แฉ เอ้ยย รีวิวรับน้องบางมด โดย เด็กบางมด
(รูปใช้เพียงเพื่อประกอบเท่านั้น)
ก่อนจะประชุมเชียร์ 1 วัน หรือ 2 วันได้ จะมีรุ่นพี่เอาใบกิจกรรมมาให้เซ็น โดยที่ด้านในไม่ได้บอกรายละเอียดที่แน่ชัดเกี่ยวกับกิจกรรมดังกล่าว แต่ภายในกระดาษจะอธิบายเพียงแค่ว่า ให้ผู้ปกครองเซ็นยินยอมให้นักศึกษาเข้าร่วมกิจกรรมได้ ซึ่งรุ่นพี่ที่ว่า จะเป็นรุ่นพี่ปี 3 ที่ผมก็ไม่รู้จักเพราะเพิ่งเข้าก็เริ่มเทศนาใส่ก่อนเลยว่ารุ่นเราไม่มีความเคารพกับรุ่นพี่ เห็นรุ่นพี่ทำไมไม่ยกมือไหว้? ผมหรือหลายๆคนยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า ภาคที่เรียนนั้นใส่ชอปสีอะไร? ใครรุ่นพี่บ้าง?
หลังจากนั้น เมื่อเริ่มวันประชุมเชียร์ SOTUS ก็เริ่มต้นขึ้น คือ จะให้เด็กปี 1 ใส่ชุดที่เตรียมไว้ให้พร้อมกับให้ยืนแถวตรงเป็นระเบียบก่อนจะให้เดินขึ้นห้องประชุมใหญ่โดยต้องร้องเพลงภาคคณะวิชาให้ดัง จนกระทั่งถึงห้องประชุมแล้วก็ยังให้ร้องก่อนจะนั่งขัดสมาธิ เพื่อรอให้คณะอื่นๆมาถึงซึ่งตรงนี้จะเรียกว่า ประชุมเชียร์ใหญ่ ระหว่างนั้นจะมีพี่ปี 2 คอยมาเอนเตอร์เทนเด็กอยู่เรื่อยๆจนถึงเวลาที่กำหนดให้ประชุมเชียร์ พี่ปี 2 ก็จะไปแล้วจะมีรุ่นพี่ปี 3 เข้ามากันหลายคนที่พวกเราเรียกกันว่า สต๊าฟ(STAFF) ก่อนจะให้พวกเรานั่งขัดสมาธิให้หลังตรงนานๆ พร้อมกับพูดแบบบั่นทอนกำลังใจเรื่อยๆอย่าง
ทำได้กันแค่นี้เหรอ? เด็กอนุบาลยังทำดีกว่าพวกคุณเลย?
ด้วยน้ำเสียงข่มใส่ แถมสายตาที่ดูถูกเหยียดหยามเหมือนพวกเรามันไร้ค่า...
ก่อนจะสอนร้องเพลง ซึ่งไม่มีการบอกอะไรก่อนเลยโดยเริ่มต้นสอนร้องเพลงมหาวิทยาลัย ซึ่งโดยเราไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง? เราก็ร้องเพลงเริ่มต้น รุ่นพี่ก็สั่งให้หยุดเหมือนรู้ว่า พวกผมจะทำยังไง ก่อนจะบอกว่ากล่าวอย่างประชดประชัน ว่าให้ยืน แล้วค่อยร้อง และก่อนจะยืนต้องขออนุญาตอีกและต้องตะโกนดังๆจนบางคนเจ็บคอ
ทั้งๆที่ ตอนเราเรียนโรงเรียน เราร้องเพลงโรงเรียนในห้องเรียนแล้วค่อยสอนว่าเราต้องยืนเคารพนะ เวลาเพลงโรงเรียนมา เรายังทำกันได้เลย ซึ่งนี่มันมหาลัยแล้วนะ? วุฒิภาวะสูงกว่าแน่ๆ จำเป็นหรอ?ที่จะต้องใช้ถึงขนาดนี้?
