“...ความฝันสำหรับคนหนุ่มสาวนั้น นับว่าเป็นสสารที่แปลกเอาเรื่อง ก่อนที่ฝันจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างนั้น เราเป็นฝ่ายควบคุมมันแท้ๆ แต่เมื่อไหร่ที่ฝันเริ่มเติบใหญ่เป็นตัวเป็นตนแล้วนั้น มันกลับกลายมาเป็นนายเรา คอยควบคุมกำกับพฤติกรรมของเราไปทุกวี่ทุกวัน.....”
สิ่งที่น่ารื่นรมย์ที่สุดอย่างหนึ่งในการทำแอดเวนเจอร์โฮสเทล สำหรับผมแล้วนั้น คือการที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนทัศนคติ และเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตต่างๆ จากนักเดินทางที่มาจากทั่วทุกมุมโลก เมื่อได้มีโอกาสพูดคุยกับคนหลายวัฒนธรรมบ่อยๆ ครั้งเข้า ทำให้ผมพอสัมผัสได้ถึงลักษณะนิสัยประจำชาติได้หยาบๆ ประมาณหนึ่ง นักเดินทางชาวเอเชียเช่น จีน, ไต้หวัน หรือมาเลเซียนั้น มักจะพักในโฮสเทลในช่วงเวลาสั้นๆ 1-2 วัน และดูจะชอบความเป็นส่วนตัว ไม่สู้จะสุงสิงกับใครมากนัก , ในขณะที่ชาวยุโรปนั้นมักจะใช้เวลายาวนานกว่าในการพักในที่หนึ่งๆ และจะยินดีที่จะสร้างมิตรภาพใหม่กับเพื่อนนักเดินทางคนอื่นๆ มาก คนเยอรมันนั้นมักจะดูเคร่งครัดและจริงจัง ส่วนชาวเนเธอร์แลนด์นั้นรูปร่างหน้าตาสำเนียงภาษาอังกฤษออกจะคล้ายๆ คนเยอรมัน แต่จะออกจะสนุกสนานเฮฮาและมีชีวิตชีวากว่า....ฯลฯ
แต่หากเราถามเจ้าของโฮสเทลหลายๆ คน ว่าชื่นชอบนักเดินทางชาติใดเป็นพิเศษ คำตอบน่าจะหดตัวเหลืออยู่ไม่มากนัก และผมเชื่อว่าหนึ่งในนั้นคงต้องมีนักเดินทางชาวญี่ปุ่นอยู่ด้วย อย่างไม่ต้องสงสัย
นักเดินทางชาวญี่ปุ่นนั้นโดดเด่นมากเรื่องความสุภาพ และเคารพต่อกฎระเบียบส่วนรวม ทุกคนรักษาความสะอาดและเป็นระเบียบ เวลาเค้าจะคุยด้วย เราจะต้องตั้งสมาธิแล้วเงี่ยหูฟังให้ดี เพราะเค้าจะรักษาระดับเสียงไว้ไม่ให้รบกวนผู้อื่น เมื่อยามเดินเหินนั้นเล่าราวกับแมวย่องบนเมฆ หากเมื่อนั่งทานอาหารเช้าหรือยกแก้วชาขึ้นมาจิบนั้นหรือ ดูราวกับกำลังทำพิธีกรรมบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่น่าทึ่งที่สุด คือเมื่อเชคเอาท์ออกแล้ว นักเดินทางญี่ปุ่นส่วนมากจะพับผ้าห่มแล้ววางหมอนไว้ที่เดิม พร้อมดึงผ้าปูเตียงเข้ามุมให้ตึง เล่นเอาพ่อบ้านทำความสะอาดของโรงแรม ถึงกับต้องเดินกลับมาถามว่า ตกลงเตียงนั้น แขกได้เข้ามาพักแล้วหรือยัง เพราะสภาพมันเป๊ะมาก เหมือนยังไม่มีใครเข้าพัก!!!
ผมเคยอำหญิงสาวข้างกายเล่นๆ ว่า ผู้หญิงญี่ปุ่นตอนเข้าห้องน้ำขับถ่าย น่ากลัวแต่ละนางคงนั่งพับเพียบด้วย เธอพยักหน้าหัวเราะคิกคัก....
นอกเหนือจากความสุภาพเรียบร้อยแล้ว ผมพบว่า นักเดินทางญี่ปุ่นจำนวนมากที่มาพักที่โฮสเทลนั้น เดินทางมาแบบ solo traveler หรือนักเดินทางแบบข้ามาคนเดียว ลุยเดี่ยวไปทั่วไม่กลัวใคร หลายคนต้องการเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตผ่านการเดินทางในที่ต่างวัฒนธรรม และหลายคนก็เดินทางตามหาความฝันของตัวเอง
...และนี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวของนักเดินทางชาวญี่ปุ่นช่างฝันคนหนึ่ง ที่ผมได้มีทำให้ผมต้องหันกลับมาทบทวนตัวเอง...
