ลองไปดูกันครับ ใครชอบหนังซอมบี้ก็ดูได้ เพราะเรื่องนี้ซอมบี้ยั้วเยี้ยยังกะฝูงมด หรือใครชอบดราม่าสไตล์เกาหลีก็จะได้รับดราม่าไปเต็มๆเช่นกัน มันลุ้นตลอดทั้งเรื่องจริงๆครับ และเดาทางไม่ถูกเลยว่าจะมีใครเหลือรอดบ้างหรือเปล่า จนซีนสุดท้ายยังลุ้นอยู่เลยว่าจะรอดจริงมั้ย!!!! แล้วนักแสดงก็แสดงดีทุกคน คือดูแล้วอินตามได้อ่ะครับว่าเค้าอยู่ในโหมดไหน ตัวเลวก็เล่นซะอยากกระโดดถีบขาคู่ คนดีก็อยากเอาใจช่วย คนไหนดราม่าก็เล่นซะอยากจะร้องไห้ตาม อย่างที่บอกอ่ะครับว่าถ้าใครจิตอ่อนหน่อยนี่จะต้องน้ำตาแตกทั้งเรื่องได้แน่นอน คือมันรู้สึกไปกับทุกๆอย่างที่เค้าสื่อออกมาอ่ะครับ ขนาดรอบที่ผมดูเป็นภาษาเกาหลีซึ่งผมก็อ่านซับทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่ด้วยพลังการแสดงของทีมนักแสดงทั้งหมดมันก็ทำให้ผมรู้สึกร่วมไปกับเค้าได้ และรอบที่ผมดูคือพอจบ เครดิตขึ้นยังไม่มีใครลุกจากที่นั่งเลย ทุกคนนิ่ง และน่าจะคิดเหมือนกันคือรอดูว่ามันจะมีอะไรต่ออีกมั้ย จนกระทั่งไฟในโรงสว่างหมดอ่ะครับคนถึงเริ่มลุกจากที่นั่งตัวเองกัน ถ้าผมได้นั่งดูในรอบพรีเมียร์เปิดตัวหนัง ผมก็คงเป็นอีกคนนึงเหมือนกันที่ยืนปรบมือให้กับหนังหลังหนังจบเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้สร้าง เพราะสำหรับผมนะ ผมเยี่ยมสมคำร่ำลือจริงๆ

Train to Busan :: หนังซอมบี้ที่โคตรดราม่า!!! [Spoil เดี๋ยวบอก]
สิ่งที่ดึงความสนใจของผมให้อยากดูหนังเรื่องนี้มันเริ่มมาตั้งแต่พล็อตเรื่องเลยครับ เพราะด้วยเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นในขบวนรถไฟ หนึ่งเลยคือมันหนีไปไหนไม่ได้ มันมีแต่ซ่อนตัวและเผชิญหน้าต่อสู้เท่านั้น แล้วพอมันเป็นหนัง ผมเชื่ออยู่แล้วว่ามันต้องมีเหตุการณ์อะไรซักอย่างเพื่อให้กลุ่มพระเอกจำเป็นต้องวิ่งฝ่าฝูงซอมบี้เพื่อไปช่วยเหลือใครซักคนอยู่แล้ว และความลุ้นระทึกต่างๆ บวกกับความดราม่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันก็มาจากการที่ต้องวิ่งฝ่าฝูงซอมบี้นี่แหละ ซึ่งบอกเลยว่ามันเป็นการวางจังหวะได้ถูกที่ถูกเวลามาก ทั้งการเล่าเรื่อง การลำดับภาพ และการใช้เสียงดนตรี มันพอดีมากๆที่เราจะรู้สึกตามไปกับตัวละครในเรื่อง ผมนั่งดูนี่แทบนั่งไม่ติดเก้าอี้เพราะมันได้ลุ้นตลอด พอลุ้นเสร็จหนังเค้าก็ไม่ปล่อยให้เราหายใจหายคอได้สะดวกเท่าไร เพราะเค้าก็ยัดเอาความดราม่าเข้ามาให้เราสะเทือนใจแทบจะในทันที แล้วมันก็สลับกันอยู่แบบนี้อ่ะครับทั้งเรื่อง คือลุ้นระทึกกับการหนีซอมบี้ สลับกับสะเทือนใจกับดราม่าของตัวละครในเรื่อง และเป็นหนังที่(ในรอบที่ผมดู)ทั้งโรงพร้อมใจกันร้อง "เxี้ย" ร้อง "เฮ้ย" ในจังหวะที่พร้อมกันตลอด