จากนั้น ก็เริ่มสอนเพลงอื่นๆ โดยต้องให้เด็กปี 1 จำแทบให้ได้เดี๋ยวนั้นแถมเนื้อเพลงก็ยาวนะ ที่สำคัญต้องทั้งจำทำนองอีก และยังมีเรื่องที่เรียนที่ต้องจำเพื่อไปสอบที่จะถึงนี้ แถมแทบจะทุกเพลงไม่มีคำว่าร้องดีสำหรับพี่ๆเขาหรอกมั้ง ต้องโดนว่า ทุกเพลง! และพูดจาถมใส่ตลอด
เมื่อถึงเวลาเลิกซึ่งในบางครั้งเลิกเลทจากที่กำหนดไว้พอสมควร ก็จะมีรุ่นพี่สต๊าฟยืนคุมและห้ามให้ไปไหนนอกจากตรงดิ่งกลับบ้านหรือหอเท่านั้น ซึ่งจริงๆมันห้ามกันไม่ได้หรอกอย่างผมต้องมีชมรมทำต่อ และเห็นชัดเจนเมื่อผมอยู่ปี 3 จะชวนรุ่นน้องเข้าชมรมก็มีรุ่นเดียวกันนี้แหละมาว้ากไล่ให้กลับพร้อมกับเดินลงมากร่างอย่างเต็มที่จนผมต้องด่ากลับไปรอบหนึ่งถึงจะเงียบกันไป...
การประชุมแบบนี้มีไปเรื่อยๆ 1 สัปดาห์ก่อนจะแยกไปประชุมแต่ละคณะอีกทีซึ่งก็จะเป็นอีกแบบ ซึ่งทุกๆครั้งจะมีการบลั๊ฟคนที่มาว่า ให้ดูไว้คนที่ขาด ยังสมควรจะเรียกว่าเป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่า? และยังมีการกำหนดเกณฑ์เข้าประชุมขั้นต่ำอีก(ไม่ได้คิดบ้างเลยว่า บางคนมีธุระอะไร) และคิดว่า ทุกคณะอื่นๆน่าจะคล้ายๆกันหมด หรือ อาจหนักกว่า จากเสียงที่ผมได้ยินเพื่อนผมเล่ามาอีกที ซึ่งการกระทำพวกนี้ ผมรู้จากเพื่อนที่อยู่ในสภาว่าพวกนี้มักแอบทำไม่ให้คนตรวจเห็น เพราะถ้าเห็นจะถูกให้หยุดทันทีจึงอาจต้องมีสายสืบมาดูว่า คนตรวจอยู่ไหนแล้วเพื่อให้หลบเลี่ยงให้น้อยลงได้ หรือบางทีคนตรวจอาจเป็นพวกเดียวกันก็ได้ตรงนี้เป็นเพียงการคาดเดาจากตอนที่เบิกงบโดยชมรม ‘สันทนาการ’ และรู้สึกว่า พวกนี้จะได้งบมาค่อนข้างเยอะกว่าชมรมอื่นทั้งๆที่ชมรมผมเช่น ยูโด เทควันโด้ อันตรายกว่ามากแต่งบกลับได้ค่อนข้างน้อย
ผมมีปัญหาที่ข้อเข่าทำให้นั่งขัดสมาธินานๆไม่ได้เพราะจะเจ็บหัวเข่ามากเนื่องจากกระดูกข้อเข่าเกินเลยได้นั่งเก้าอี้ด้านหลัง(อันนี้ผมบอกก่อนว่า ไม่ได้มีผลต่อการออกกำลังกายจึงทำให้ออกกำลังกายได้ แต่นั่งขัดสมาธินานๆไม่ได้เฉยๆ) พร้อมกับคนอื่นๆและร้องเพลงซึ่งยังเป็นวิธีการเหมือนเดิม แต่ช่วงแคบลงมา
จนวันสุดท้าย จะมีพี่ๆมาดูดันหลายๆคนรวมถึงอาจารย์ด้วย โดยจะให้ร้องเพลงวนไปเรื่อยๆจนกว่าพี่จะพอใจซึ่งในตอนนั้น ผมก็ทนไม่ได้หรอกที่จะต้องเห็นเพื่อนโดนอยู่แบบนั้น ก็เลยจะลุกขึ้นไปร้องด้วยแต่กลับมีพี่มาบอกให้นั่งลงแทน?
