ได้อ่านบทบรรณาธิการเรื่อง ความจริงที่คนไทยต้องรู้ ของหนังสือพิมพ์แนวหน้า 20 ก.ค.2559 อ่านแล้วตื่นเต้นไปกับประเทศไทย และอยากทราบความคิดเห็นของคนอื่นๆ ที่สนใจเรื่องเศรษฐกิจของประเทศไทยว่า มีความคิดเห็นอย่างไร ต่อเนื้อหาตามบทความ ตามลิงค์ด้านล่างค่ะ
"เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่ง ได้เผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยของเราที่สำนักข่าวกรองของสหรัฐอเมริกา หรือซีไอเอและสำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่ง รวบรวมไว้ในปีที่แล้วคือปี 2558 และต้นปีนี้ 2559 มีข้อมูลที่น่าสนใจที่คนไทยต้องรู้หลายประการ อาทิ
ประเทศไทยกำลังเป็นประเทศที่มีขนาดของเศรษฐกิจใหญ่ในกลุ่มชาติเกิดใหม่ในโลกปัจจุบัน 6 ประเทศ คือ ไทย บราซิล อินเดีย อินโดนีเซีย จีน และเกาหลีใต้ ไทยมีอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีที่แล้วร้อยละ 3 ปีนี้ 2559 ประมาณร้อยละ 4 และปีหน้า 2560 จะไปอยู่ที่ร้อยละ 5 และมีรายได้ประชาชาติมากกว่า 1.2 ทริลเลี่ยนดอลลาร์ในปีหน้า
ปัจจุบันไทยมีอัตราการขยายตัวของประชากรต่อปี แค่ร้อยละ 0.34 เท่านั้น ทำให้จำนวนประชากรที่ถือสัญชาติไทยในประเทศไทยมี 66.4 ล้านคน ในปีนี้ และมีคนสัญชาติต่างประเทศมาตั้งรกรากทำงานในไทยถึง 6 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นสัญชาติเมียนมามากที่สุด 3 ล้านคน รองลงมาคือกัมพูชา 4 แสนคน
ที่เหลือเป็นประชาชนนานาชาติ เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน อังกฤษ ฝรั่งเศส สวีดิช เดนิชอินเดีย สิงคโปร์ สเปน นอร์เวเจี้ยน โปรตุกีส อเมริกัน ไอริช ฯลฯ ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทยปีละ 32 ล้านคน มากเป็นอันดับ 5 ของโลก
กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เป็นมหานครใหญ่ที่มีประชากรมากกว่า 16 ล้านคน ทำให้เป็นเมืองที่มีการจราจรติดขัดมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย อันดับ 3 คือเซาเปาโล บราซิล คนไทยอยู่ในเขตเทศบาลและเมืองร้อยละ 52 อยู่ในชนบทร้อยละ 48 ผลิตรถยนต์ได้ปีละ 2.1 ล้านคัน อยู่ในอันดับ 9 ของโลก
เป็นชาติที่มีขนาดพลังเศรษฐกิจอันดับ 21 ของโลก ในปี 2559 และมีแนวโน้มไต่ขึ้นไปในระดับที่ 19 ในปีหน้า 2560 รายได้ต่อหัวในปี 2559 ประมาณ 16,120 เหรียญสหรัฐ ปีหน้า 2560 จะเขยิบขึ้นเป็นปีละ 17,500 เหรียญสหรัฐ หรือมากกว่า
ไทยไม่ใช่ประเทศเกษตรกรรมอย่างที่เข้าใจกันแต่ไทยมีการใช้น้ำด้านเกษตรกรรม ร้อยละ 90 มากที่สุดใช้ทางด้านอุตสาหกรรม ร้อยละ 6 และใช้ในบ้านเรือนร้อยละ 4 เท่านั้น การรณรงค์ให้คนไทยประหยัดน้ำต้องเน้นไปที่เกษตรกรให้มากเพราะใช้น้ำมากกว่าภาคอื่นๆ
รายได้หลักของประเทศไทยมาจากอุตสาหกรรม การค้า การบริการท่องเที่ยว การเงิน การแพทย์และสาธารณสุขและการศึกษา ไทยมีภาษีอากรที่จัดเก็บได้มาจากภาษีทางอ้อม ภาษีเงินได้จากข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างภาคเอกชน ในขณะที่เกษตรกรได้ยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นี่คือข้อเท็จจริง ที่คนไทยต้องรู้"
