มะเร็งคร่าชีวิต

สวัสดีค่ะ เราเห็นพี่ๆเค้าเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้เกี่ยวกับประสบการณ์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก หรือการรีวิว
           
           วันนี้เราอยากจะมาเล่าประสบการณ์การเป็นมะเร็งของคนในครอบครัวของเราให้ได้เป็นแนวทาง และเป็นอุทาหรณ์
           
           ก่อนอื่นเราจะบอกว่าตระกูลของเราเป็นตระกูลของโรคมะเร็งค่ะ ทำไมถึงว่าแบบนั้นหรอ ก็เพราะว่า ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง น้า หรือแม้กระทั่งพ่อของเราก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และล่าสุด แม่ของเราก็เพิ่งรักษามะเร็งเต้านมเพิ่งหาย มะเร็งหายแต่มีโรคอื่นแทรกเข้ามา ยังไงก็ติดตามกระทู้เราหน่อยนะ มันอาจจะมีประโยชน์ต่อคนที่กำลังเป็นมะเร็ง และคนที่กำลังรักษามะเร็งไม่มากก็น้อย

Part 1
           ขอเริ่มด้วยเรื่องของพ่อเราก่อนนะคะ เพราะว่าตอนที่ปู่กับย่าเป็นมะเร็ง เราเกิดไม่ทัน ในส่วนของพ่อเรานั้นย้อนเวลากลับไปประมาณ 6ปี ถ้าถามว่ามะเร็งของพ่อเกิดจากสาเหตุไหน เราเองก็ไม่ทราบค่ะ แต่ที่พอคลำทางได้ก็คือ พ่อเราไปตรวจสุขภาพประจำปีที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ผลตรวจออกมาก็ค่อนข้างดีเลยค่ะ ปอดดี หัวใจดี ทุกอย่างดี ยกเว้น ตับ เพราะที่ตับมีไขมันเกาะอยู่ หมอแนะนำมาว่า "ให้คุณลุงงดอาหารที่มีไขมัน และงดกินข้าวเหนียวก่อนนะ" พ่อเราก็โอเคยอมทำตาม ที่ใช้คำว่ายอมทำตามน่ะหรอคะ พ่อเราเป็นคนชอบกินข้าวเหนียวและเนื้อติดมัน หรือของกินที่มีไขมันต่างๆมาก ยอมทำตามแค่ประมาณ 2 เดือนค่ะ และพ่อก็กลับมากินข้าวเหนียวและของกินที่มีไขมันเหมือนเดิม อาการเริ่มแรกที่ทำให้ทุกคนสังเกตเห็นคือ พ่อรู้สึกคันตามตัว ไม่ใช่คันแบบมดกัด ยุงกัด หรือคันแบบเป็นผื่น แต่มันคันอยู่ข้างใน คันแบบเกาไม่หาย เรากับพี่ชายเลยบอกว่า "ไปหาหมอกันมั๊ยพ่อ เผื่อมันเป็นอะไรจะได้รักษาทัน" แต่พ่อกลับบอกว่า "ไม่เป็นไร มันแค่คันตามตัวแค่นี้เอง" ทุกคนก็โอเคตามใจ แต่เวลาเริ่มผ่านมาเรื่อยๆ ตาขาวของพ่อเริ่มเหลือง ด้วยความที่พี่ชายคนแรกของเราเค้าเรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ ก็ปกติของพวกเรียนสายสุขภาพนั่นแหละค่ะ พี่ชายแกก็เริ่มสังเกตว่าตาพ่อเริ่มเหลือง พี่ชายเลยบอกว่า "พ่อตาพ่อเหลืองนะ พ่อเป็นโรคตับหรึเปล่า ลองไปตรวจดูหน่อยนะ" "ไปก็ไป รู้สึกแน่นๆท้องอยู่ จะได้รู้ว่าเป็นอะไร" พ่อตอบ เรา แม่ พี่ชายทั้ง 2 คนก็พาพ่อกลับไปที่โรงพยาบาลเอกชนที่เดิมที่ไปตรวจร่างกายประจำปี ก็ไปทำซีทีสแกน ไปทำนู้นทำนี่ ตรวจเลือด โรงยาบาลที่พาพ่อไปเค้าทำงานกันแบบรวดเร็วเลยล่ะค่ะ รอประมาณ 2 ชม. ผลแล็บก็ออก หมอก็มาอ่านผลตรวจให้บอกว่า "คุณลุงมีเนื้องอกที่ตับนะครับ แต่ต้องตรวจอย่างละเอียดอีกที ว่าเนื้องอกนี้มันเป็นเื้อดีหรือเนื้อร้าย" หมอคนที่อ่านผลตรวจให้ ก็คนเดิมคนที่บอกพ่อว่า "ไขมันเกาะตับ" นั่นแหละค่ะ ตอนฟังผลทุกคนเข้าไปฟังผลในห้องตรวจ แต่เราไม่ได้เข้าไป เพราะตอนนั้นเราอยู่แค่ ป.4 อายุก็แค่ 10 ปี แม่กับพี่ชายก็เลยปล่อยให้เรานั่นเล่นหน้าห้องตรวจ แต่ถึงอายุเราจะแค่ 10 ปี ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่รับรุ้เรื่องนะคะ ตอนฟังผลเสร็จ แม่ดูเสียใจมาก มากซะจนมานั่งร้องไห้เลยแหละค่ะ ทุกคนในครอบครัวก็พยายามหาทางรักษาค่ะ รักษากันไปเรื่อยๆ ใครมาบอกว่าหมอคนนี้ดีก็ไป ใครมาบอกว่ายาตัวนี้ อาหารเสริมตัวนี้ดีก็หามากิน จนกระทั่งพาพ่อมาหาหมอที่จังหวัดข้างเคียง หมอคนนั้นเค้าบอกว่า "มะเร็งตับเนี่ย สามารถผ่าตัดได้นะ ผ่าแล้วบางคนอยู่ได้ 1 ปี บางคน 6 เดือน บางคนแค่ 1 สัปดาห์ก็มี" พ่อเราเค้าไปสะดุดคำพูดหมอตรงที่บอกว่า "บางคนสามารถอยู่ได้ถึง 1 ปี" ก็ปกตินะคะ คนเราใครๆก็กลัวตาย อยากมีชีวิตอยู่ให้นานที่สุด อ่ะผ่าก็ผ่า พ่อก็มานอนที่โรงพยาบาลรัฐก่อนวันผ่า 1 คืน พอเช้า เรากับแม่ก็รีบมารอพ่อก่อนเข้าห้องผ่า แต่ก็ไม่ได้เจอก่อนผ่า ตัดภาพมาตอนที่ผ่าเสร็จค่ะ ลองคิดภาพตามนะคะ แผลผ่าตัดของพ่อใหญ่มาก ก็แบบว่าผ่าตัดตับน่ะค่ะ หมอเค้ากรีดตั้งแต่ตรงใต้นมน่ะค่ะ ตรงกลางหน้าอก กรีดลงมาเหมือนตามแนวซี่โครงหรึเปล่าเราก็ไม่แน่ใจ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ผ่าตัดเสร็จ ก็พากันเข้าห้อง ICU ค่ะ หมอบอกว่าตัดตับออกเยอะมาก เพราะมะเร็งมันมีหลายจุด หลังจากนั้น พ่อก็อาการดีขึ้น ก็ย้ายขึ้นห้องรวมของตึกอายุรกรรม อาการของพ่อก็เริ่มดีขึ้นเป็นระยะๆ จนกระทั่งหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ ก็พอพ่อกลับมาบ้านค่ะ พ่อก็อาการดีขึ้นมาก เดินได้ ฟังได้ พูดคุยกันได้รู้เรื่อง ทุกคนก็วางใจ แต่พ่อเดินบ่อยเกินไป จนทำให้พ่อไปสลบในห้องน้ำ วันนั้นกำลังจะกินข้าวกันพน้อมหน้าพร้อมตาคนในครอบครัว แต่พ่ออยากเข้าห้องน้ำ พี่ชายเราก็ย่วยพยุงเพราะกลัวไปลื่นล้มในห้องน้ำ และสิ่งที่กลับมันก็เกิดค่ะ พ่อหน้ามืดแล้วล้มไป ทุกคนก็พยุงพ่ออกจากห้องน้ำ พาพ่อมานอนที่ห้องโถงแล้วก็เรียกพ่อ "พ่อๆ พ่อได้ยินมั๊ย" "อะไร เรียกอะไรนักหนา ได้ยิน ไม่ได้เป็นอะไร" พ่อพูดเหมือนตัวเองไม่เป็นอะไร เราก็รีบวิ่งไปโทรหา 1669 สักพักรถรีเฟอร์ก็มา ก็พาพ่อไปโรงพยาบาลประจำจังหวัด แต่หมอเจ้าของไข้ของพ่อไม่ได้อยู่ที่โพยาบาลนี้ แม่และพี่ชายของเราจึงขอใบส่งตัวเพื่อไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลที่ไปผ่าตัด รอบนี้พ่อเข้านอนโรงพยาบาลแล้วอาการพ่อทรุดลง พ่อมีอาการตับวาย พูดแล้วเพ้อ เห็นภาพหลอน ฝันกึ่งหลับกึ่งตื่น พูดจาด้วยไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็รักษากันไปพยุงกันไป แต่อาการพ่อก็หนักขึ้นเรื่อยๆ จนแม่บอกว่า "พอเถอะหมอ ขอเอาคนไข้กลับบ้าน" หมอก็โอเคให้กลับ พ่อก็มานอนพะงาบๆอยู่บ้านเกือบ 1 เดือน จนกระทั่งวันที่ 31 ตุลาคม 2554 พ่อก็เสียขีวิต ก่อนพ่อเสียชีวิตพ่อดูเจ็บ เหนื่อยมาก ทุกๆคนพยายามรักษาชีวิตพ่อไว้ แต่ไม่เป็นผลเลย ........
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่