เหมือนพวกเขาเลือกที่จะกดดันแต่กลับกลัวที่ผมจะทำเพื่อเพื่อน?
ซึ่งเอาจริงผมไม่ได้กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองเพราะร่างกายผมรู้ดีว่ามันไม่ได้เกิดอะไรขึ้นถ้าผมยืน แต่แค่อยากรู้ปฏิกิริยาจากพี่ๆจะทำอย่างไร? คือ การเอาตัวรอดก่อนถ้าเกิดอะไรกับน้องๆ...
แถมพอจบก็เฮดีใจกัน ทั้งๆที่เพื่อนผมคนหนึ่งแทบจะนอนเป็นลมส่วนของผมแทบจะระงับอารมณ์ไม่ค่อยอยู่จนต้องระบายที่เก้าอี้
มันจำเป็นเหรอ? ที่จะต้องทนขนาดนี้? ผมฝึกงานและดูการทำงานของลูกน้องที่บริษัทของพ่อ ไม่เคยมีการกดดันและข่มเหงขนาดนี้? เราคุยกันด้วยเหตุผล บางทีก็มีอารมณ์มาเกี่ยวข้องบ้างแต่ก็ไม่ได้กดดันขนาดนั้น
พอผมเห็นอย่างนั้น... แทบไม่อยากเชื่อเลยว่า นี่คือ ความคิดของเด็กมหาลัย? การเชียร์ การรวมใจเป็นหนึ่งของนักเรียนมัธยมศึกษาบางโรงเรียนยังดีกว่าเลยด้วยซ้ำ
และนั้นกลายเป็นเรื่องฝังใจผมตลอดมา และผมก็เข้าใจดีด้วยว่า ถ้าเป็นเด็กที่เป็นโรคซึมเศร้าจะเป็นอย่างไรเพราะผมเคยเป็นมาก่อน ความกดดันที่จะถาโถมใส่คนๆนึงจะหนักหนาขนาดไหน? จนมันกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รุ่นน้องคนๆหนึ่งเกลียดผมไปเพราะเรื่องที่มันมาหลอกหลอนผมจนเผลอระบายออกไป...
พอพวกผมขึ้นปี 2 ก็จะเป็นพี่ที่ดูแลน้องรุ่นต่อๆมา โดยพี่ที่ดูแลจะกลายเป็นพี่สตาฟรุ่นต่อไป ทุกอย่างก็เหมือนเดิมเป็นเหมือนสมัยที่ผมโดนเพียงแต่เปลี่ยนคนกันไป
มีบางวัน ผมอยากไปดูการประชุมเชียร์ของรุ่นน้อง
พูดเลยนะครับ พวกพี่ปี 3 สั่งให้ปี 1 ร้องเพลงมหาลัย ให้ยืน แต่พวกเราปี 2 กลับนั่งดูน้อง? เพื่อ? ผมลองถามไปเพื่อน ก็เงียบกันไม่ตอบกลับมา
ไหนบอกว่า รักเพลงมหาลัย ต้องยืนเพื่อแสดงความเคารพ แต่พอเราขึ้นปี 2 เราเลือกไม่ทำได้แต่น้องปี 1 เลือกไม่ได้?