ยูซาขุ ทาคาดะ (Yusaku Takada) เป็นชายญี่ปุ่นรูปร่างสันทัด ผิวสีเข้มแบบคนที่น่าจะใช้ชีวิตอยู่กลางแจ้งเป็นประจำ ใบหน้าคมสันมีองค์ประกอบที่ลงตัว จมูกโด่งเรียวเป็นสันยาว ใต้ดวงตาขี้เล่นนั้น ดูจะไปกันได้ดีกับรอยยิ้มกว้างใหญ่คับหน้าคับตา แต่สิ่งที่ดูจะสร้างความฉงนสนเท่ห์ น่าวิคุ้ย (วิเคราะห์ + คุ้ยแคะ) ก็คือ ซามูไรหนุ่มคนนี้ หิ้วรองเท้าสตั๊ดสีแสบสันมาด้วย....
หลังจากเข้า check in แล้วนั่งพักเหนื่อย ยูเล่าให้ฟังว่า เค้าเดินทางมาสยามประเทศ เพื่อหาโอกาสเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ในลีกฟุตบอลที่พึ่งเกิดมาได้ไม่กี่ปีของบ้านเรา J-league ของญี่ปุ่นนั้น แข่งขันกันสูงมาก ถ้าไม่ได้พร้อมสรรพทุกสิ่ง ไต่ระดับมาตั้งแต่คลับเยาวชน และมีเซนส์บอลระดับเทพ ก็ยากที่จะแทรกตัว เข้าไปในลีกได้
ผมฟังแล้วก็นึกถึงการ์ตูน กัปตันซึบาสะ ที่โด่งดังในสมัยเด็ก ขึ้นมาตะหงิดๆ แต่ดูจากวิธีการเดินหน้าแบบข้ามาคนเดียวแล้ว เจ้าหนุ่มยูคงจะละม้ายคล้าย อาโออิ ชินโง ที่ตะลุยไปแข่งคัดตัวในบอลกัลโช่ จนได้เป็นตัวจริงเสียละมากกว่า
ผมถามเจ้าหนุ่มยูด้วยความไร้เดียงสาว่า เค้าต้องมีการติดต่อ Agent รึเปล่า ยูหัวเราะก่อนจะตอบว่า นักเตะไร้สังกัดอย่างเค้าใช้วิธีติดต่อขอไปคัดตัวตามสโมสรต่างๆ ด้วยตัวเอง โดยเริ่มจากสโมสรมหาวิทยาลัยของไทย แล้วค่อยๆ หาโอกาสไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ
“....เป็นนักมวยก็ต้องหาเวทีต่อย เป็นนักฟุตบอลก็ต้องหาสนามเตะ....” สัจธรรมนี้คงใช้ได้กับนักกีฬาทุกประเภท
เส้นทางจากสโมสรมหาวิทยาลัยไทย ไปสู่สโมสรฟุตบอลอาชีพห่างไกลกันเพียงไหน นักเตะระดับตัวแถมคนสุดท้าย เวลาเป่ายิงฉุบเลือกนักเตะบอลโกลหนู ในทีมท้ายซอยอย่างผม ฟังแล้วก็รู้สึกมืดมนเต็มที ได้แต่อวยชัยให้พรให้เค้าประสบความสำเร็จ
คืนวันนั้น หนุ่มยูสอบถามว่า หากเค้าจะเดินทางด้วยรถเมล์จากสะพานควายไปย่านรามคำแหง น่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ เพราะพรุ่งนี้จะมีแข่งแมตช์คัดตัวที่นั่น ผมรีบหาข้อมูลให้ พลางความหลังสมัยเด็กที่นั่งรถเมล์ติดนานจนร้องไห้ ตอนไปเยี่ยมญาติในย่านนั้นก็ผุดพรายขึ้นมาในหัว ถนนแถวนั้นน่ากลัวจะวุ่นวายกว่าหลายย่านในโตเกียวเสียอีกมั้ง แต่ผมว่าเจ้านี่คงไม่ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมา เพื่อที่จะมาท้อถอยเพราะถนนหน้ารามหรอก
ค่ำวันต่อมาหลังจากกลับมาจากแมตช์คัดตัว หนุ่มยูกลับมาท่าทางกระปรี้กระเปร่า “How is the match today?” ผมถาม “NO GOOD” ยูตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มสดใส แบบคนที่ไม่ยอมปล่อยให้ความผิดหวังเข้ามาคุกคาม เราคุยกันสักพักก่อนที่เจ้าหนุ่มจะขอตัวไปทำธุระส่วนตัว
