คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
#ต่อครับ#
พอกลับถึงบ้าน ผมพบว่าหน้าบ้านยังไม่ปิด ปกติ ดึกขนาดนี้พ่อแม่ผมต้องปิดบ้านนอนหมดแล้ว แต่เห็นพ่อกับแม่นั่งหน้าเครียดอยู่หน้าบ้าน “ไปไหนมา รู้ไหมว่าพ่อแม่เป็นห่วง บอกแล้วไงว่าก่อนจะบวชไม่ให้ไปเที่ยวไหน” ฉอดๆๆๆๆๆๆ โดนด่ายับ ก่อนบวช ฮ่าๆ แต่พอท่านเห็นผมกลับบ้านแล้วหลังจากด่าไปตามระเบียบแล้ว ท่านก้อขอตัวไปเข้านอน ผมไม่ได้เถียงอะไร เพราะถือว่าตัวเองผิดเองที่กลับบ้านผิดเวลา ตอนนั้น รู้สึกปวดฉี่มากเพราะดื่มน้ำอัดลมไปเยอะตอนนั้งเม้าส์กับเพื่อนเก่าที่นานๆเจอกันที เลยจะเดินไปเข้าห้องน้ำในบ้าน แต่ห้องน้ำไม่ว่าง เพราะติดมีน้องสาวคนเล็กกำลังเข้าอยู่(น้องผมคนนี้ก้อยังไม่เข้านอนทั้งๆที่ต้องเข้านอนตั้งแต่หัวต่ำแล้ว แต่ทุกคนมานั่งรอผมกลับบ้านนี่แหล่ะครับ) เอาไงดี ปวดฉิ่งฉ่องมาก ปวดจนขนลุก ห้องน้ำในบ้านก้อไม่ว่าง จริงๆห้องน้ำบ้านผมมีสองห้อง แต่อีกห้องมันอยู่ชั้น สาม
ผมเลยขี้เกียจขึ้นไปเข้าห้องน้ำชั้นบน เลยเดินออกมา หาทำเลดี ฉิ่งฉ่องข้างๆบ้านนี่แหล่ะวะ ในใจคิดแบบนั้น ภาพ ผู้ชายยืนฉี่ตามข้างทาง ป่าหญ้า ผมว่าไม่น่าแปลกสำหรับคนตามบ้านนอกๆ ผมเลยไม่ถือสาอะไรที่จะไปยืนฉี่ข้างๆบ้านตัวเอง ที่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับสุสานรถที่บุบ บี้ พังยับเยินจากอุบัติเหตุ ที่อู่ข้างบ้านผมเขายกมาจอดขนาบฝาบ้านผม เพื่อรออะไร(ไม่ได้ถามเขา) ดึกขนาดนั้น ใครจะมาเห็น บรรยากาศของถนนเส้นหลักมุ่งสู่ตัวจังหวัดนครสวรรค์หน้าบ้านผมมันเงียบมากครับ สมัยนั้นรถรามันน้อยมาก ไม่ได้เยอะแยะเหมือนสมัยนี้ ยิ่งเวลาสี่ทุ่มห้าทุ่ม ขนาดนี้ มันช่างเงียบเสียจริงๆ
ผมเดินเข้าไปในซอยมืดๆข้างบ้าน ที่ตอนนี้ต้องอาศัยแสงจากไฟถนนหน้าบ้านกับแสงเดือน แสงดาว จากฟากฟ้า ให้ส่องสว่างนำทาง พอเห็นเป็นเงาตะคลุ่มๆ ของซากรถเก๋งคนหนึ่งที่น่าจะจอดสงบนิ่งข้างบ้านผมมาสักระยะแล้วเพราะเริ่มปกคลุมไปด้วยกอหญ้าเตี้ยๆที่สูงสักหัวเข่า ได้แล้วล่ะ ในความมืด ณ ตรงนั้น แสงลางๆ ทำให้ผมเดาได้จากรูปลักษณะว่ามันเป็นรถเก๋งคันหนึ่งที่สภาพหน้ายุบบี้ไปหมด แต่ ยี่ห้ออะไร สีอะไร รุ่นไหน อันนี้ดูไม่ออกครับเพราะมันมืดเห็นไม่ชัด
ตอนนั้นผมไม่ได้เมานะครับ เพราะปกติไม่ใช่ขาดื่ม เรื่องเหล้ายาอันนี้ไม่ชอบเลย ยิ่งกำลังจะบวชด้วยยิ่งต้องขอห่างไว้ก่อน แต่คืนนั้นไปนั่งคุยกับเพื่อนเผลอดื่มน้ำอัดลมระหว่างสนทนามากไปหน่อย ไม่ได้เมาและมีสติทุกอย่าง แต่ด้วยความคิดไม่ถึง ผมจึงยืนฉี่ไปที่ล้อรถเก๋งคันนั้นคันที่มาจอดทิ้งตรงข้างบ้านผมไปเต็มๆ สงสัยดื่มน้ำไปเยอะเลยฉี่อยู่นาน จนเสร็จแล้วโล่งสบาย แบบไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรจะเกิดขึ้นตามมา ฉี่เสร็จก้อหันหลังกลับจะเดินออกจากซอยข้างบ้านมาที่หน้าบ้าน
จำได้ว่าเดินออกมาได้ไม่ถึง 5 ก้าว มีเสียงอะไรบางอย่างแว่วๆ ตามหลังมาอย่างน่าพิศวง เสียงเหมือนแมวครางตอนที่กำลังเจ็บปวดอ่ะครับ(เสียงวิญญาณจริงๆ จะไม่เหมือนในละครครับ) เสียงจะดังประมาณนี้ครับ แอ้วๆๆ สามครั้ง พอผมหันควับกลับไปมองที่ต้นเสียงด้านหลังตนอนนั้นยังไม่รู้ว่าเสียงมาจากตรงไหนแต่เสียงมันน่าจะมาจากตรง รถที่ผมไปยืนฉี่ใส่นะแหล่ะครับ พอผมจ้องมองผ่านความมืดไปที่ตรงซากรถดังกล่าว ในใจตอนนั้นไม่ได้คิดเรื่องผีสางอะไรเลยครับ(แบบคาดไม่ถึง) ผมคิดว่าเป็นเสีบงแมว คิดว่าคงมีแมวมาคลอดลูกในรถประมาณนั้นเพราะเสียงครางที่ว่าฟังเผินเหมือนเสียงแมวครางด้วยความเจ็บปวดมากเลย ครับ
หลังจากเพ็งมองผ่านความมืดเพื่อจะมองหาต้นเสียง(คิดว่าแมว) คิดว่าจะเจอแมวสักตัวในความมืดแต่ไม่เห็นมีการสั่นไหวอะไรให้รู้ว่ามีแมวตรงนั้น ผมก้อไม่ได้คิดอะไร ดึกสงัดขนาดนี้บรรยากาศท้องถนน ทั้งเงียบทั้งวังเวง พ่อแม่ น้องเขาขึ้นบ้านปิดไฟนอนกันหมดแล้ว เลยตัดสินในหันหลังจะเดินเข้าบ้านอีกครั้ง พอจะเดินพ้นปากทาง เสียงคราง ด้วยความเจ็บปวดแบบนั้นดังตามหลังมาอีก คราวนี้ดังกว่าเดิมแบบเหมือนจะเจ็บปวดหนักกว่าเดิม ตอนนั้นผมรู้สึกถึงความประหลาดๆในน้ำเสียงนั้น พร้อม ขนแขนลุกซู่ เริ่มแน่นหน้าอก จนหูเริ่มร้อนผ่าว ตอนนั้นรู้แล้วล่ะครับว่า เสียงครางที่แทรกผ่านความมืดมิดในยามรัตติกาลเสียงนั้นคือเสียงของอะไร