และในส่วนรับรุ่นต่อมานั้น มีอยู่ปีนึงที่พี่หยิบเกียร์มาแล้วโยนลงในสระน้ำที่อยู่หน้ามหาลัย คือ น้ำตรงนั้นมันค่อนข้างจะเน่ามากๆในปีนั้น เพื่อให้น้องได้รับรุ่นต้องให้คนหนึ่งว่ายลงไปงมหา ขึ้นมา? ไม่ได้คิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาทีหลังเลยแม้แต่น้อย
เมื่อผมได้อยู่ปีที่ 3
จู่ๆวันนั้นก็มีการเรียกเพื่อนปี 3 ให้ไปกันโดยไม่บอกอะไร แต่กลับโดนพี่ปี 4 ที่ไม่เกี่ยวกับสตาฟปีนี้มาบอกให้นอนกับพื้น แล้วก็พูดกดดันรุ่นน้องว่า เพราะ พี่ปี 3 ไม่ดีจึงต้องลงโทษ แล้วก็บังคับให้น้องต้องดูและร้องเพลง
ผมทนไม่ได้แต่ก็พูดอะไรไม่ได้เช่นกัน จนต้องระบายไปที่ผนังแทนก่อนที่จะเดือดกว่านี้
แต่เพื่อนที่เขามาปลอบได้แต่ปลอบให้สงบสติอารมณ์และให้ช่างมัน
แล้วจะให้ทำยังไง? มีวิธีใหม่เสนอมาสิ? คือ เสนอไปหลายครั้ง มีใครฟังเปล่า? แถมทั้งหมดพร้อมจะแบนตลอดใครอยากจะโดนก่อนเรียนจบ... เอาตัวรอดก่อนดีกว่า
ก็มีแต่ต้องให้มันค่อยๆลดลงอย่างช้าๆ ด้วยการทำตรงข้ามและเป็นตัวอย่างที่ดีให้รุ่นต่อมาเห็น ให้เขาได้เห็นว่า ความเคารพกับยำเกรงดดยไม่จำเป็นต้องว้ากกันอย่างไหนดีกว่ากัน
ส่วนเรื่องรับน้องกิจกรรมแบบเต้นไก่ย่างอะไรพวกนี้ ก็สนุกเฮฮาดี แต่ก็มีเรื่องที่ไม่ชอบนิดๆ ตรงที่ให้ปิดตาหลอกไหว้เจ้าที่เนี่ยแหละ แต่กลับเป็นหน้าจอคอมพิวเตอร์? คือ ใช่เรื่องที่จะมาเล่นไหมอ่ะ? อย่างบ้านผมค่อนข้างเคร่งครัดกับการเคารพเรื่องนี้ เรื่องแบบนี้ คือ ก็โกรธนะ แต่ก็เข้าใจ
ในส่วนของน้องผม อยู่วิศวะเช่นกันแต่อยู่คนละภาค (น้องผมขอไม่เอ่ยนามและเล่าบางส่วนให้ฟังเท่านั้น) โดนมาหนักมากจน หน้าเศร้า เครียดแถมยังโดนไซโคโดยรุ่นเดียวกันเพื่อให้มาประชุมเชียร์โดยต้องมาฟังรุ่นพี่ด่าในเรื่องที่ไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย
หลังจากประชุมเชียร์ เพื่อนน้องบางคนไม่คุย รุ่นพี่ที่น้องผมเคยคุยอย่างเฮฮาในอดีตก็ไม่เคยกับน้องผมอีกเลย น้องชาย คือ ทั้งๆที่เป็นคนร่าเริงมาก ถึงจะไม่ค่อยยิ้มก็เถอะแต่ คือ มันเป็นอาการของคนที่เครียดจัดเกินไป... เรามาเรียนไม่ใช่มาโดนอะไรแบบนี้... จนผมที่เป็นพี่ชายเห็นแล้วแบบทนไม่ได้ มันเจ็บที่ต้องเห็นน้องชายโดนทำร้ายจิตใจแต่ทำอะไรไม่ได้ เลยได้แต่ให้ไปที่ชมรมเทควันโดแล้วซัดกับนวมให้เต็มที่ระบายให้เต็มที่.
จบครับ.