วันถัดมา เจ้ายูเดินมาถามทางไปมหาวิทยาลัยอีกแห่ง คราวนี้พี่แกเล่นไปถึงนครนายก ไกลกว่าเดิมอีกหลายเท่า ขนาดเจ้าถิ่นอย่างผม เคยขับรถไปเอง ยังห่างไกลจนรู้สึกท้อแท้ การต้องนั่งรถไปกลับครึ่งค่อนวัน เพื่อที่จะลงสนามไม่กี่นาที คงจะไม่ใช่เรื่องที่คนไร้เป้าหมายในชีวิตเค้าทำกัน
ค่ำวันนั้นเจ้ายูกลับมา เดินกะเผลกๆ แบบคนที่คงจะโดนจัดหนัก ผมอุทานออกมา เมื่อเห็นข้อเท้าบวมตุ่ย ของเจ้าหนุ่มซามูไร เจ้าตัวยิ้มแห้งๆ ก่อนจะตอบผม “TODAY….NO GOOD” แล้วปลีกตัวเข้าไปนอนในห้องแบบคนหมดแรง
หลังจากนั้น วันแล้ววันเล่า เจ้าหนุ่มยูก็ไปคัดตัวตามที่ต่างๆ อีกหลายแห่ง โปรแกรมเตะคัดตัว ดูจะถี่เสียยิ่งกว่าพรีเมียร์ลีกซะอีก เพื่อให้คุ้มค่าเดินทาง หนุ่มยูคงจะติดต่อสโมสรต่างๆ ทั้งในกรุงเทพและปริมณฑลไปหลายแห่ง แล้วเดินทางมาตระเวณแข่งขันรวดเดียวยกชุดไปเลย แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า การไปแข่งแทบทุกวี่ทุกวันนี่ ร่างกายมันจะฟื้นตัวทันเหรอ (วะ)
ผ่านไปเป็นสัปดาห์ เย็นวันหนึ่ง หลังจากเดินทางไปคัดตัวที่สถาบันแห่งหนึ่ง หนุ่มยูเดินทางกลับมาอย่างอิดโรย ใบหน้าและดวงตาของเขา เหี่ยวแฟบเหมือนลูกฟุตบอลที่ถูกสูบลมออก ผมลอบมองเค้าเดินผ่านเคาน์เตอร์ไป ไม่แน่ใจว่าควรจะทักดีหรือไม่
“...TODAY…..VERY BAD” หนุ่มยูส่ายหน้า ก่อนจะเล่าว่า บ่ายวันนี้นั่งรถเมล์ไปร่วม 3 ชั่วโมง เดินทางไปสโมสรย่านรังสิต ทว่าแมตช์คัดตัวถูกยกเลิกแบบไม่บอกกล่าว สุดท้ายเลยต้องเดินคอตกนั่งรถเมล์กลับมาอีก 3 ชั่วโมง
ผมฟังยูเล่าแล้วก็ได้แต่เห็นใจ สำหรับคนหนุ่มพลังงานล้นเหลืออย่างเขา จะมีอะไรย่ำแย่ไปกว่าการถูกปฏิเสธโดยยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเอง....
หลังจากวันนั้น เจ้าหนุ่มยูก็ไม่ได้ไปแข่งคัดตัวที่ไหนอีก เจ้าตัวดูเนือยๆ ไปพักหนึ่ง เค้าซักเสื้อผ้าชุดแข่งขันที่ตกค้าง แล้วก็ออกไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยใกล้ๆ โฮสเทลบ้าง โชคดีที่มีนักเดินทางชาวญี่ปุ่น ผลัดเปลี่ยนมาพักกับเราอยู่บ้าง การได้พานพบเพื่อนพ้องชาติเดียวกัน ที่พูดคุยกันได้สะดวกปากในที่ต่างบ้านต่างเมืองนั้น น่าจะทำให้ความเดียวดายของเค้าคลี่คลายไปได้บ้าง แม้จะส่วนใหญ่มาแค่ไม่กี่วันแล้วก็ไป ทิ้งไว้ให้เจ้ายู นั่งๆ นอนๆ รอการติดต่อจากสโมสรต่อไป
ตอนแรกเจ้าหนุ่มยูจองที่พักมาแค่ไม่กี่วัน แต่คงเป็นเพราะที่ แอดเวนเจอร์ โฮสเทล อยู่ติดสถานีรถไฟฟ้าและใกล้กับสถานีขนส่งหมอชิต เลยเดินทางไปไหนต่อไหนได้สะดวก เจ้าตัวเลยมาขอต่อเวลาเพิ่มเติมทีละ 1-2 วัน บ่อยครั้งเข้า พวกเราเลยเสนอราคามิตรภาพให้ ตอนนี้เหล่า แอดเวนเจอเรอร์ ก็รู้สึกกับเค้าเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเราไปเสียแล้ว แม้แต่ภรรยาผมยังเอ่ยปากว่า น่าจะชวนเค้ามานอนค้างที่บ้าน เพราะกังวลว่าเจ้าหนุ่มจะไม่มีเงินไปเตะคัดตัว เล่นเอาผมหัวเราะให้กับความใจดีของหญิงสาวข้างตัว....