ผมทำเป็นไม่สนใจครับ เดินเข้าบ้าน ปิดประตู ใส่กลอน แล้วอาบน้ำขึ้นนอนไปอย่างทองไม่รู้ร้อนเพราะในชีวิตเราเจอเรื่องเสียงประหลาดแบบนี้มาหหลายหนแต่หนนี้เสียงมันดูแปลกไปตรงที่มันครวญครางแบบเจ็บปวดที่กำลังใกล้จะตาย ไม่ใช่เสียงครวญครางที่โหยหวญเหมือนกับที่ผมเคยได้ยินตอนคืนก่อนวันพระใหญ่ตอนเด็กๆ
พออาบน้ำเสร็จผมขึ้นห้องนอน ซึ่งห้องนอนผมจะอยู่ชั้นสอง สมัยนั้นห้องไม่ได้ติดแอร์ พอขึ้นห้องเสร็จต้องเปิดหน้าต่างเพื่อระบายลม ซากรถเก๋งเจ้ากรรมที่เป็นโจทย์ของผมในคืนนี้ดันมาอยู่ด้านล่างห้องนอนผมอีกตะหาก นึกภาพตามนะครับ ถ้าชะโงกหน้าลงมาเห็นหลังคารถคันนั้นเลย บ้านเป็นตึก 3 ชั้น ผมนอนชั้น 2 แนวห้องนอนอยู่ฝั่งที่ผนังตึกติดซอยเปลี่ยวข้างบ้านที่ อู่ ซ่อมรถมันเอาซากรถที่ชนกันมาจอดชิดผนังข้างบ้าน (ผนังบ้านเขาเองจอดจนเต็มเลยมาฝากจอดข้างบ้านผม)ด้วยถนนซอยข้างบ้านเป็นสาธารณะเลย ไปว่าเขาไม่ได้
ทุกคืนหลังจากที่กลับมาบ้านเพื่อรอบรรพชา ด้วยความที่การบวชสมัยนั้น หลวงพ่อของวัดที่ผมจะบวชท่าเคร่งครรัดมาก ท่านขู่ว่าใครท่องขานนาคไม่ได้ แกจะไม่ให้บวช(เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า ตอนเข้าโบสน์ขอบวชคนที่ท่องขานนาคไม่ผ่านโดนไล่กลับบ้านจริงๆ)
ตอนนั้น ผมกลัวมากกลัวจะท่องไม่ผ่าน แล้วหลวงพ่อไม่ให้บวช เลยก่อนนอนผมจะต้องเอาหนังสือ มนต์พีธีเล่มเหลืองๆ(คนเคยบวชจะรู้ดี)จะต้องมาเปิดท่องขานนาค ทุกคืนก่อนบวช ผมท่องเสียงไม่ดังครับ กลัวพ่อแม่หนวกหูตื่น คืนนั้นเริ่มจะลืมเสียงครางปริศนาเสียงนั้นแล้วด้วยซ้ำ ท่องขานนาคไปจนถึง ตี 2 แล้วเสียงที่ผมไม่อยากได้ยินในคืนนั้นก้อมาอีก คราวนี้ผมว่ามาดังกว่าเดิม แบบผมอยู่ชั้นสองได้ยินชัดเลย เสียงไม่เหมือนเดิมครับ เสียงคราง ปานสะอึกสะอื้น (ลืมบอกเสียงที่ว่าเป็นเสียงผู้หญิงครับ) ร้องแบบ เจ็บปวด ทรมาน แอ้วๆๆๆ ฮึก ฮือๆๆๆ ด้วยความที่ก่อนจะขึ้นนอนรู้แล้ว ทำใจแล้วว่า คืนนี้กำลังเจออะไร คิดว่ายังไงๆ ต้องเจออีกแน่ เพียงแต่มาแค่เสียง เลยไม่ได้ตกใจอะไร เนื่องจากเรากำลังอ่านหนังสือมนต์พิธี เพื่อ ท่องขานนาค พอดี ผมเลยเปิดไปหน้าที่เป็นบทสวดมนต์แผ่เมตตาดู พอท่องบทแผ่ให้เสียงๆ (ผมท่องเสียงดังเลยงานนี้) เสียงนั้นแทนที่จะเงียบกลับเริ่มดังขี้นๆ จนผมเริ่มรู้สึกกล้วว่าคนในบ้านผมจะตื่น เลยหยุดท่องบทสวดมนต์นั้น แล้วเดินไปเปิด มุ้งลวดหน้า แล้ว ชะโหงกหน้าลงไปที่รถพยายามจะเพ็งมองให้เห็นเธอผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นให้ได้ ด้วยความตอนนั้นผมแน่นหน้าอกมากจนน้ำหูน้ำตาไหลแต่ไม่เห็นตัวของเจ้าของเสียงร้องให้นะ
ผมเลยเอามือทุบไปที่ขอบหน้าต่าง สามครั้ง ตึ้งๆๆๆ แล้วพูดออกไปว่า เธอต้องการอะไร อยากให้ช่วยอะไร ยังไงมาเข้าฝันแล้วกันนะ คืนนี้ ผมจะนอนแล้ว ง่วงแล้ว คืนนั้นหลังปิดไฟห้องนอนแล้วพยายามจะนอนฟังเสียงร้องให้ปริศนาที่ว่าอีก แต่เงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงจิ้งหรีด เรไร ให้รบกวนหู แม้แต่เสียงรถยนต์ที่จะวิ่งผ่านถนนหน้าบ้านสักคันยังไม่มี
มันไม่แปลกหลอกครับ สมัยนั้นรถยนต์มันไม่ได้มีเยอะแยะมากมายเหมือนทุกวันนี้ ในเวลาตีสองตีสามแบบนี้ ผู้คนตามชนบท เขาเข้าบ้านหลับนอนกัน ผมคิดว่าเธอจะรู้ตัวแล้วล่ะว่าผมสัมผัสการสื่อของเธอได้ เสียงเธอเลยเงียบไป พร้อมกับผมที่เผลอหลับไปเพราะความอ่อนเพลียมาทั้งวัน
คืนนั้น ค่อนแจ้ง ในความฝัน ที่แปลกๆของผม ผมฝันแบบลางๆว่า ผมหลงเข้าไปในป่าอะไรสักอย่าง ระหว่างที่ผมกำลังหลงทางในป่าแห่งนั้น พลันสายตาผมได้เห็นทางที่สว่างๆ ออกจากป่า ผมเดินไปที่ทางนั้น ปรากฏว่าพออกจากทางตรงนั้น มันเป็นทางเนิน ขึ้นเขาครับ ภาพที่เห็น มีคนทั้งชาย หญิง คนแก่ หนุ่ม สาว หัวหงอกหัวดำ นุ่งขาวห่มขาวเหมือนคนไปถือศีลที่วัดประมาณนั้นเลย กำลังเดิน ก้มหน้าก้มตาต่อแถวยาว เดินเท้า ต่อคิวกันขึ้นเขา ในฝันผมสงสัยมากกว่าพวกเขาจะไปไหนกัน เลยเดินเข้าไปถามยายคนหนึ่งที่กำลังเดินก้มหน้าก้มตา ผมถามว่า ยายๆกำลังจะเดินไปไหนกัน แต่ไม่มีเสียงตอบ ทุกคนก้มหน้าก้มตาเดินแถวยาวห่มขาวขึ้นเขาเขากัน แบบไม่มีใครคุยอะไรกัน