แฉ เอ้ยย รีวิวรับน้องบางมด โดย เด็กบางมด
(รูปใช้เพียงเพื่อประกอบเท่านั้น)
ก่อนจะประชุมเชียร์ 1 วัน หรือ 2 วันได้ จะมีรุ่นพี่เอาใบกิจกรรมมาให้เซ็น โดยที่ด้านในไม่ได้บอกรายละเอียดที่แน่ชัดเกี่ยวกับกิจกรรมดังกล่าว แต่ภายในกระดาษจะอธิบายเพียงแค่ว่า ให้ผู้ปกครองเซ็นยินยอมให้นักศึกษาเข้าร่วมกิจกรรมได้ ซึ่งรุ่นพี่ที่ว่า จะเป็นรุ่นพี่ปี 3 ที่ผมก็ไม่รู้จักเพราะเพิ่งเข้าก็เริ่มเทศนาใส่ก่อนเลยว่ารุ่นเราไม่มีความเคารพกับรุ่นพี่ เห็นรุ่นพี่ทำไมไม่ยกมือไหว้? ผมหรือหลายๆคนยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า ภาคที่เรียนนั้นใส่ชอปสีอะไร? ใครรุ่นพี่บ้าง?
หลังจากนั้น เมื่อเริ่มวันประชุมเชียร์ SOTUS ก็เริ่มต้นขึ้น คือ จะให้เด็กปี 1 ใส่ชุดที่เตรียมไว้ให้พร้อมกับให้ยืนแถวตรงเป็นระเบียบก่อนจะให้เดินขึ้นห้องประชุมใหญ่โดยต้องร้องเพลงภาคคณะวิชาให้ดัง จนกระทั่งถึงห้องประชุมแล้วก็ยังให้ร้องก่อนจะนั่งขัดสมาธิ เพื่อรอให้คณะอื่นๆมาถึงซึ่งตรงนี้จะเรียกว่า ประชุมเชียร์ใหญ่ ระหว่างนั้นจะมีพี่ปี 2 คอยมาเอนเตอร์เทนเด็กอยู่เรื่อยๆจนถึงเวลาที่กำหนดให้ประชุมเชียร์ พี่ปี 2 ก็จะไปแล้วจะมีรุ่นพี่ปี 3 เข้ามากันหลายคนที่พวกเราเรียกกันว่า สต๊าฟ(STAFF) ก่อนจะให้พวกเรานั่งขัดสมาธิให้หลังตรงนานๆ พร้อมกับพูดแบบบั่นทอนกำลังใจเรื่อยๆอย่าง
ทำได้กันแค่นี้เหรอ? เด็กอนุบาลยังทำดีกว่าพวกคุณเลย?
ด้วยน้ำเสียงข่มใส่ แถมสายตาที่ดูถูกเหยียดหยามเหมือนพวกเรามันไร้ค่า...
ก่อนจะสอนร้องเพลง ซึ่งไม่มีการบอกอะไรก่อนเลยโดยเริ่มต้นสอนร้องเพลงมหาวิทยาลัย ซึ่งโดยเราไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง? เราก็ร้องเพลงเริ่มต้น รุ่นพี่ก็สั่งให้หยุดเหมือนรู้ว่า พวกผมจะทำยังไง ก่อนจะบอกว่ากล่าวอย่างประชดประชัน ว่าให้ยืน แล้วค่อยร้อง และก่อนจะยืนต้องขออนุญาตอีกและต้องตะโกนดังๆจนบางคนเจ็บคอ
ทั้งๆที่ ตอนเราเรียนโรงเรียน เราร้องเพลงโรงเรียนในห้องเรียนแล้วค่อยสอนว่าเราต้องยืนเคารพนะ เวลาเพลงโรงเรียนมา เรายังทำกันได้เลย ซึ่งนี่มันมหาลัยแล้วนะ? วุฒิภาวะสูงกว่าแน่ๆ จำเป็นหรอ?ที่จะต้องใช้ถึงขนาดนี้?