หลังจากหมดโปรแกรมช่วงคัดตัวในไทยที่ได้สมัครไว้ และเวลาแห่งความเงียบเหงาก็ผ่านไปวันแล้ววันเล่า โดยไม่มีใครติดต่อมา หนุ่มยูก็มา check out บอกว่าจะกลับไปญี่ปุ่นซักพัก แล้วค่อยกลับมาใหม่อีก ครั้งหน้าตั้งใจว่าจะไปลองลุยแข่งที่ภาคเหนือดูบ้าง ผมฟังแล้วก็รู้สึกดีใจที่เค้ายังไม่ยอมจำนนให้กับโชคชะตา
ก่อนจากกันหนุ่มยูสัญญาว่า ถ้ามาที่กรุงเทพฯ จะกลับมาพักกับเราอีก ผมไม่แน่ใจว่านั่นเป็นการพูดตามมารยาทหรือไม่ แต่ก็แซวไปว่า ไม่มีนักฟุตบอลอาชีพในไทยพรีเมียร์ลีกคนไหน มาพักที่โฮสเทลหรอก คราวหน้าเค้าคงต้องไปพักที่คิงพาวเวอร์โฮเทลแล้ว....เจ้าตัวหัวเราะร่าก่อนที่เราจะร่ำลากัน...
ผมเดินไปส่งเค้าที่ตีนบันไดรถไฟฟ้า ความรู้สึกหลายอย่างเข้ามาปะปน......ความฝันสำหรับคนหนุ่มสาวนั้น นับว่าเป็นสสารที่แปลกเอาเรื่อง ก่อนที่ฝันจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างนั้น เราเป็นฝ่ายควบคุมมันแท้ๆ แต่เมื่อไหร่ที่ฝันเริ่มเติบใหญ่เป็นตัวเป็นตนแล้วนั้น มันกลับกลายมาเป็นนายเรา คอยควบคุมกำกับพฤติกรรมของเราไปทุกวี่ทุกวัน.....
ด้วยความที่ผมเคยออกเดินทางค้นหาความฝันในที่ต่างบ้านต่างเมืองมาบ้าง เลยพอเข้าใจธรรมชาติของความฝันในวันฉกรรจ์ แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าความฝันของเจ้ายูนั้น น่าจะยากเย็นแสนเข็ญเอาเรื่อง แต่ก็อีกนั่นแหละ การไม่ได้ลงมือทำตามฝันนั้นย่อมทิ้งรสชาดฝาดเฝื่อนฝังลึกยาวนานกว่าการลงมือทำแล้วล้มเหลวอยู่มาก
....เรื่องราวของเจ้าหนุ่มยูก็คงจะจบอยู่เพียงเท่านี้ เพราะจนแล้วจนรอดเค้าก็ไม่ได้กลับมาพักกับเรา และผมก็ไม่ได้ข่าวคราวของเค้าอีกเลย....
จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่ง ผมนั่งทำงานเรื่อยเปื่อย ใจลอยนึกไปถึงความฝันอันไม่สมเหตุสมผลของคนวัยหนุ่ม จู่ๆ นิ้วก็พิมพ์คีย์บอร์ดไปเร็วกว่าความคิด "YUSAKU TAKADA" เสี้ยววินาทีแห่งความเร็วแสง ภาพชายหนุ่มผิวเกรียมแดดรูปร่างคุ้นตา ในชุดนักฟุตบอลสีแสบตาก็สว่างวาบขึ้นมาบนจอ ผมยิ้มฉงนสนเท่ห์ แล้วยื่นหน้าเข้าไปมองตัวหนังสือภาษาไทยบนหน้าอกเสื้อ...
...แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง....เจ้าหนุ่มซามูไรไร้สังกัด บัดนี้ใส่ชุดยูนิฟอร์ม ลงสนามแข่งด้วยลีลาพลิ้วไหวในนามของ "สโมสร น่าน เอฟซี" ไปเสียแล้ว...
เยส เยส เยส!!! ผมตะโกนออกมาใส่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างลืมตัว ทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืน ดีใจอย่างกับเอแดร์ นักเตะตัวสำรองที่ยิงประตูชัยให้ทีมรองบ่อนอย่างโปรตุเกส ชนะเลิศบอลยูโร 2016 ผมยืนนิ่งแหงนหน้ามองเพดาน เพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกยินดีที่เอ่อท้นขึ้นมา
ครับ...สำหรับนักเดินทางคนหนึ่งที่มีความฝันอันแรงกล้า ผมนึกไม่ออกว่า จะมีสิ่งใดน่าภาคภูมิใจไปกว่าการออกเดินทางไล่ล่าหาความฝัน แม้ว่ามันจะเปล่าเปลี่ยว และสุดท้าย...ก็ได้พบเจอมัน....