อีกอย่างที่ผมชอบในหนังเรื่องนี้คือความกล้าเล่นของเค้า มันทำให้เราเดาทางหนังไม่ถูกเลยว่าใครจะเหลือรอดบ้าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อีกสิ่งหนึ่งที่หนังสอดแทรกมาให้เราเห็นตั้งแต่ต้นจนจบเลยก็คือเรื่องของครอบครัวครับ หนังเริ่มเรื่องด้วยการที่พระเอกจำใจจะต้องไปส่งลูกสาวเพื่อไปหาภรรยาเก่าที่ปูซานโดยการโดยสารรถไฟ ที่ผมใช้คำว่า "จำใจ" เพราะเอาจริงๆพระเอกไม่สนิทกับลูกเลย แต่ไม่ใช่ว่าเค้าไม่รักลูกของเค้านะครับ แต่ด้วยหน้าที่การงาน ภาระความรับผิดชอบ มันทำให้เค้าละเลยที่จะใส่ใจความรู้สึกของลูกสาว ระยะห่างระหว่างเค้ากับลูกสาวจึงค่อยๆห่างกันมากขึ้นๆ จนถึงวันที่ลูกสาวจะไปหาแม่ เพื่อไปฉลองวันเกิดด้วยกันที่ปูซาน เพราะความน้อยใจที่สะสมมาเรื่อยๆ ด้วยอารมณ์ของเด็กอ่ะครับ ที่ยังไม่เข้าใจภาระหน้าที่ของผู้ใหญ่ ก็แค่ต้องการให้พ่อสนใจเธอบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้อยู่แต่กับย่าแบบนั้น เธอเลยยื่นคำขาดให้พ่อของเธอว่าถ้าจะไปปูซานก็ต้องเป็นวันนี้เท่านั้น ถ้าพ่อไม่ไปด้วย เธอก็จะนั่งรถไฟไปของเธอเอง พระเอกจึงต้องจำใจยอมไปส่งเพราะเป็นห่วงลูก ทั้งที่จริงๆแล้วตัวเองก็ยังมีงานที่ต้องสะสางให้เสร็จ จุดนี้ผมรู้สึกเหมือนเค้ากำลังสะท้อนภาพของมนุษย์บ้างานทั้งหลายอ่ะครับที่ชอบเอาครอบครัวมาอ้างว่าต้องทำงานเพื่อครอบครัว แต่กลับทำแต่งานโดยไม่สนใจครอบครัวเลย ผมเข้าใจว่าตัวพระเอกเองก็คงอ้างกับตัวเองเหมือนกันว่าเค้าต้องทำงานหนักเพื่อครอบครัว โดยลืมคิดไปว่าสิ่งที่คนในครอบครัวต้องการมากที่สุดคือตัวเค้า ไม่ใช่สิ่งที่เค้าหามาให้ แล้วสองพ่อลูกก็เริ่มเข้าใจกันมากขึ้นจากการที่ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ ลูกสาวที่คิดมาตลอดว่าพ่อไม่ต้องการก็รู้สึกได้ถึงความรักและความห่วงใยที่ผู้เป็นพ่อมอบให้ ส่วนพ่อก็ได้เรียนรู้จากทุกๆคำพูดและการกระทำของลูกสาว ทำให้เค้ากลายเป็นคนที่ดีขึ้น