จากนั้น ก็เริ่มสอนเพลงอื่นๆ โดยต้องให้เด็กปี 1 จำแทบให้ได้เดี๋ยวนั้นแถมเนื้อเพลงก็ยาวนะ ที่สำคัญต้องทั้งจำทำนองอีก และยังมีเรื่องที่เรียนที่ต้องจำเพื่อไปสอบที่จะถึงนี้ แถมแทบจะทุกเพลงไม่มีคำว่าร้องดีสำหรับพี่ๆเขาหรอกมั้ง ต้องโดนว่า ทุกเพลง! และพูดจาถมใส่ตลอด
เมื่อถึงเวลาเลิกซึ่งในบางครั้งเลิกเลทจากที่กำหนดไว้พอสมควร ก็จะมีรุ่นพี่สต๊าฟยืนคุมและห้ามให้ไปไหนนอกจากตรงดิ่งกลับบ้านหรือหอเท่านั้น ซึ่งจริงๆมันห้ามกันไม่ได้หรอกอย่างผมต้องมีชมรมทำต่อ และเห็นชัดเจนเมื่อผมอยู่ปี 3 จะชวนรุ่นน้องเข้าชมรมก็มีรุ่นเดียวกันนี้แหละมาว้ากไล่ให้กลับพร้อมกับเดินลงมากร่างอย่างเต็มที่จนผมต้องด่ากลับไปรอบหนึ่งถึงจะเงียบกันไป...
การประชุมแบบนี้มีไปเรื่อยๆ 1 สัปดาห์ก่อนจะแยกไปประชุมแต่ละคณะอีกทีซึ่งก็จะเป็นอีกแบบ ซึ่งทุกๆครั้งจะมีการบลั๊ฟคนที่มาว่า ให้ดูไว้คนที่ขาด ยังสมควรจะเรียกว่าเป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่า? และยังมีการกำหนดเกณฑ์เข้าประชุมขั้นต่ำอีก(ไม่ได้คิดบ้างเลยว่า บางคนมีธุระอะไร) และคิดว่า ทุกคณะอื่นๆน่าจะคล้ายๆกันหมด หรือ อาจหนักกว่า จากเสียงที่ผมได้ยินเพื่อนผมเล่ามาอีกที ซึ่งการกระทำพวกนี้ ผมรู้จากเพื่อนที่อยู่ในสภาว่าพวกนี้มักแอบทำไม่ให้คนตรวจเห็น เพราะถ้าเห็นจะถูกให้หยุดทันทีจึงอาจต้องมีสายสืบมาดูว่า คนตรวจอยู่ไหนแล้วเพื่อให้หลบเลี่ยงให้น้อยลงได้ หรือบางทีคนตรวจอาจเป็นพวกเดียวกันก็ได้ตรงนี้เป็นเพียงการคาดเดาจากตอนที่เบิกงบโดยชมรม ‘สันทนาการ’ และรู้สึกว่า พวกนี้จะได้งบมาค่อนข้างเยอะกว่าชมรมอื่นทั้งๆที่ชมรมผมเช่น ยูโด เทควันโด้ อันตรายกว่ามากแต่งบกลับได้ค่อนข้างน้อย
ผมมีปัญหาที่ข้อเข่าทำให้นั่งขัดสมาธินานๆไม่ได้เพราะจะเจ็บหัวเข่ามากเนื่องจากกระดูกข้อเข่าเกินเลยได้นั่งเก้าอี้ด้านหลัง(อันนี้ผมบอกก่อนว่า ไม่ได้มีผลต่อการออกกำลังกายจึงทำให้ออกกำลังกายได้ แต่นั่งขัดสมาธินานๆไม่ได้เฉยๆ) พร้อมกับคนอื่นๆและร้องเพลงซึ่งยังเป็นวิธีการเหมือนเดิม แต่ช่วงแคบลงมา
จนวันสุดท้าย จะมีพี่ๆมาดูดันหลายๆคนรวมถึงอาจารย์ด้วย โดยจะให้ร้องเพลงวนไปเรื่อยๆจนกว่าพี่จะพอใจซึ่งในตอนนั้น ผมก็ทนไม่ได้หรอกที่จะต้องเห็นเพื่อนโดนอยู่แบบนั้น ก็เลยจะลุกขึ้นไปร้องด้วยแต่กลับมีพี่มาบอกให้นั่งลงแทน?