แต่ในฝันฉับพลันผมต้องตกใจสุดขีดเมื่อจู่ มีใครไม่รู้มาจับแขนผมแล้วดึงตัวผมจนแทบล้ม พอผมหันไป ผมยังจำหน้าเธอได้ไม่เคยลืม ผู้หญิงผมยาวร่างท้วมๆผิวดำแดง ใส่ชดขาวที่เปื้อนไปด้วยเลือดทั้งชุด มาดึงแขนผมในฝัน พร้อมทำท่าหวาดกลัวอะไรบางอย่าง เธอร้องให้ผมช่วยด้วยใบหน้าเปื้อนเลือด ช่วยฉันด้วย พาฉันกลับบ้านด้วย ๆ ๆ ๆ เธอพูดแบบนี้ย้ำหลายครั้ง ก่อนที่(ไม่รู้จากตรงไหน)จะมีชายสองคนใส่ชุดดำ เหมือนลอยมาอ่ะ มาฉุดกระชากร่างของเธอไป ก่อนที่เธอจะส่งเสียงร้องกรี๊ดลั่นหูผม แล้วผมก้อตกใจตื่น (พอตื่นขึ้นมาดูนาฬิกาในห้องนอน หกโมงเช้าแล้ว )อ้าวนี้เราฝันอะไรวะเนี่ยะ ในใจคิด
เช้าในวันนั้นหลังจากไปธุระที่วัดที่จะบวช พอสายๆ เริ่มมีแดดสว่างๆ (ช่วงนั้นหน้าฝนวันนั้นฝนครึ้มๆ) พอกลับบ้าน ผมไม่รอรีเลยที่รีบไปที่ซากรถ ที่ทำให้ผมเจอเรื่องประหลาดมาทั้งคืนเมื่อวาน รีบไปดูที่รถคันนั้นคันที่ผมฉิ่งฉ่องใส่เมื่อคืน(ตอนหลังผมขอขมาเธอด้วยที่ไปฉี่ใส่รถ) พอผมแหวกพงหญ้าออก(น่าจะมาจอดที้งไว้นานพอสมควร) ผมถึงบางอ้อเลย เพราะพอมองผ่านประตูรถเข้าไป(กระจกข้าง กระจกหน้ามันแตกหมดแล้ว) ภายในห้องโดยสารรถ ตรงเบาะคนขับ มีคราบเลือดที่แห้งกรังเต็มเบาะไปหมด พวงมาลัยยุบบี้มาถึงเบาะคนขับรถ ที่พวงมาลัยมีเศษเส้นผมเป็นกระจุกๆ ที่ปลายโคนผมมีเศษ(น่าจะเป็นหนังหัว)ติดอยู่แบบ เริ่มแห้งกรังแล้ว สภาพหน้ารถยับมาก มันเป็นรถ เก๋ง มิตซู แลนเซอร์ สีเลือดหมู ผมจำไม่เคยลืม หน้ารถยุบมาจนถึงห้องโดยสาร สภาพเละขนาดนี้ คนขับคงไม่เหลือ ซึ่ง ก้อเป็นอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้
จากข้อมูลที่เจ้าของอู่ข้างบ้านผมบอกมา คนขับเป็นผู้หญิงมาคนเดียวขับรถกลับจากทำงาน(เป็นข้าราชการครูครับ) จะกลับบ้าน เธอประสบอุบัติเหตุรถไปชนท้ายรถสิบล้อเสียชีวิตคาที่ในรถในขณะที่ยังใส่ชุดราชการอยู่ พอทราบข้อมูล ชื่อที่อยู่ ของคนที่เสียชีวิต บ่ายวันนั้น ผมขับรถไปที่บ้านของเธอทันที(เราไปยุ่งอะไรกับเขาวะเนี่ยะ) เป็นบ้านที่อยู่เขตนอกๆอำเภอครับ พอไปถึงเราไปบอกเรื่องทั้งหมดที่เราเจอมาเมื่อคืนให้พ่อเขาฟัง พ่อเขา ทำหน้า งงๆนะ ปรากฏว่างานศพเขาจัดเสร็จไปร่วมเดือนแล้ว ครับ พอผมเข้าไปในบ้าน รูปหน้าศพเขาตอนใส่ชุดขาราชการแขวนอยู่ ไม่ต้องบอกเลยว่าคนไหนเพราะเขาคือคนที่มาเกาะแขนผมในฝันแล้วบอกให้ พาเขากลับบ้านเมื่อคืน ทีแรกทางบ้านเขาไม่ค่อยเชื่อ แต่พอผมอธิบายเหตุผลต่างๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น ครอบครัวเขา พร้อมใจกันใส่ชุดดำ นิมนต์พระมา หนึ่งรูป เดินถือสายสิญคล้องรูปเธอมา โดยที่แม่ของเธอเดินถือรูปหน้าศพตามพระมา ก่อนที่พระจะมาถามผมว่ารถที่เจอเสียงเธอร้องให้คันไหน ขนาดที่บ้านเขายังจำรถของเธอไม่ได้ครับเพราะมันยับเยินจนไม่เหลือสภาพ ผมเลยต้องไปเป็นธุระช่วยเขาทำพิธีเชิญวิญญาณ เพื่อจะให้ เธอกลับได้บ้าน อย่างที่เธอมาสื่อบอกผม หลังจากนั้นผมได้ใช้เวลาสวดมนต์พิธีก่อนเข้านอนอีกสามคืนก่อนจะบวช พร้อมแผ่เมตตาให้กับ เธอ โดยที่ไม่เคยได้ยินเสียงร้องครวญครางของเธออีกเลย นับแต่คืนนั้น จนผมได้ไปเข้าบรรพชาตามที่ใจหมาย ก่อนที่จะบวชผมได้ถามที่บ้านผมว่าตลอดเวลาที่รถคันนี้มาจอดข้างบ้านมีใครเคยได้ยินเสียงผู้หญิงร้องให้ไหม ทุกคนส่ายหัว อ้าวแสดงว่า ผมได้ยินคนเดียวสิ แล้วนี่ถ้าผมไม่ได้กลับบ้านมาบวช วิญญาณของเธอคงไม่รู้จะไปสื่อกับใคร เธอคงจะต้องสิงสถิตอยู่กับซากรถที่กำลังจะผุพังไปตามกาลเวลาสินะ
หลังจากผมไปบวชที่วัดนานพอสมควร พอวันผมสึกกลับมาที่บ้าน ซากรถคันนั้น เขายกออกไปแล้ว แล้วผมก้อไม่เคยได้ยินเสียงเธอร้องให้หรือเธอมาเข้าฝันผมอีกเลยนับแต่นั้นมา ผมได้แต่หวังว่า สิ่งที่ผมได้ทำ ในวันนั้น คงจะทำให้เธอสาวน้อยคนนั้น ได้กลับบ้านสมปราฤนา ไปอยู่กับคนที่เธอรัก ครอบครัวที่รักเธอ ตามจิตสุดท้ายของวิญญาณที่เขาตายในขณะที่กำลังจะกลับบ้าน ด้วยนะครับ…….จบ .(เรื่องที่เล่ามาใครจะเชื่อหรือไม่แล้วแต่วิจารณณาณนะครับ ขอบคุณครับ)