พ่ออีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือลุงอ้วนที่มีเมียกำลังท้องครับ ในยามปกติลุงอ้วนดูเป็นคนที่กลัวเมีย แต่พอถึงคราวคับขัน ด้วยความเป็นหัวหน้าครอบครัวของเค้า เค้าก็ทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เค้าตรงเข้าสู้กับฝูงซอมบี้อย่างไม่เกรงกลัวอะไรเพื่อที่จะไปช่วยเมียและลูกในท้อง ในขณะเดียวกันเค้าก็มีความอ่อนโยน และมีใจคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวพระเอกในตอนต้นเรื่องซะอีก จริงๆผมว่าลุงอ้วนดูจะเป็นฮีโร่ที่สุดในเรื่องแล้ว
สองป้าพี่น้อง คู่นี้ก็น่ารักดีครับ ดูเป็นคู่พี่น้องที่อยู่ด้วยกันมานานๆจนคนน้องอาจจะรู้สึกเขินๆ บวกกับรำคาณหน่อยๆกับการห่วงใยเกินเหตุของพี่สาวตัวเอง แต่พอถึงที่สุดแล้ว ความรักของพี่น้องคู่นี้ยังไงก็ตัดกันไม่ขาด ตอนที่ทั้งคู่ต้องแยกกัน คนน้องก็แสดงออกชัดเจนว่าเป็นห่วงพี่สาวของแกมาก คู่นี้เป็นคู่ที่บทไม่มีอะไรมากครับ แต่ผมโคตรชอบความรักของทั้งสองคนที่มีให้กันเลย
คู่รักนักเรียน สำหรับวัยรุ่นแล้ว คำว่าครอบครัวของเค้าอาจจะไม่ได้หมายถึงครอบครัวที่ประกอบด้วย พ่อ แม่ พี่ น้อง เพียงอย่างเดียว แต่อีกครอบครัวนึงของเค้าคือ "เพื่อน" เพื่อนเป็นเหมือนกลุ่มคนอีกกลุ่มนึงที่จะอยู่ข้างๆเค้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่ถ้าวันนึงเพื่อนเรากลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว มันคงทำใจลำบากที่จะต้องทำร้ายเพื่อนตัวเอง แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าซอมบี้พวกนั้นอาจจะมาทำร้ายเราก็ได้ (ขอสารภาพตามตรงว่าผมจำชื่อตัวละครไม่ได้เลยครับ ชื่อจริงๆของนักแสดงผมก็ไม่รู้จัก ดังนั้นขอเรียกว่าวัยรุ่นผู้ชายและวัยรุ่นผู้หญิงละกันนะ) ผมชอบตอนที่วัยรุ่นผู้ชายซึ่งอยู่กับกลุ่มพระเอกที่พยายามฝ่าฝูงซอมบี้ไปอีกโบกี้นึงเพื่อหาวัยรุ่นผู้หญิง เพื่อนคนเดียวที่เค้าเหลืออยู่ เพราะคนอื่นกลายเป็นซอมบี้ไปหมดแล้ว และเค้าต้องผ่านโบกี้ที่เต็มไปด้วยเพื่อนคนอื่นๆของเค้า เค้าแสดงออกชัดเจนว่าเค้าไม่กล้าที่จะฟาดหน้าเพื่อนของเค้าด้วยไม่เบสบอลอย่างที่เค้าเคยทำกับซอมบี้ตัวอื่น กลายเป็นว่าเค้ายืนนิ่ง ดูซอมบี้ที่เคยเป็นเพื่อนเค้าพยายามจะกัดกลุ่มพระเอก ถ้าคิดในมุมของเค้า มันก็ทำใจลำบากอยู่นะครับที่จะต้องทำร้ายคนที่ตัวเองรักมากๆ ผมว่าตรงนี้หนังเค้าทำออกมาได้ค่อนข้างดี เพราะถ้ามาถึงแล้วฟาดเอาๆ โดยไม่รู้สึกอะไรเลยนี่มันก็ดูจะใจร้ายกับคำว่า "เพื่อน" เกินไปหน่อย [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และมีอีกหลายเหตุการณ์ครับที่สื่อถึงครอบครัวอย่างชัดเจน ทั้งตอนที่แม่ของพระเอกโทรเข้ามาเพื่อคุยกับลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย และตอนที่ลุงตัวร้ายนั่นบอกว่าให้ช่วยพากลับบ้านหน่อย ทุกอย่างมันโยงหาครอบครัวหมดเลย เหตุผลที่ต้องเอาชีวิตรอด เหตุผลที่ต้องเห็นแก่ตัว เหตุผลที่ยอมโดนกัด เพราะทุกคนพยายามจะรักษาสถานภาพของ "ครอบครัว" เอาไว้ ซึ่งอาจจะเพราะเค้าใช้เรื่องนี้มาเล่าด้วยมั้งครับมันเลยทำให้ผมรู้สึกอินไปกับเค้าได้ตลอดทั้งเรื่อง
สรุปนะครับ "Train to Busan" เป็นหนังเกาหลีอีกเรื่องที่ผมกล้าพูดเต็มปากว่าผมชอบมากๆ หลังจากที่ผมเคยชอบเรื่อง Tae Guk Gi มากๆเช่นกัน มันได้ลุ้น ได้ดราม่า เป็นหนังซอมบี้ที่ทำให้เห็นความน่ากลัวของคนมากกว่าซอมบี้ หรือจะเรียกว่าเป็นหนังดราม่าที่มีซอมบี้เป็นปัจจัยให้เกิดดราม่าก็ได้ เพราะมันได้ความดราม่ามากกว่าการวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากซอมบี้ซะอีก แนะนำให้ลองไปดูกันครับ ใครชอบหนังซอมบี้ก็ดูได้ เพราะเรื่องนี้ซอมบี้ยั้วเยี้ยยังกะฝูงมด หรือใครชอบดราม่าสไตล์เกาหลีก็จะได้รับดราม่าไปเต็มๆเช่นกัน มันลุ้นตลอดทั้งเรื่องจริงๆครับ และเดาทางไม่ถูกเลยว่าจะมีใครเหลือรอดบ้างหรือเปล่า จนซีนสุดท้ายยังลุ้นอยู่เลยว่าจะรอดจริงมั้ย!!!! แล้วนักแสดงก็แสดงดีทุกคน คือดูแล้วอินตามได้อ่ะครับว่าเค้าอยู่ในโหมดไหน ตัวเลวก็เล่นซะอยากกระโดดถีบขาคู่ คนดีก็อยากเอาใจช่วย คนไหนดราม่าก็เล่นซะอยากจะร้องไห้ตาม อย่างที่บอกอ่ะครับว่าถ้าใครจิตอ่อนหน่อยนี่จะต้องน้ำตาแตกทั้งเรื่องได้แน่นอน คือมันรู้สึกไปกับทุกๆอย่างที่เค้าสื่อออกมาอ่ะครับ ขนาดรอบที่ผมดูเป็นภาษาเกาหลีซึ่งผมก็อ่านซับทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่ด้วยพลังการแสดงของทีมนักแสดงทั้งหมดมันก็ทำให้ผมรู้สึกร่วมไปกับเค้าได้ และรอบที่ผมดูคือพอจบ เครดิตขึ้นยังไม่มีใครลุกจากที่นั่งเลย ทุกคนนิ่ง และน่าจะคิดเหมือนกันคือรอดูว่ามันจะมีอะไรต่ออีกมั้ย จนกระทั่งไฟในโรงสว่างหมดอ่ะครับคนถึงเริ่มลุกจากที่นั่งตัวเองกัน ถ้าผมได้นั่งดูในรอบพรีเมียร์เปิดตัวหนัง ผมก็คงเป็นอีกคนนึงเหมือนกันที่ยืนปรบมือให้กับหนังหลังหนังจบเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้สร้าง เพราะสำหรับผมนะ ผมเยี่ยมสมคำร่ำลือจริงๆ