http://m.naewna.com/view/columntoday/25421
20 ก.ค. 2559
จริงหรือ?? ข้อมูลจากบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์แนวหน้า 20 ก.ค.2559 : ความจริงที่คนไทยต้องรู้
"เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่ง ได้เผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยของเราที่สำนักข่าวกรองของสหรัฐอเมริกา หรือซีไอเอและสำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่ง รวบรวมไว้ในปีที่แล้วคือปี 2558 และต้นปีนี้ 2559 มีข้อมูลที่น่าสนใจที่คนไทยต้องรู้หลายประการ อาทิ
ประเทศไทยกำลังเป็นประเทศที่มีขนาดของเศรษฐกิจใหญ่ในกลุ่มชาติเกิดใหม่ในโลกปัจจุบัน 6 ประเทศ คือ ไทย บราซิล อินเดีย อินโดนีเซีย จีน และเกาหลีใต้ ไทยมีอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีที่แล้วร้อยละ 3 ปีนี้ 2559 ประมาณร้อยละ 4 และปีหน้า 2560 จะไปอยู่ที่ร้อยละ 5 และมีรายได้ประชาชาติมากกว่า 1.2 ทริลเลี่ยนดอลลาร์ในปีหน้า
ปัจจุบันไทยมีอัตราการขยายตัวของประชากรต่อปี แค่ร้อยละ 0.34 เท่านั้น ทำให้จำนวนประชากรที่ถือสัญชาติไทยในประเทศไทยมี 66.4 ล้านคน ในปีนี้ และมีคนสัญชาติต่างประเทศมาตั้งรกรากทำงานในไทยถึง 6 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นสัญชาติเมียนมามากที่สุด 3 ล้านคน รองลงมาคือกัมพูชา 4 แสนคน
ที่เหลือเป็นประชาชนนานาชาติ เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน อังกฤษ ฝรั่งเศส สวีดิช เดนิชอินเดีย สิงคโปร์ สเปน นอร์เวเจี้ยน โปรตุกีส อเมริกัน ไอริช ฯลฯ ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทยปีละ 32 ล้านคน มากเป็นอันดับ 5 ของโลก
กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เป็นมหานครใหญ่ที่มีประชากรมากกว่า 16 ล้านคน ทำให้เป็นเมืองที่มีการจราจรติดขัดมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย อันดับ 3 คือเซาเปาโล บราซิล คนไทยอยู่ในเขตเทศบาลและเมืองร้อยละ 52 อยู่ในชนบทร้อยละ 48 ผลิตรถยนต์ได้ปีละ 2.1 ล้านคัน อยู่ในอันดับ 9 ของโลก
เป็นชาติที่มีขนาดพลังเศรษฐกิจอันดับ 21 ของโลก ในปี 2559 และมีแนวโน้มไต่ขึ้นไปในระดับที่ 19 ในปีหน้า 2560 รายได้ต่อหัวในปี 2559 ประมาณ 16,120 เหรียญสหรัฐ ปีหน้า 2560 จะเขยิบขึ้นเป็นปีละ 17,500 เหรียญสหรัฐ หรือมากกว่า
ไทยไม่ใช่ประเทศเกษตรกรรมอย่างที่เข้าใจกันแต่ไทยมีการใช้น้ำด้านเกษตรกรรม ร้อยละ 90 มากที่สุดใช้ทางด้านอุตสาหกรรม ร้อยละ 6 และใช้ในบ้านเรือนร้อยละ 4 เท่านั้น การรณรงค์ให้คนไทยประหยัดน้ำต้องเน้นไปที่เกษตรกรให้มากเพราะใช้น้ำมากกว่าภาคอื่นๆ
รายได้หลักของประเทศไทยมาจากอุตสาหกรรม การค้า การบริการท่องเที่ยว การเงิน การแพทย์และสาธารณสุขและการศึกษา ไทยมีภาษีอากรที่จัดเก็บได้มาจากภาษีทางอ้อม ภาษีเงินได้จากข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างภาคเอกชน ในขณะที่เกษตรกรได้ยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นี่คือข้อเท็จจริง ที่คนไทยต้องรู้"
http://m.naewna.com/view/columntoday/25421
20 ก.ค. 2559