พอกลับถึงบ้าน ผมพบว่าหน้าบ้านยังไม่ปิด ปกติ ดึกขนาดนี้พ่อแม่ผมต้องปิดบ้านนอนหมดแล้ว แต่เห็นพ่อกับแม่นั่งหน้าเครียดอยู่หน้าบ้าน “ไปไหนมา รู้ไหมว่าพ่อแม่เป็นห่วง บอกแล้วไงว่าก่อนจะบวชไม่ให้ไปเที่ยวไหน” ฉอดๆๆๆๆๆๆ โดนด่ายับ ก่อนบวช ฮ่าๆ แต่พอท่านเห็นผมกลับบ้านแล้วหลังจากด่าไปตามระเบียบแล้ว ท่านก้อขอตัวไปเข้านอน ผมไม่ได้เถียงอะไร เพราะถือว่าตัวเองผิดเองที่กลับบ้านผิดเวลา ตอนนั้น รู้สึกปวดฉี่มากเพราะดื่มน้ำอัดลมไปเยอะตอนนั้งเม้าส์กับเพื่อนเก่าที่นานๆเจอกันที เลยจะเดินไปเข้าห้องน้ำในบ้าน แต่ห้องน้ำไม่ว่าง เพราะติดมีน้องสาวคนเล็กกำลังเข้าอยู่(น้องผมคนนี้ก้อยังไม่เข้านอนทั้งๆที่ต้องเข้านอนตั้งแต่หัวต่ำแล้ว แต่ทุกคนมานั่งรอผมกลับบ้านนี่แหล่ะครับ) เอาไงดี ปวดฉิ่งฉ่องมาก ปวดจนขนลุก ห้องน้ำในบ้านก้อไม่ว่าง จริงๆห้องน้ำบ้านผมมีสองห้อง แต่อีกห้องมันอยู่ชั้น สาม
ผมเลยขี้เกียจขึ้นไปเข้าห้องน้ำชั้นบน เลยเดินออกมา หาทำเลดี ฉิ่งฉ่องข้างๆบ้านนี่แหล่ะวะ ในใจคิดแบบนั้น ภาพ ผู้ชายยืนฉี่ตามข้างทาง ป่าหญ้า ผมว่าไม่น่าแปลกสำหรับคนตามบ้านนอกๆ ผมเลยไม่ถือสาอะไรที่จะไปยืนฉี่ข้างๆบ้านตัวเอง ที่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับสุสานรถที่บุบ บี้ พังยับเยินจากอุบัติเหตุ ที่อู่ข้างบ้านผมเขายกมาจอดขนาบฝาบ้านผม เพื่อรออะไร(ไม่ได้ถามเขา) ดึกขนาดนั้น ใครจะมาเห็น บรรยากาศของถนนเส้นหลักมุ่งสู่ตัวจังหวัดนครสวรรค์หน้าบ้านผมมันเงียบมากครับ สมัยนั้นรถรามันน้อยมาก ไม่ได้เยอะแยะเหมือนสมัยนี้ ยิ่งเวลาสี่ทุ่มห้าทุ่ม ขนาดนี้ มันช่างเงียบเสียจริงๆ
ผมเดินเข้าไปในซอยมืดๆข้างบ้าน ที่ตอนนี้ต้องอาศัยแสงจากไฟถนนหน้าบ้านกับแสงเดือน แสงดาว จากฟากฟ้า ให้ส่องสว่างนำทาง พอเห็นเป็นเงาตะคลุ่มๆ ของซากรถเก๋งคนหนึ่งที่น่าจะจอดสงบนิ่งข้างบ้านผมมาสักระยะแล้วเพราะเริ่มปกคลุมไปด้วยกอหญ้าเตี้ยๆที่สูงสักหัวเข่า ได้แล้วล่ะ ในความมืด ณ ตรงนั้น แสงลางๆ ทำให้ผมเดาได้จากรูปลักษณะว่ามันเป็นรถเก๋งคันหนึ่งที่สภาพหน้ายุบบี้ไปหมด แต่ ยี่ห้ออะไร สีอะไร รุ่นไหน อันนี้ดูไม่ออกครับเพราะมันมืดเห็นไม่ชัด
ตอนนั้นผมไม่ได้เมานะครับ เพราะปกติไม่ใช่ขาดื่ม เรื่องเหล้ายาอันนี้ไม่ชอบเลย ยิ่งกำลังจะบวชด้วยยิ่งต้องขอห่างไว้ก่อน แต่คืนนั้นไปนั่งคุยกับเพื่อนเผลอดื่มน้ำอัดลมระหว่างสนทนามากไปหน่อย ไม่ได้เมาและมีสติทุกอย่าง แต่ด้วยความคิดไม่ถึง ผมจึงยืนฉี่ไปที่ล้อรถเก๋งคันนั้นคันที่มาจอดทิ้งตรงข้างบ้านผมไปเต็มๆ สงสัยดื่มน้ำไปเยอะเลยฉี่อยู่นาน จนเสร็จแล้วโล่งสบาย แบบไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรจะเกิดขึ้นตามมา ฉี่เสร็จก้อหันหลังกลับจะเดินออกจากซอยข้างบ้านมาที่หน้าบ้าน
จำได้ว่าเดินออกมาได้ไม่ถึง 5 ก้าว มีเสียงอะไรบางอย่างแว่วๆ ตามหลังมาอย่างน่าพิศวง เสียงเหมือนแมวครางตอนที่กำลังเจ็บปวดอ่ะครับ(เสียงวิญญาณจริงๆ จะไม่เหมือนในละครครับ) เสียงจะดังประมาณนี้ครับ แอ้วๆๆ สามครั้ง พอผมหันควับกลับไปมองที่ต้นเสียงด้านหลังตนอนนั้นยังไม่รู้ว่าเสียงมาจากตรงไหนแต่เสียงมันน่าจะมาจากตรง รถที่ผมไปยืนฉี่ใส่นะแหล่ะครับ พอผมจ้องมองผ่านความมืดไปที่ตรงซากรถดังกล่าว ในใจตอนนั้นไม่ได้คิดเรื่องผีสางอะไรเลยครับ(แบบคาดไม่ถึง) ผมคิดว่าเป็นเสีบงแมว คิดว่าคงมีแมวมาคลอดลูกในรถประมาณนั้นเพราะเสียงครางที่ว่าฟังเผินเหมือนเสียงแมวครางด้วยความเจ็บปวดมากเลย ครับ
หลังจากเพ็งมองผ่านความมืดเพื่อจะมองหาต้นเสียง(คิดว่าแมว) คิดว่าจะเจอแมวสักตัวในความมืดแต่ไม่เห็นมีการสั่นไหวอะไรให้รู้ว่ามีแมวตรงนั้น ผมก้อไม่ได้คิดอะไร ดึกสงัดขนาดนี้บรรยากาศท้องถนน ทั้งเงียบทั้งวังเวง พ่อแม่ น้องเขาขึ้นบ้านปิดไฟนอนกันหมดแล้ว เลยตัดสินในหันหลังจะเดินเข้าบ้านอีกครั้ง พอจะเดินพ้นปากทาง เสียงคราง ด้วยความเจ็บปวดแบบนั้นดังตามหลังมาอีก คราวนี้ดังกว่าเดิมแบบเหมือนจะเจ็บปวดหนักกว่าเดิม ตอนนั้นผมรู้สึกถึงความประหลาดๆในน้ำเสียงนั้น พร้อม ขนแขนลุกซู่ เริ่มแน่นหน้าอก จนหูเริ่มร้อนผ่าว ตอนนั้นรู้แล้วล่ะครับว่า เสียงครางที่แทรกผ่านความมืดมิดในยามรัตติกาลเสียงนั้นคือเสียงของอะไร