หมายเหตุ ขอขอบคุณภาพนักเตะ จาก facebook nan fc : สโมสร น่านเอฟซี
ขอบคุณคุณ "แมวกักขฬะ - crazy cat" สำหรับการอ่านตรวจทานพิสูจน์อักษร พร้อมให้ความเห็นอันทรงคุณค่า
:::HOMELESS 02 : ยูซาขุ ทาคาดะ ซามูไรหนุ่มบนทุ่งหญ้าแห่งความฝัน:::
สิ่งที่น่ารื่นรมย์ที่สุดอย่างหนึ่งในการทำแอดเวนเจอร์โฮสเทล สำหรับผมแล้วนั้น คือการที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนทัศนคติ และเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตต่างๆ จากนักเดินทางที่มาจากทั่วทุกมุมโลก เมื่อได้มีโอกาสพูดคุยกับคนหลายวัฒนธรรมบ่อยๆ ครั้งเข้า ทำให้ผมพอสัมผัสได้ถึงลักษณะนิสัยประจำชาติได้หยาบๆ ประมาณหนึ่ง นักเดินทางชาวเอเชียเช่น จีน, ไต้หวัน หรือมาเลเซียนั้น มักจะพักในโฮสเทลในช่วงเวลาสั้นๆ 1-2 วัน และดูจะชอบความเป็นส่วนตัว ไม่สู้จะสุงสิงกับใครมากนัก , ในขณะที่ชาวยุโรปนั้นมักจะใช้เวลายาวนานกว่าในการพักในที่หนึ่งๆ และจะยินดีที่จะสร้างมิตรภาพใหม่กับเพื่อนนักเดินทางคนอื่นๆ มาก คนเยอรมันนั้นมักจะดูเคร่งครัดและจริงจัง ส่วนชาวเนเธอร์แลนด์นั้นรูปร่างหน้าตาสำเนียงภาษาอังกฤษออกจะคล้ายๆ คนเยอรมัน แต่จะออกจะสนุกสนานเฮฮาและมีชีวิตชีวากว่า....ฯลฯ
แต่หากเราถามเจ้าของโฮสเทลหลายๆ คน ว่าชื่นชอบนักเดินทางชาติใดเป็นพิเศษ คำตอบน่าจะหดตัวเหลืออยู่ไม่มากนัก และผมเชื่อว่าหนึ่งในนั้นคงต้องมีนักเดินทางชาวญี่ปุ่นอยู่ด้วย อย่างไม่ต้องสงสัย
นักเดินทางชาวญี่ปุ่นนั้นโดดเด่นมากเรื่องความสุภาพ และเคารพต่อกฎระเบียบส่วนรวม ทุกคนรักษาความสะอาดและเป็นระเบียบ เวลาเค้าจะคุยด้วย เราจะต้องตั้งสมาธิแล้วเงี่ยหูฟังให้ดี เพราะเค้าจะรักษาระดับเสียงไว้ไม่ให้รบกวนผู้อื่น เมื่อยามเดินเหินนั้นเล่าราวกับแมวย่องบนเมฆ หากเมื่อนั่งทานอาหารเช้าหรือยกแก้วชาขึ้นมาจิบนั้นหรือ ดูราวกับกำลังทำพิธีกรรมบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่น่าทึ่งที่สุด คือเมื่อเชคเอาท์ออกแล้ว นักเดินทางญี่ปุ่นส่วนมากจะพับผ้าห่มแล้ววางหมอนไว้ที่เดิม พร้อมดึงผ้าปูเตียงเข้ามุมให้ตึง เล่นเอาพ่อบ้านทำความสะอาดของโรงแรม ถึงกับต้องเดินกลับมาถามว่า ตกลงเตียงนั้น แขกได้เข้ามาพักแล้วหรือยัง เพราะสภาพมันเป๊ะมาก เหมือนยังไม่มีใครเข้าพัก!!!
ผมเคยอำหญิงสาวข้างกายเล่นๆ ว่า ผู้หญิงญี่ปุ่นตอนเข้าห้องน้ำขับถ่าย น่ากลัวแต่ละนางคงนั่งพับเพียบด้วย เธอพยักหน้าหัวเราะคิกคัก....
นอกเหนือจากความสุภาพเรียบร้อยแล้ว ผมพบว่า นักเดินทางญี่ปุ่นจำนวนมากที่มาพักที่โฮสเทลนั้น เดินทางมาแบบ solo traveler หรือนักเดินทางแบบข้ามาคนเดียว ลุยเดี่ยวไปทั่วไม่กลัวใคร หลายคนต้องการเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตผ่านการเดินทางในที่ต่างวัฒนธรรม และหลายคนก็เดินทางตามหาความฝันของตัวเอง
...และนี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวของนักเดินทางชาวญี่ปุ่นช่างฝันคนหนึ่ง ที่ผมได้มีทำให้ผมต้องหันกลับมาทบทวนตัวเอง...
