สะเทือน กระทบ ประชามติ “7 สิงหาคม” ต่อ ประชาธิปัตย์...ข่าวสดออนไลน์ ... /sao..เหลือ..noi
ไม่ว่า “ผล” การออกเสียงประชามติในวันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม
จะออกมาในด้านใด เป็นด้านที่ “ผ่าน” หรือเป็นด้านที่ “ไม่ผ่าน”
แต่ “พรรคประชาธิปัตย์” ต้องแตกอีกครั้งแน่ๆ
แม้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะออกมาตอกย้ำและยืนยันว่า
“สมาชิกที่มีความเห็นต่างเป็นเรื่องปกติที่ต้องมีคนเห็นต่าง”
แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องของ “ร่างรัฐธรรมนูญ” มีความสำคัญ
สำคัญไม่เพียงเพราะเป็นกฎหมายสูงสุด เป็นกฎหมายในเชิง
การปกครองและเป็นกฎหมายในเชิงอำนาจทางการเมือง
หากยังเป็นเพราะความเห็น “ต่าง” นี้มิได้เกิดขึ้นกับสมาชิกระดับ “สามัญ”
ตรงกันข้าม เกิดขึ้นระหว่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค
กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเคยเป็นเลขาธิการพรรค
จึงแวดล้อมด้วย “กองเชียร์” อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
การแสดงความเห็น “ต่าง” ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คล้าย
กับจะเป็นความเห็นต่างต่อร่างรัฐธรรมนูญอันเป็นผลผลิตที่มาจาก
คสช.ที่มาจากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
แต่จะปฏิเสธบทบาทของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ได้
เพราะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาว่า พร้อม
ยอมรับต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้และมองเห็นว่าเป็นร่างรัฐธรรมนูญ
ที่เป็นประชาธิปไตย และมีความเหมาะสมอย่างยิ่งต่อพัฒนาการแห่ง
ระบอบประชาธิปไตยของไทย
เท่ากับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ค้ำยัน “ร่างรัฐธรรมนูญ” ค้ำยัน “คสช.”
หากร่างรัฐธรรมนูญ “ผ่าน” ประชามติก็เท่ากับว่าการตัดสินใจของ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถูกต้อง ขณะเดียวกัน หาก “ไม่ผ่าน” ก็เท่ากับ
ว่าการตัดสินใจของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีผลสะเทือน
สายตาที่มองไปยัง “พรรคประชาธิปัตย์” จึงต่างออกไป
ประเด็นอันเป็นความแหลมคมอย่างมากต่อพรรคประชาธิปัตย์ก็คือ
การตัดสินใจของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มิได้ดำเนินไปอย่าง
โดดเดี่ยวและเดียวดาย
ตรงกันข้าม หลังพิง 1 คือ นายชวน หลีกภัย
ตรงกันข้าม หลังพิงอีก 1 คือ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน และหลังพิง
อีก 1 คือ นายพิชัย รัตตกุล ซึ่งทั้ง 3 ล้วนอยู่ในฐานะ “อดีต” หัวหน้าพรรค
การยืนยันของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จึงเท่ากับเอาหัวโขกกำแพง
เป็นกำแพงซึ่งอย่างน้อยก็มีบุคคลระดับ “หัวหน้าพรรค” จับมือประสาน
กันอย่างแน่นหนาและมั่นคงถึง 4 คน
ผลสะเทือนจึงย่อมจะกัมปนาทรุนแรง แหลมคมยิ่ง
ไม่มีใครสามารถ “ตอบ” ได้ว่าผลของการออกเสียงประชามติใน
วันที่ 7 สิงหาคม จะเป็นไปอย่างไร
เป็นไปในทางที่ “รับ” และให้ความชอบธรรมต่อร่างรัฐธรรมนูญ
หรือเป็นไปในทางที่ “ไม่รับ” และไม่ให้ความชอบธรรมต่อร่างรัฐธรรมนูญ