ผมทำเป็นไม่สนใจครับ เดินเข้าบ้าน ปิดประตู ใส่กลอน แล้วอาบน้ำขึ้นนอนไปอย่างทองไม่รู้ร้อนเพราะในชีวิตเราเจอเรื่องเสียงประหลาดแบบนี้มาหหลายหนแต่หนนี้เสียงมันดูแปลกไปตรงที่มันครวญครางแบบเจ็บปวดที่กำลังใกล้จะตาย ไม่ใช่เสียงครวญครางที่โหยหวญเหมือนกับที่ผมเคยได้ยินตอนคืนก่อนวันพระใหญ่ตอนเด็กๆ
พออาบน้ำเสร็จผมขึ้นห้องนอน ซึ่งห้องนอนผมจะอยู่ชั้นสอง สมัยนั้นห้องไม่ได้ติดแอร์ พอขึ้นห้องเสร็จต้องเปิดหน้าต่างเพื่อระบายลม ซากรถเก๋งเจ้ากรรมที่เป็นโจทย์ของผมในคืนนี้ดันมาอยู่ด้านล่างห้องนอนผมอีกตะหาก นึกภาพตามนะครับ ถ้าชะโงกหน้าลงมาเห็นหลังคารถคันนั้นเลย บ้านเป็นตึก 3 ชั้น ผมนอนชั้น 2 แนวห้องนอนอยู่ฝั่งที่ผนังตึกติดซอยเปลี่ยวข้างบ้านที่ อู่ ซ่อมรถมันเอาซากรถที่ชนกันมาจอดชิดผนังข้างบ้าน (ผนังบ้านเขาเองจอดจนเต็มเลยมาฝากจอดข้างบ้านผม)ด้วยถนนซอยข้างบ้านเป็นสาธารณะเลย ไปว่าเขาไม่ได้
ทุกคืนหลังจากที่กลับมาบ้านเพื่อรอบรรพชา ด้วยความที่การบวชสมัยนั้น หลวงพ่อของวัดที่ผมจะบวชท่าเคร่งครรัดมาก ท่านขู่ว่าใครท่องขานนาคไม่ได้ แกจะไม่ให้บวช(เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า ตอนเข้าโบสน์ขอบวชคนที่ท่องขานนาคไม่ผ่านโดนไล่กลับบ้านจริงๆ)
ตอนนั้น ผมกลัวมากกลัวจะท่องไม่ผ่าน แล้วหลวงพ่อไม่ให้บวช เลยก่อนนอนผมจะต้องเอาหนังสือ มนต์พีธีเล่มเหลืองๆ(คนเคยบวชจะรู้ดี)จะต้องมาเปิดท่องขานนาค ทุกคืนก่อนบวช ผมท่องเสียงไม่ดังครับ กลัวพ่อแม่หนวกหูตื่น คืนนั้นเริ่มจะลืมเสียงครางปริศนาเสียงนั้นแล้วด้วยซ้ำ ท่องขานนาคไปจนถึง ตี 2 แล้วเสียงที่ผมไม่อยากได้ยินในคืนนั้นก้อมาอีก คราวนี้ผมว่ามาดังกว่าเดิม แบบผมอยู่ชั้นสองได้ยินชัดเลย เสียงไม่เหมือนเดิมครับ เสียงคราง ปานสะอึกสะอื้น (ลืมบอกเสียงที่ว่าเป็นเสียงผู้หญิงครับ) ร้องแบบ เจ็บปวด ทรมาน แอ้วๆๆๆ ฮึก ฮือๆๆๆ ด้วยความที่ก่อนจะขึ้นนอนรู้แล้ว ทำใจแล้วว่า คืนนี้กำลังเจออะไร คิดว่ายังไงๆ ต้องเจออีกแน่ เพียงแต่มาแค่เสียง เลยไม่ได้ตกใจอะไร เนื่องจากเรากำลังอ่านหนังสือมนต์พิธี เพื่อ ท่องขานนาค พอดี ผมเลยเปิดไปหน้าที่เป็นบทสวดมนต์แผ่เมตตาดู พอท่องบทแผ่ให้เสียงๆ (ผมท่องเสียงดังเลยงานนี้) เสียงนั้นแทนที่จะเงียบกลับเริ่มดังขี้นๆ จนผมเริ่มรู้สึกกล้วว่าคนในบ้านผมจะตื่น เลยหยุดท่องบทสวดมนต์นั้น แล้วเดินไปเปิด มุ้งลวดหน้า แล้ว ชะโหงกหน้าลงไปที่รถพยายามจะเพ็งมองให้เห็นเธอผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นให้ได้ ด้วยความตอนนั้นผมแน่นหน้าอกมากจนน้ำหูน้ำตาไหลแต่ไม่เห็นตัวของเจ้าของเสียงร้องให้นะ
ผมเลยเอามือทุบไปที่ขอบหน้าต่าง สามครั้ง ตึ้งๆๆๆ แล้วพูดออกไปว่า เธอต้องการอะไร อยากให้ช่วยอะไร ยังไงมาเข้าฝันแล้วกันนะ คืนนี้ ผมจะนอนแล้ว ง่วงแล้ว คืนนั้นหลังปิดไฟห้องนอนแล้วพยายามจะนอนฟังเสียงร้องให้ปริศนาที่ว่าอีก แต่เงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงจิ้งหรีด เรไร ให้รบกวนหู แม้แต่เสียงรถยนต์ที่จะวิ่งผ่านถนนหน้าบ้านสักคันยังไม่มี
มันไม่แปลกหลอกครับ สมัยนั้นรถยนต์มันไม่ได้มีเยอะแยะมากมายเหมือนทุกวันนี้ ในเวลาตีสองตีสามแบบนี้ ผู้คนตามชนบท เขาเข้าบ้านหลับนอนกัน ผมคิดว่าเธอจะรู้ตัวแล้วล่ะว่าผมสัมผัสการสื่อของเธอได้ เสียงเธอเลยเงียบไป พร้อมกับผมที่เผลอหลับไปเพราะความอ่อนเพลียมาทั้งวัน
คืนนั้น ค่อนแจ้ง ในความฝัน ที่แปลกๆของผม ผมฝันแบบลางๆว่า ผมหลงเข้าไปในป่าอะไรสักอย่าง ระหว่างที่ผมกำลังหลงทางในป่าแห่งนั้น พลันสายตาผมได้เห็นทางที่สว่างๆ ออกจากป่า ผมเดินไปที่ทางนั้น ปรากฏว่าพออกจากทางตรงนั้น มันเป็นทางเนิน ขึ้นเขาครับ ภาพที่เห็น มีคนทั้งชาย หญิง คนแก่ หนุ่ม สาว หัวหงอกหัวดำ นุ่งขาวห่มขาวเหมือนคนไปถือศีลที่วัดประมาณนั้นเลย กำลังเดิน ก้มหน้าก้มตาต่อแถวยาว เดินเท้า ต่อคิวกันขึ้นเขา ในฝันผมสงสัยมากกว่าพวกเขาจะไปไหนกัน เลยเดินเข้าไปถามยายคนหนึ่งที่กำลังเดินก้มหน้าก้มตา ผมถามว่า ยายๆกำลังจะเดินไปไหนกัน แต่ไม่มีเสียงตอบ ทุกคนก้มหน้าก้มตาเดินแถวยาวห่มขาวขึ้นเขาเขากัน แบบไม่มีใครคุยอะไรกัน