เหมือนพวกเขาเลือกที่จะกดดันแต่กลับกลัวที่ผมจะทำเพื่อเพื่อน?
ซึ่งเอาจริงผมไม่ได้กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองเพราะร่างกายผมรู้ดีว่ามันไม่ได้เกิดอะไรขึ้นถ้าผมยืน แต่แค่อยากรู้ปฏิกิริยาจากพี่ๆจะทำอย่างไร? คือ การเอาตัวรอดก่อนถ้าเกิดอะไรกับน้องๆ...
แถมพอจบก็เฮดีใจกัน ทั้งๆที่เพื่อนผมคนหนึ่งแทบจะนอนเป็นลมส่วนของผมแทบจะระงับอารมณ์ไม่ค่อยอยู่จนต้องระบายที่เก้าอี้
มันจำเป็นเหรอ? ที่จะต้องทนขนาดนี้? ผมฝึกงานและดูการทำงานของลูกน้องที่บริษัทของพ่อ ไม่เคยมีการกดดันและข่มเหงขนาดนี้? เราคุยกันด้วยเหตุผล บางทีก็มีอารมณ์มาเกี่ยวข้องบ้างแต่ก็ไม่ได้กดดันขนาดนั้น
พอผมเห็นอย่างนั้น... แทบไม่อยากเชื่อเลยว่า นี่คือ ความคิดของเด็กมหาลัย? การเชียร์ การรวมใจเป็นหนึ่งของนักเรียนมัธยมศึกษาบางโรงเรียนยังดีกว่าเลยด้วยซ้ำ
และนั้นกลายเป็นเรื่องฝังใจผมตลอดมา และผมก็เข้าใจดีด้วยว่า ถ้าเป็นเด็กที่เป็นโรคซึมเศร้าจะเป็นอย่างไรเพราะผมเคยเป็นมาก่อน ความกดดันที่จะถาโถมใส่คนๆนึงจะหนักหนาขนาดไหน? จนมันกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รุ่นน้องคนๆหนึ่งเกลียดผมไปเพราะเรื่องที่มันมาหลอกหลอนผมจนเผลอระบายออกไป...
พอพวกผมขึ้นปี 2 ก็จะเป็นพี่ที่ดูแลน้องรุ่นต่อๆมา โดยพี่ที่ดูแลจะกลายเป็นพี่สตาฟรุ่นต่อไป ทุกอย่างก็เหมือนเดิมเป็นเหมือนสมัยที่ผมโดนเพียงแต่เปลี่ยนคนกันไป
มีบางวัน ผมอยากไปดูการประชุมเชียร์ของรุ่นน้อง
พูดเลยนะครับ พวกพี่ปี 3 สั่งให้ปี 1 ร้องเพลงมหาลัย ให้ยืน แต่พวกเราปี 2 กลับนั่งดูน้อง? เพื่อ? ผมลองถามไปเพื่อน ก็เงียบกันไม่ตอบกลับมา
ไหนบอกว่า รักเพลงมหาลัย ต้องยืนเพื่อแสดงความเคารพ แต่พอเราขึ้นปี 2 เราเลือกไม่ทำได้แต่น้องปี 1 เลือกไม่ได้?