ยูซาขุ ทาคาดะ (Yusaku Takada) เป็นชายญี่ปุ่นรูปร่างสันทัด ผิวสีเข้มแบบคนที่น่าจะใช้ชีวิตอยู่กลางแจ้งเป็นประจำ ใบหน้าคมสันมีองค์ประกอบที่ลงตัว จมูกโด่งเรียวเป็นสันยาว ใต้ดวงตาขี้เล่นนั้น ดูจะไปกันได้ดีกับรอยยิ้มกว้างใหญ่คับหน้าคับตา แต่สิ่งที่ดูจะสร้างความฉงนสนเท่ห์ น่าวิคุ้ย (วิเคราะห์ + คุ้ยแคะ) ก็คือ ซามูไรหนุ่มคนนี้ หิ้วรองเท้าสตั๊ดสีแสบสันมาด้วย....
หลังจากเข้า check in แล้วนั่งพักเหนื่อย ยูเล่าให้ฟังว่า เค้าเดินทางมาสยามประเทศ เพื่อหาโอกาสเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ในลีกฟุตบอลที่พึ่งเกิดมาได้ไม่กี่ปีของบ้านเรา J-league ของญี่ปุ่นนั้น แข่งขันกันสูงมาก ถ้าไม่ได้พร้อมสรรพทุกสิ่ง ไต่ระดับมาตั้งแต่คลับเยาวชน และมีเซนส์บอลระดับเทพ ก็ยากที่จะแทรกตัว เข้าไปในลีกได้
ผมฟังแล้วก็นึกถึงการ์ตูน กัปตันซึบาสะ ที่โด่งดังในสมัยเด็ก ขึ้นมาตะหงิดๆ แต่ดูจากวิธีการเดินหน้าแบบข้ามาคนเดียวแล้ว เจ้าหนุ่มยูคงจะละม้ายคล้าย อาโออิ ชินโง ที่ตะลุยไปแข่งคัดตัวในบอลกัลโช่ จนได้เป็นตัวจริงเสียละมากกว่า
ผมถามเจ้าหนุ่มยูด้วยความไร้เดียงสาว่า เค้าต้องมีการติดต่อ Agent รึเปล่า ยูหัวเราะก่อนจะตอบว่า นักเตะไร้สังกัดอย่างเค้าใช้วิธีติดต่อขอไปคัดตัวตามสโมสรต่างๆ ด้วยตัวเอง โดยเริ่มจากสโมสรมหาวิทยาลัยของไทย แล้วค่อยๆ หาโอกาสไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ
“....เป็นนักมวยก็ต้องหาเวทีต่อย เป็นนักฟุตบอลก็ต้องหาสนามเตะ....” สัจธรรมนี้คงใช้ได้กับนักกีฬาทุกประเภท
เส้นทางจากสโมสรมหาวิทยาลัยไทย ไปสู่สโมสรฟุตบอลอาชีพห่างไกลกันเพียงไหน นักเตะระดับตัวแถมคนสุดท้าย เวลาเป่ายิงฉุบเลือกนักเตะบอลโกลหนู ในทีมท้ายซอยอย่างผม ฟังแล้วก็รู้สึกมืดมนเต็มที ได้แต่อวยชัยให้พรให้เค้าประสบความสำเร็จ
คืนวันนั้น หนุ่มยูสอบถามว่า หากเค้าจะเดินทางด้วยรถเมล์จากสะพานควายไปย่านรามคำแหง น่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ เพราะพรุ่งนี้จะมีแข่งแมตช์คัดตัวที่นั่น ผมรีบหาข้อมูลให้ พลางความหลังสมัยเด็กที่นั่งรถเมล์ติดนานจนร้องไห้ ตอนไปเยี่ยมญาติในย่านนั้นก็ผุดพรายขึ้นมาในหัว ถนนแถวนั้นน่ากลัวจะวุ่นวายกว่าหลายย่านในโตเกียวเสียอีกมั้ง แต่ผมว่าเจ้านี่คงไม่ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมา เพื่อที่จะมาท้อถอยเพราะถนนหน้ารามหรอก
ค่ำวันต่อมาหลังจากกลับมาจากแมตช์คัดตัว หนุ่มยูกลับมาท่าทางกระปรี้กระเปร่า “How is the match today?” ผมถาม “NO GOOD” ยูตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มสดใส แบบคนที่ไม่ยอมปล่อยให้ความผิดหวังเข้ามาคุกคาม เราคุยกันสักพักก่อนที่เจ้าหนุ่มจะขอตัวไปทำธุระส่วนตัว