แต่ในฝันฉับพลันผมต้องตกใจสุดขีดเมื่อจู่ มีใครไม่รู้มาจับแขนผมแล้วดึงตัวผมจนแทบล้ม พอผมหันไป ผมยังจำหน้าเธอได้ไม่เคยลืม ผู้หญิงผมยาวร่างท้วมๆผิวดำแดง ใส่ชดขาวที่เปื้อนไปด้วยเลือดทั้งชุด มาดึงแขนผมในฝัน พร้อมทำท่าหวาดกลัวอะไรบางอย่าง เธอร้องให้ผมช่วยด้วยใบหน้าเปื้อนเลือด ช่วยฉันด้วย พาฉันกลับบ้านด้วย ๆ ๆ ๆ เธอพูดแบบนี้ย้ำหลายครั้ง ก่อนที่(ไม่รู้จากตรงไหน)จะมีชายสองคนใส่ชุดดำ เหมือนลอยมาอ่ะ มาฉุดกระชากร่างของเธอไป ก่อนที่เธอจะส่งเสียงร้องกรี๊ดลั่นหูผม แล้วผมก้อตกใจตื่น (พอตื่นขึ้นมาดูนาฬิกาในห้องนอน หกโมงเช้าแล้ว )อ้าวนี้เราฝันอะไรวะเนี่ยะ ในใจคิด
เช้าในวันนั้นหลังจากไปธุระที่วัดที่จะบวช พอสายๆ เริ่มมีแดดสว่างๆ (ช่วงนั้นหน้าฝนวันนั้นฝนครึ้มๆ) พอกลับบ้าน ผมไม่รอรีเลยที่รีบไปที่ซากรถ ที่ทำให้ผมเจอเรื่องประหลาดมาทั้งคืนเมื่อวาน รีบไปดูที่รถคันนั้นคันที่ผมฉิ่งฉ่องใส่เมื่อคืน(ตอนหลังผมขอขมาเธอด้วยที่ไปฉี่ใส่รถ) พอผมแหวกพงหญ้าออก(น่าจะมาจอดที้งไว้นานพอสมควร) ผมถึงบางอ้อเลย เพราะพอมองผ่านประตูรถเข้าไป(กระจกข้าง กระจกหน้ามันแตกหมดแล้ว) ภายในห้องโดยสารรถ ตรงเบาะคนขับ มีคราบเลือดที่แห้งกรังเต็มเบาะไปหมด พวงมาลัยยุบบี้มาถึงเบาะคนขับรถ ที่พวงมาลัยมีเศษเส้นผมเป็นกระจุกๆ ที่ปลายโคนผมมีเศษ(น่าจะเป็นหนังหัว)ติดอยู่แบบ เริ่มแห้งกรังแล้ว สภาพหน้ารถยับมาก มันเป็นรถ เก๋ง มิตซู แลนเซอร์ สีเลือดหมู ผมจำไม่เคยลืม หน้ารถยุบมาจนถึงห้องโดยสาร สภาพเละขนาดนี้ คนขับคงไม่เหลือ ซึ่ง ก้อเป็นอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้
จากข้อมูลที่เจ้าของอู่ข้างบ้านผมบอกมา คนขับเป็นผู้หญิงมาคนเดียวขับรถกลับจากทำงาน(เป็นข้าราชการครูครับ) จะกลับบ้าน เธอประสบอุบัติเหตุรถไปชนท้ายรถสิบล้อเสียชีวิตคาที่ในรถในขณะที่ยังใส่ชุดราชการอยู่ พอทราบข้อมูล ชื่อที่อยู่ ของคนที่เสียชีวิต บ่ายวันนั้น ผมขับรถไปที่บ้านของเธอทันที(เราไปยุ่งอะไรกับเขาวะเนี่ยะ) เป็นบ้านที่อยู่เขตนอกๆอำเภอครับ พอไปถึงเราไปบอกเรื่องทั้งหมดที่เราเจอมาเมื่อคืนให้พ่อเขาฟัง พ่อเขา ทำหน้า งงๆนะ ปรากฏว่างานศพเขาจัดเสร็จไปร่วมเดือนแล้ว ครับ พอผมเข้าไปในบ้าน รูปหน้าศพเขาตอนใส่ชุดขาราชการแขวนอยู่ ไม่ต้องบอกเลยว่าคนไหนเพราะเขาคือคนที่มาเกาะแขนผมในฝันแล้วบอกให้ พาเขากลับบ้านเมื่อคืน ทีแรกทางบ้านเขาไม่ค่อยเชื่อ แต่พอผมอธิบายเหตุผลต่างๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น ครอบครัวเขา พร้อมใจกันใส่ชุดดำ นิมนต์พระมา หนึ่งรูป เดินถือสายสิญคล้องรูปเธอมา โดยที่แม่ของเธอเดินถือรูปหน้าศพตามพระมา ก่อนที่พระจะมาถามผมว่ารถที่เจอเสียงเธอร้องให้คันไหน ขนาดที่บ้านเขายังจำรถของเธอไม่ได้ครับเพราะมันยับเยินจนไม่เหลือสภาพ ผมเลยต้องไปเป็นธุระช่วยเขาทำพิธีเชิญวิญญาณ เพื่อจะให้ เธอกลับได้บ้าน อย่างที่เธอมาสื่อบอกผม หลังจากนั้นผมได้ใช้เวลาสวดมนต์พิธีก่อนเข้านอนอีกสามคืนก่อนจะบวช พร้อมแผ่เมตตาให้กับ เธอ โดยที่ไม่เคยได้ยินเสียงร้องครวญครางของเธออีกเลย นับแต่คืนนั้น จนผมได้ไปเข้าบรรพชาตามที่ใจหมาย ก่อนที่จะบวชผมได้ถามที่บ้านผมว่าตลอดเวลาที่รถคันนี้มาจอดข้างบ้านมีใครเคยได้ยินเสียงผู้หญิงร้องให้ไหม ทุกคนส่ายหัว อ้าวแสดงว่า ผมได้ยินคนเดียวสิ แล้วนี่ถ้าผมไม่ได้กลับบ้านมาบวช วิญญาณของเธอคงไม่รู้จะไปสื่อกับใคร เธอคงจะต้องสิงสถิตอยู่กับซากรถที่กำลังจะผุพังไปตามกาลเวลาสินะ
หลังจากผมไปบวชที่วัดนานพอสมควร พอวันผมสึกกลับมาที่บ้าน ซากรถคันนั้น เขายกออกไปแล้ว แล้วผมก้อไม่เคยได้ยินเสียงเธอร้องให้หรือเธอมาเข้าฝันผมอีกเลยนับแต่นั้นมา ผมได้แต่หวังว่า สิ่งที่ผมได้ทำ ในวันนั้น คงจะทำให้เธอสาวน้อยคนนั้น ได้กลับบ้านสมปราฤนา ไปอยู่กับคนที่เธอรัก ครอบครัวที่รักเธอ ตามจิตสุดท้ายของวิญญาณที่เขาตายในขณะที่กำลังจะกลับบ้าน ด้วยนะครับ…….จบ .(เรื่องที่เล่ามาใครจะเชื่อหรือไม่แล้วแต่วิจารณณาณนะครับ ขอบคุณครับ)