แต่ผลสะเทือนต่อ “พรรคประชาธิปัตย์” เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
สะเทือน กระทบ ประชามติ “7 สิงหาคม” ต่อ ประชาธิปัตย์...ข่าวสดออนไลน์ ... /sao..เหลือ..noi
จะออกมาในด้านใด เป็นด้านที่ “ผ่าน” หรือเป็นด้านที่ “ไม่ผ่าน”
แต่ “พรรคประชาธิปัตย์” ต้องแตกอีกครั้งแน่ๆ
แม้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะออกมาตอกย้ำและยืนยันว่า
“สมาชิกที่มีความเห็นต่างเป็นเรื่องปกติที่ต้องมีคนเห็นต่าง”
แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องของ “ร่างรัฐธรรมนูญ” มีความสำคัญ
สำคัญไม่เพียงเพราะเป็นกฎหมายสูงสุด เป็นกฎหมายในเชิง
การปกครองและเป็นกฎหมายในเชิงอำนาจทางการเมือง
หากยังเป็นเพราะความเห็น “ต่าง” นี้มิได้เกิดขึ้นกับสมาชิกระดับ “สามัญ”
ตรงกันข้าม เกิดขึ้นระหว่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค
กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเคยเป็นเลขาธิการพรรค
จึงแวดล้อมด้วย “กองเชียร์” อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
การแสดงความเห็น “ต่าง” ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คล้าย
กับจะเป็นความเห็นต่างต่อร่างรัฐธรรมนูญอันเป็นผลผลิตที่มาจาก
คสช.ที่มาจากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
แต่จะปฏิเสธบทบาทของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ได้
เพราะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาว่า พร้อม
ยอมรับต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้และมองเห็นว่าเป็นร่างรัฐธรรมนูญ
ที่เป็นประชาธิปไตย และมีความเหมาะสมอย่างยิ่งต่อพัฒนาการแห่ง
ระบอบประชาธิปไตยของไทย
เท่ากับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ค้ำยัน “ร่างรัฐธรรมนูญ” ค้ำยัน “คสช.”
หากร่างรัฐธรรมนูญ “ผ่าน” ประชามติก็เท่ากับว่าการตัดสินใจของ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถูกต้อง ขณะเดียวกัน หาก “ไม่ผ่าน” ก็เท่ากับ
ว่าการตัดสินใจของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีผลสะเทือน
สายตาที่มองไปยัง “พรรคประชาธิปัตย์” จึงต่างออกไป
ประเด็นอันเป็นความแหลมคมอย่างมากต่อพรรคประชาธิปัตย์ก็คือ
การตัดสินใจของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มิได้ดำเนินไปอย่าง
โดดเดี่ยวและเดียวดาย
ตรงกันข้าม หลังพิง 1 คือ นายชวน หลีกภัย
ตรงกันข้าม หลังพิงอีก 1 คือ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน และหลังพิง
อีก 1 คือ นายพิชัย รัตตกุล ซึ่งทั้ง 3 ล้วนอยู่ในฐานะ “อดีต” หัวหน้าพรรค
การยืนยันของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จึงเท่ากับเอาหัวโขกกำแพง
เป็นกำแพงซึ่งอย่างน้อยก็มีบุคคลระดับ “หัวหน้าพรรค” จับมือประสาน
กันอย่างแน่นหนาและมั่นคงถึง 4 คน
ผลสะเทือนจึงย่อมจะกัมปนาทรุนแรง แหลมคมยิ่ง
ไม่มีใครสามารถ “ตอบ” ได้ว่าผลของการออกเสียงประชามติใน
วันที่ 7 สิงหาคม จะเป็นไปอย่างไร
เป็นไปในทางที่ “รับ” และให้ความชอบธรรมต่อร่างรัฐธรรมนูญ
หรือเป็นไปในทางที่ “ไม่รับ” และไม่ให้ความชอบธรรมต่อร่างรัฐธรรมนูญ
แต่ผลสะเทือนต่อ “พรรคประชาธิปัตย์” เกิดขึ้นอย่างแน่นอน