วันถัดมา เจ้ายูเดินมาถามทางไปมหาวิทยาลัยอีกแห่ง คราวนี้พี่แกเล่นไปถึงนครนายก ไกลกว่าเดิมอีกหลายเท่า ขนาดเจ้าถิ่นอย่างผม เคยขับรถไปเอง ยังห่างไกลจนรู้สึกท้อแท้ การต้องนั่งรถไปกลับครึ่งค่อนวัน เพื่อที่จะลงสนามไม่กี่นาที คงจะไม่ใช่เรื่องที่คนไร้เป้าหมายในชีวิตเค้าทำกัน
ค่ำวันนั้นเจ้ายูกลับมา เดินกะเผลกๆ แบบคนที่คงจะโดนจัดหนัก ผมอุทานออกมา เมื่อเห็นข้อเท้าบวมตุ่ย ของเจ้าหนุ่มซามูไร เจ้าตัวยิ้มแห้งๆ ก่อนจะตอบผม “TODAY….NO GOOD” แล้วปลีกตัวเข้าไปนอนในห้องแบบคนหมดแรง
หลังจากนั้น วันแล้ววันเล่า เจ้าหนุ่มยูก็ไปคัดตัวตามที่ต่างๆ อีกหลายแห่ง โปรแกรมเตะคัดตัว ดูจะถี่เสียยิ่งกว่าพรีเมียร์ลีกซะอีก เพื่อให้คุ้มค่าเดินทาง หนุ่มยูคงจะติดต่อสโมสรต่างๆ ทั้งในกรุงเทพและปริมณฑลไปหลายแห่ง แล้วเดินทางมาตระเวณแข่งขันรวดเดียวยกชุดไปเลย แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า การไปแข่งแทบทุกวี่ทุกวันนี่ ร่างกายมันจะฟื้นตัวทันเหรอ (วะ)
ผ่านไปเป็นสัปดาห์ เย็นวันหนึ่ง หลังจากเดินทางไปคัดตัวที่สถาบันแห่งหนึ่ง หนุ่มยูเดินทางกลับมาอย่างอิดโรย ใบหน้าและดวงตาของเขา เหี่ยวแฟบเหมือนลูกฟุตบอลที่ถูกสูบลมออก ผมลอบมองเค้าเดินผ่านเคาน์เตอร์ไป ไม่แน่ใจว่าควรจะทักดีหรือไม่ “...TODAY…..VERY BAD” หนุ่มยูส่ายหน้า ก่อนจะเล่าว่า บ่ายวันนี้นั่งรถเมล์ไปร่วม 3 ชั่วโมง เดินทางไปสโมสรย่านรังสิต ทว่าแมตช์คัดตัวถูกยกเลิกแบบไม่บอกกล่าว สุดท้ายเลยต้องเดินคอตกนั่งรถเมล์กลับมาอีก 3 ชั่วโมง
ผมฟังยูเล่าแล้วก็ได้แต่เห็นใจ สำหรับคนหนุ่มพลังงานล้นเหลืออย่างเขา จะมีอะไรย่ำแย่ไปกว่าการถูกปฏิเสธโดยยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเอง....
หลังจากวันนั้น เจ้าหนุ่มยูก็ไม่ได้ไปแข่งคัดตัวที่ไหนอีก เจ้าตัวดูเนือยๆ ไปพักหนึ่ง เค้าซักเสื้อผ้าชุดแข่งขันที่ตกค้าง แล้วก็ออกไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยใกล้ๆ โฮสเทลบ้าง โชคดีที่มีนักเดินทางชาวญี่ปุ่น ผลัดเปลี่ยนมาพักกับเราอยู่บ้าง การได้พานพบเพื่อนพ้องชาติเดียวกัน ที่พูดคุยกันได้สะดวกปากในที่ต่างบ้านต่างเมืองนั้น น่าจะทำให้ความเดียวดายของเค้าคลี่คลายไปได้บ้าง แม้จะส่วนใหญ่มาแค่ไม่กี่วันแล้วก็ไป ทิ้งไว้ให้เจ้ายู นั่งๆ นอนๆ รอการติดต่อจากสโมสรต่อไป
ตอนแรกเจ้าหนุ่มยูจองที่พักมาแค่ไม่กี่วัน แต่คงเป็นเพราะที่ แอดเวนเจอร์ โฮสเทล อยู่ติดสถานีรถไฟฟ้าและใกล้กับสถานีขนส่งหมอชิต เลยเดินทางไปไหนต่อไหนได้สะดวก เจ้าตัวเลยมาขอต่อเวลาเพิ่มเติมทีละ 1-2 วัน บ่อยครั้งเข้า พวกเราเลยเสนอราคามิตรภาพให้ ตอนนี้เหล่า แอดเวนเจอเรอร์ ก็รู้สึกกับเค้าเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเราไปเสียแล้ว แม้แต่ภรรยาผมยังเอ่ยปากว่า น่าจะชวนเค้ามานอนค้างที่บ้าน เพราะกังวลว่าเจ้าหนุ่มจะไม่มีเงินไปเตะคัดตัว เล่นเอาผมหัวเราะให้กับความใจดีของหญิงสาวข้างตัว....