แสดงความคิดเห็น
เธออยากจะกลับบ้าน
ถ้าแบบการได้ยินเสียงวิญญาณอันนี้นับไม่ถ้วนเลยครับ ยิ่งถ้าคืนก่อนวันพระใหญ่ในสมัยเด็ก ๆ ผมต้องมีเสียวสันหลังก่อนนอนเพราะว่าผมจะต้องได้ยินเสียงที่ไม่น่าอยากได้ยินก่อนนอนบ่อยๆจนเกือบเสียประสาท (แต่ไม่ใช่ทุกคืนก่อนวันพระนะครับ)จำได้สมัยเด็กๆ เคยถึงขั้นต้องหาสำลีมายัดหูก่อนนอนเลยทีเดียวแต่ไร้ผลครับสิ่งที่ได้ยินมันเหมือนจะเข้ามาทางโสตประสาทมากกว่ายังไงก้อได้ยินอยู่ดี ส่วนการได้กลิ่นก้อเช่นกันครับถ้าผมจะต้องไปนอนค้างอ้างแรมที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านตัวเอง โดยเฉพาะพวกโรงแรมตามต่างจังหวัด ถ้าผมเปิดประตูห้องแล้วมีกลิ่นอายของวิญญาณ(กลิ่นจะสาปๆฉุนๆแห้งๆ)แต่จะไม่ใช่กลิ่นอับของห้องแน่ครับ ถ้าเจอกลิ่นดังกล่าวแล้วรู้สึกแสบแน่นหน้าอกเหมือนจะหายใจไม่ออก ผมจะรู้ทันทีเลยว่า มี แน่นอนแล้วจะขอเปลี่ยนห้องทันที เคยเจอบ่อยแต่ก้อไม่ได้หมายความว่า จะอยากเจออีกนะครับเป็นไปได้จะ ไม่เจอดีที่สุด ที่พูดมาเป็นเรื่องในอดีตที่ผมเคยประสบพบเจอมาทั้งนั้นนะครับ เพราะปัจจุบัน สัมผัสพิเศษอะไรแบบนั้นของผมมันหายไปเกือบหมดแล้ว (สัมผัสพิเศษที่ว่าหายไปหลังจากบวชครับ ซึ่งนานมากๆอาจจะมีสักครั้ง) ผมสบายแล้วครับไม่ต้องทนรับรู้เรื่องแบบนี้อีก และไม่อยากจะให้มีอีก ที่แล้วๆมา ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่จะเก็บเอาไว้เล่าให้คนรุ่นหลังๆฟังกันครับ
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อตอน ต้นปี 2541 ตอนนั้นผมอายุ 27 ปี (ปัจจุบันนี้เท่าไหร่คำนวณเอาเองนะครับ)เป็นช่วงที่ชีวิตของคนไทยหลายล้านคนกำลังตกงาน ย่ำแย่ กิจการบริษัท ห้างร้านพากันปิดตัวลงเพราะพิษภัยของวิกฤตฟองสบู่แตก ยุค รัฐบาล พลเอกชวลิต วิกฤตค่าเงินบาทลอยตัว ผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยมากมาย รวมทั้งตัวผมด้วยที่ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์ที่กำลังมีหน้าที่การงานที่ดีๆทำกับต้อง มาตกงานเพราะวิกฤตนี้แบบไม่ทันตั้งตัว ในช่วงที่กำลัง มึนงง กับชีวิตหลังจากที่ออกจากงานแล้ว เนื่องจากผมเป็นเด็ก ตจว แต่เข้ามาเรียน ป ตรีใน กทม พอเรียนจบก้อได้ทำงานที่เมืองหลวง ชีวิตแทบไม่เคยได้กลับบ้านนอก บ้านเกิดผมเลย (หลงแสงสีในเมืองกรุงประมาณนั้น)
ตอนนั้น ถือเป็นโอกาสดี ของพ่อ-แม่ ผม ที่จะให้ผมกลับบ้านไป บวช เหตุเพราะตามความเชื่อของคนไทย ใครๆก้ออยากให้ลูกชายได้บวช(ผมเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวครับ) ตอนนั้น พ่อผมบอกให้ผมบวชตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆแล้วครับ แต่ผมมัวแต่ติดหางาน พอได้งานก้อติดทำงาน หาเวลามาบวชไม่ได้สักที ตอนนี้ โอกาสที่พ่อแม่ผมจะได้เห็นชายผ้าเหลืองผมมาแล้วครับ (ว่างบวชแล้วเพราะกำลังตกงาน 555) ผมก้อเห็นดีด้วยนะ ไหนๆก้อไหนๆ กำลังว่าง กำลังสับสน กับอนาคต ตัวเองว่าจะไปยังไงต่อไป เพราะคนเพิ่งออกจากงานมาแบบไม่ได้ทำไรผิด(โดนปลดออกเพราะบริษัทล้มละลายเพราะวิกฤต) คิดว่ากลับไปบวชสักพัก ทำใจให้สงบก่อนมาหางานใหม่อะไรๆคงจะดีขึ้นบ้าง แล้ว ที่สำคัญอย่างน้อยการได้ไปบวชของผมคงจะทำให้พ่อแม่ได้ชื่นใจได้บ้าง ชดเชยที่แกกำลังเครียดๆที่อุตส่าห์ส่งเงินให้เรียนดีๆ แต่ได้ทำงานไม่นานลูกต้องมาตกงาน
ผมขับรถกลับมาบ้านเพื่อจะมาบวช ที่อำเภอแห่งหนึ่ง ใน จ.นครสวรรค์ เป็นอำเภอเล็กๆชนบทๆ ที่ห่างไกลตัวเมืองพอสมควร ด้วยความที่ไม่เคยกลับมาบ้านเกือบสองปี มัวแต่ใช้ชีวิตติดหรูทำตัวเป็นไฮโซเซาะกราวในเมืองหลวง เลยหลงลืมกลิ่นอายของชนบท บ้านเกิดตัวเอง