และในส่วนรับรุ่นต่อมานั้น มีอยู่ปีนึงที่พี่หยิบเกียร์มาแล้วโยนลงในสระน้ำที่อยู่หน้ามหาลัย คือ น้ำตรงนั้นมันค่อนข้างจะเน่ามากๆในปีนั้น เพื่อให้น้องได้รับรุ่นต้องให้คนหนึ่งว่ายลงไปงมหา ขึ้นมา? ไม่ได้คิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาทีหลังเลยแม้แต่น้อย
เมื่อผมได้อยู่ปีที่ 3
จู่ๆวันนั้นก็มีการเรียกเพื่อนปี 3 ให้ไปกันโดยไม่บอกอะไร แต่กลับโดนพี่ปี 4 ที่ไม่เกี่ยวกับสตาฟปีนี้มาบอกให้นอนกับพื้น แล้วก็พูดกดดันรุ่นน้องว่า เพราะ พี่ปี 3 ไม่ดีจึงต้องลงโทษ แล้วก็บังคับให้น้องต้องดูและร้องเพลง
ผมทนไม่ได้แต่ก็พูดอะไรไม่ได้เช่นกัน จนต้องระบายไปที่ผนังแทนก่อนที่จะเดือดกว่านี้
แต่เพื่อนที่เขามาปลอบได้แต่ปลอบให้สงบสติอารมณ์และให้ช่างมัน
แล้วจะให้ทำยังไง? มีวิธีใหม่เสนอมาสิ? คือ เสนอไปหลายครั้ง มีใครฟังเปล่า? แถมทั้งหมดพร้อมจะแบนตลอดใครอยากจะโดนก่อนเรียนจบ... เอาตัวรอดก่อนดีกว่า
ก็มีแต่ต้องให้มันค่อยๆลดลงอย่างช้าๆ ด้วยการทำตรงข้ามและเป็นตัวอย่างที่ดีให้รุ่นต่อมาเห็น ให้เขาได้เห็นว่า ความเคารพกับยำเกรงดดยไม่จำเป็นต้องว้ากกันอย่างไหนดีกว่ากัน
ส่วนเรื่องรับน้องกิจกรรมแบบเต้นไก่ย่างอะไรพวกนี้ ก็สนุกเฮฮาดี แต่ก็มีเรื่องที่ไม่ชอบนิดๆ ตรงที่ให้ปิดตาหลอกไหว้เจ้าที่เนี่ยแหละ แต่กลับเป็นหน้าจอคอมพิวเตอร์? คือ ใช่เรื่องที่จะมาเล่นไหมอ่ะ? อย่างบ้านผมค่อนข้างเคร่งครัดกับการเคารพเรื่องนี้ เรื่องแบบนี้ คือ ก็โกรธนะ แต่ก็เข้าใจ
ในส่วนของน้องผม อยู่วิศวะเช่นกันแต่อยู่คนละภาค (น้องผมขอไม่เอ่ยนามและเล่าบางส่วนให้ฟังเท่านั้น) โดนมาหนักมากจน หน้าเศร้า เครียดแถมยังโดนไซโคโดยรุ่นเดียวกันเพื่อให้มาประชุมเชียร์โดยต้องมาฟังรุ่นพี่ด่าในเรื่องที่ไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย
หลังจากประชุมเชียร์ เพื่อนน้องบางคนไม่คุย รุ่นพี่ที่น้องผมเคยคุยอย่างเฮฮาในอดีตก็ไม่เคยกับน้องผมอีกเลย น้องชาย คือ ทั้งๆที่เป็นคนร่าเริงมาก ถึงจะไม่ค่อยยิ้มก็เถอะแต่ คือ มันเป็นอาการของคนที่เครียดจัดเกินไป... เรามาเรียนไม่ใช่มาโดนอะไรแบบนี้... จนผมที่เป็นพี่ชายเห็นแล้วแบบทนไม่ได้ มันเจ็บที่ต้องเห็นน้องชายโดนทำร้ายจิตใจแต่ทำอะไรไม่ได้ เลยได้แต่ให้ไปที่ชมรมเทควันโดแล้วซัดกับนวมให้เต็มที่ระบายให้เต็มที่.
จบครับ.