หลังจากหมดโปรแกรมช่วงคัดตัวในไทยที่ได้สมัครไว้ และเวลาแห่งความเงียบเหงาก็ผ่านไปวันแล้ววันเล่า โดยไม่มีใครติดต่อมา หนุ่มยูก็มา check out บอกว่าจะกลับไปญี่ปุ่นซักพัก แล้วค่อยกลับมาใหม่อีก ครั้งหน้าตั้งใจว่าจะไปลองลุยแข่งที่ภาคเหนือดูบ้าง ผมฟังแล้วก็รู้สึกดีใจที่เค้ายังไม่ยอมจำนนให้กับโชคชะตา
ก่อนจากกันหนุ่มยูสัญญาว่า ถ้ามาที่กรุงเทพฯ จะกลับมาพักกับเราอีก ผมไม่แน่ใจว่านั่นเป็นการพูดตามมารยาทหรือไม่ แต่ก็แซวไปว่า ไม่มีนักฟุตบอลอาชีพในไทยพรีเมียร์ลีกคนไหน มาพักที่โฮสเทลหรอก คราวหน้าเค้าคงต้องไปพักที่คิงพาวเวอร์โฮเทลแล้ว....เจ้าตัวหัวเราะร่าก่อนที่เราจะร่ำลากัน...
ผมเดินไปส่งเค้าที่ตีนบันไดรถไฟฟ้า ความรู้สึกหลายอย่างเข้ามาปะปน......ความฝันสำหรับคนหนุ่มสาวนั้น นับว่าเป็นสสารที่แปลกเอาเรื่อง ก่อนที่ฝันจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างนั้น เราเป็นฝ่ายควบคุมมันแท้ๆ แต่เมื่อไหร่ที่ฝันเริ่มเติบใหญ่เป็นตัวเป็นตนแล้วนั้น มันกลับกลายมาเป็นนายเรา คอยควบคุมกำกับพฤติกรรมของเราไปทุกวี่ทุกวัน.....
ด้วยความที่ผมเคยออกเดินทางค้นหาความฝันในที่ต่างบ้านต่างเมืองมาบ้าง เลยพอเข้าใจธรรมชาติของความฝันในวันฉกรรจ์ แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าความฝันของเจ้ายูนั้น น่าจะยากเย็นแสนเข็ญเอาเรื่อง แต่ก็อีกนั่นแหละ การไม่ได้ลงมือทำตามฝันนั้นย่อมทิ้งรสชาดฝาดเฝื่อนฝังลึกยาวนานกว่าการลงมือทำแล้วล้มเหลวอยู่มาก
....เรื่องราวของเจ้าหนุ่มยูก็คงจะจบอยู่เพียงเท่านี้ เพราะจนแล้วจนรอดเค้าก็ไม่ได้กลับมาพักกับเรา และผมก็ไม่ได้ข่าวคราวของเค้าอีกเลย....
จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่ง ผมนั่งทำงานเรื่อยเปื่อย ใจลอยนึกไปถึงความฝันอันไม่สมเหตุสมผลของคนวัยหนุ่ม จู่ๆ นิ้วก็พิมพ์คีย์บอร์ดไปเร็วกว่าความคิด "YUSAKU TAKADA" เสี้ยววินาทีแห่งความเร็วแสง ภาพชายหนุ่มผิวเกรียมแดดรูปร่างคุ้นตา ในชุดนักฟุตบอลสีแสบตาก็สว่างวาบขึ้นมาบนจอ ผมยิ้มฉงนสนเท่ห์ แล้วยื่นหน้าเข้าไปมองตัวหนังสือภาษาไทยบนหน้าอกเสื้อ...
...แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง....เจ้าหนุ่มซามูไรไร้สังกัด บัดนี้ใส่ชุดยูนิฟอร์ม ลงสนามแข่งด้วยลีลาพลิ้วไหวในนามของ "สโมสร น่าน เอฟซี" ไปเสียแล้ว...
เยส เยส เยส!!! ผมตะโกนออกมาใส่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างลืมตัว ทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืน ดีใจอย่างกับเอแดร์ นักเตะตัวสำรองที่ยิงประตูชัยให้ทีมรองบ่อนอย่างโปรตุเกส ชนะเลิศบอลยูโร 2016 ผมยืนนิ่งแหงนหน้ามองเพดาน เพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกยินดีที่เอ่อท้นขึ้นมา
ครับ...สำหรับนักเดินทางคนหนึ่งที่มีความฝันอันแรงกล้า ผมนึกไม่ออกว่า จะมีสิ่งใดน่าภาคภูมิใจไปกว่าการออกเดินทางไล่ล่าหาความฝัน แม้ว่ามันจะเปล่าเปลี่ยว และสุดท้าย...ก็ได้พบเจอมัน....
หมายเหตุ ขอขอบคุณภาพนักเตะ จาก facebook nan fc : สโมสร น่านเอฟซี
ขอบคุณคุณ "แมวกักขฬะ - crazy cat" สำหรับการอ่านตรวจทานพิสูจน์อักษร พร้อมให้ความเห็นอันทรงคุณค่า