ครอบครัวของผม เป็นครอบครัวคนจีน ที่มีฐานะดีพอสมควรในอำเภอ สภาพบ้านของผมเป็นบ้านเดี่ยวเป็นตึกสามชั้นไม่มีรั้วบ้านเพราะเป็นตึกหน้าบ้านเป็นประตูเหล็ก และ อยู่ติดถนนใหญ่ที่เป็นถนนเส้นหลักเข้าสู่ตัวจังหวัด ข้างๆบ้านผมจะมีซอยเล็กๆที่เป็นซอยไปออกทุ่งนาหลังบ้าน(ในสมัยนั้นแต่ปัจจุบันทุ่งนากลายเป็นบ้านจัดสรรไปหมดแล้ว) และอีกฝากจะเป็นบ้านที่เขาทำกิจการอู่ซ่อมรถรถยนต์ที่อยู่ติดกับบ้านผมนี่แหล่ะ แต่มีถนนที่เป็นดิน(ไม่ใช่ถนนปูน)กั้นเท่านั้น ถนนดินที่กั้นบ้านผมกับอู่ซ่อมรถที่ว่านี้เล็กๆแคบๆนะครับ เรียกว่าแค่รถกะบะ รถเก๋งวิ่งเข้าออกได้ แต่วิ่งสวนกันไม่ได้ครับ แต่ ถนนดินตรงนี้วิ่งเข้าไปมันทางหลังบ้านจะไปออกทุ่งนา(สมัยนั้น) เลยไม่มีรถวิ่งเข้าออก มันเลยเป็นที่มาของเรื่องที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังกันนี่แหล่ะครับ
อู่ที่ติดกับบ้านผมนี้มีมานานแล้วครับ เขาเปิดมาตั้งแต่ผมยังเด็กๆด้วยซ้ำ แต่สองปีที่ผมไม่ได้กลับบ้าน พอวันนี้ผมกลับบ้านมาเพื่อรอ การบรรพชา กิจการของอู่ซ่อมรถ ที่ว่ามันดูรุ่งเรืองขึ้น ดูรถที่เอาเข้ามาซ่อมเยอะขึ้น(รถชนกันเยอะว่างั้น) แต่ทำไม เห็นมีซากรถทั้งเก๋ง กะบะ หกล้อ ที่ชน บุบ บี้ พังยับเยิน มาจอดทิ้งไว้ตรงถนนดินข้างบ้านผมเต็มไปหมดเรียกว่าพื้นที่ภายในอู่บ้านเขาไม่พอเก็บซากรถแล้วหรือย่างไร กัน ถึงขนาดต้องเอามาจอดพิงฝาบ้านผม(บ้านเป็นตึกสามชั้นไม่มีรั้วครับ) แม่มาให้ข้อมูลทีหลังว่า ตอนหลังอู่ข้างบ้านที่ว่าเขามีกิจการรถยกด้วย คือเขาจะร่วมมือกับตำรวจ และกู้ภัย พอมีอุบัติเหตุ เขาจะวิทยุมาแจ้งทาง อู่ให้ไปยกรถที่ประสบอุบัติเหตุ มาจอดพักไว้ที่นี่(จะเอามาพักไว้ทำไมอันนี้ผมไม่ได้ถามเขานะ)
ภาพของซากรถที่พังยับเยินจากอุบัติเหตุ ที่มาจอดไว้ข้างผนังบ้านผม จึงเป็นทัศนีย์ภาพใหม่ที่ไม่น่าชวนมองของผม ภายหลังจากสองปีที่เพิ่งได้กลับมาบ้าน แต่ด้วยความที่เพื่อนบ้านกันพ่อแม่ผมเขาก้อไม่ได้ต่อว่าอะไรเจ้าของอู่เพราะถือว่าซอยตรงนั้นมันเป็นทางหลวงและเป็นซอยติดบ้านผมกับอู่ ซอยที่ไม่มีรถเข้าออกเพราะถ้าออกไปหลังบ้านเป็นทุ่งนาที่ว่างเปล่า จะไปทำไม(555) ก้อเลยแบบอยู่ๆกันไปแบบ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันฉันเพื่อนบ้านกัน(ความคิดดีนะ)
หลังจากคืนแรกที่ผมได้กลับมาบ้านเพื่อเตรียมตัวก่อนบวชเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ช่วงนั้น พ่อแม่ผมเขาแจกการ์ดเชิญแขกเหรือญาติมิตรไปก่อนหน้าร่วมเดือนแล้ว ข้าวของเครื่องใช้สำหรับการบวชพระก้อซื้อมาจัดเตรียมที้บ้านหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ความพร้อมของนาค(ตัวผม) นับเวลาของผมหลังกลับบ้านที่มีก่อนจะบวชแค่ 1 สัปดาห์เป็นหนึ่งสัปดาห์ที่พ่อแม่ผมเขา เคร่งครัดกับผมมาก เขาจะห้ามปรามไม่ให้ออกไปไหนเลย ไม่ให้ไปหาเพื่อน ไม่ให้ไปกินข้าวนอกบ้าน อยากได้อะไรเดี๋ยวมีคนใช้ไปซื้อให้ แบบเราก้อไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ว่าต้องห้ามทำไม จนบวชไปแล้วถึงรู้ว่า คนจะบวชมักมีมารผจญ พ่อแม่เลยกลัวมากจะไม่ได้บวช นอกจาก ช่วงบ่าย-เย็น ที่พ่อจะให้ผม ไปที่วัดที่ผมจะบวช ซึ่งจะมีกิจกรรมไปช่วยเหลือกิจกรรมภายในวัดเท่าที่จะทำได้ และ พอตกเย็นจะต้องไปร่วมสวดมนต์ทำวัดเย็นกับพระที่วัดด้วยเรียกว่าตั้งแต่บ่ายจนเย็นของทุกวันก่อนบวชผมจะต้องไปใช้ชีวิตที่วัด (รวมทั้งกินข้าววัดด้วย) แต่ยังไม่ถึงขั้นนอนที่วัดแต่มานอนบ้านครับ
หลังจากผ่านมาได้สองคืน ตกคืนที่สามหลังจากที่ไปประกอบกิจกรรมของพ่อนาคที่จะมีกุศลกรรมแก่ศาสนสถานที่เราขอบวชแล้ว เย็นนั้นอดรนทนต่อการต้องอยู่ในระเบียบที่พ่อแม่ตั้งไว้ไม่ไหว ด้วยความเป็นคนห่ามๆของผมๆเลยขอออกนอกกฏที่พ่อตั้งให้สักวัน พอขี่รถมอไซด์กลับจากวัดแล้ว ไม่ได้ตรงกลับบ้านในทันทีเหมือนทุกวัน สมัยนั้นนะ โทรศัพท์มือถือก้อไม่มีใช้นะครับ พ่อผมเลยโทรตามไม่ได้ เพราะว่าผมถเล ถไล ไปหาเพื่อนที่สนิทกันสมัยเรียนประถม แบบไม่ได้เจอกันซะนาน เพื่อนเลยชวนนั่งคุยที่บ้าน กะจะชวนดื่ม ด้วยล่ะแต่เห็นว่าเราจะบวชเลย ยับยั้งชั่งใจได้ วันนั้นนั่งเม้าส์กันถึงเรื่องสมัยวัยรุ่นๆที่เคยเที่ยว เคยเป็นเด็กแว้นซ์(ยุตนั้นเขาจะไม่เรียกเด็กแว้นซ์แต่จะเรียกนักบิดประจำหมู่บ้านว่าเด็กซิ่ง)มาด้วยกัน นั่งกินช้าวกันจนเพลิน เผลอดูนาฬิกาตกสี่ทุ่ม นึกถึงหน้าพ่อแม่ กลัวเขาจะเป็นห่วงอย่างที่บอกโทรศัพท์มือถือไม่มี เขาคงไม่รู้แน่ว่าเราไปไหน ผมเลยรีบขอตัวกลับบ้าน
ตอนต่อไป #รอแป๊บนะครับ#