JJNY : บทเรียน จากอดีต ประชามติ สิงหาคม 2550 ว่าด้วย ความเพ้อฝัน

ที่มา    มติชนรายวัน
เผยแพร่    3 ส.ค. 59

อะไรคือ “ปัจจัย” ทำให้ประชามติร่างรัฐธรรมนูญเมื่อเดือนสิงหาคม 2550 ได้ชัยชนะด้วยคะแนนเสียง 14,727,306 ต่อ 10,747,441

คำตอบ 1 คือ ปัจจัยจาก “ความเพ้อฝัน”

เป็นความเพ้อฝันของนักการเมือง เป็นความเพ้อฝันของพรรคการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ และแม้กระทั่ง “บางส่วน” ภายในพรรคไทยรักไทย

เพ้อฝันว่า “การเลือกตั้ง” จะ “คลี่คลาย” ปัญหา

พรรคประชาธิปัตย์จึงเห็นชอบกับข้อเสนอที่ว่า “รับ” ไปก่อนแล้วค่อย “แก้ไข” ภายหลัง พรรคเล็กๆ อื่นไม่ว่า พรรคชาติไทย พรรคชาติพัฒนา รวมถึงที่แยกตัวออกจากพรรคไทยรักไทยอย่างพรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย ก็มีความเชื่อเช่นนี้

ทั้งยังเชื่อตามแผน “บันได 4 ขั้น” อัน “คมช.” กำหนดและจัดวางเอาไว้

พรรคไทยรักไทยเอง “บางส่วน” ก็เชื่อเช่นนี้ แม้คะแนน “ไม่รับ” ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะสูงเด่น แต่ในภาคเหนือ คะแนน “รับ” กลับสูงกว่าคะแนน “ไม่รับ”

ตรงกันข้าม คะแนน “รับ” จากภาคใต้ ภาคกลาง สูงเด่น

คำตอบ 1 สอดรับกับคำตอบว่าด้วย “ความเพ้อฝัน” นั่นก็คือ ประเมินว่า “การเลือกตั้ง” จะเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการผลัก “คมช.” ผลัก “ทหาร” ออกไป

แล้ว “ความเป็นจริง” ดำเนินไปอย่างไร

ความเป็นจริงภายหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2550 อาจดับฝันของพรรคประชาธิปัตย์ และเสริมความ เพ้อฝันให้กับพรรคพลังประชาชน

ชั่วเวลาเพียง 1 ปี “สถานการณ์” ก็พลิกกลับ

ชัยชนะจากการเลือกตั้งอาจทำให้แผน “บันได 4 ขั้น” ของ คมช.ต้องล้มเหลว บรรดาพรรคการเมืองต่างหันมาร่วมในการจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน

ส่งผลให้ นายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

แต่เมื่อถึงเดือนพฤษภาคม 2551 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ลุกฮือขึ้นอีก นำไปสู่การเขย่าเสถียรภาพรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง

มีการยึดทำเนียบรัฐบาลในเดือนสิงหาคม 2551

พอถึงเดือนกันยายน นายสมัคร สุนทรเวช ก็ถูกบีบทั้งจาก “ภายนอก” และ “ภายใน” ให้ลาออก แม้จะมีความพยายามผลักดันให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เข้ามาแทนที่แต่ก็อยู่ได้ถึงเดือนธันวาคม พรรคพลังประชาชนก็ถูกยุบ

จากนั้น ก็เกิดการแยกตัวโดยการนำของ นายเนวิน ชิดชอบ ไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เริ่มเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เดือนมกราคม 2551

พรรคประชาธิปัตย์ “สมหวัง” พรรคพลังประชาชนกลายเป็น “ฝ่ายค้าน”

สถานการณ์ในยุครัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากเดือนมกราคม 2551 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2554 ให้บทเรียนกับพรรคพลังประชาชนซึ่งกลายมาเป็นพรรคเพื่อไทยได้เป็นอย่างดี

มีความพยายาม “ต่อสู้” ในเดือนเมษายน 2552 แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ

มีความพยายาม “ต่อสู้” อีกครั้งในเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 แต่ถูกปราบปรามด้วยความรุนแรงแข็งกร้าว

ตายเกือบ 100 บาดเจ็บมากกว่า 2,000

รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และแนวร่วมประเมินว่า ชัยชนะจากการปราบปรามทำให้พลังของพรรคเพื่อไทยน่าจะอ่อนเปลี้ย ระส่ำระส่าย จึงตัดสินใจยุบสภาและจัดการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม 2554

แต่แล้วพรรคเพื่อไทยกลับได้ชัยชนะ และเป็นชัยชนะอันท่วมท้น

จากจุดนี้ทำให้พรรคเพื่อไทยบังเกิดความฮึกเหิมและนำไปสู่ความเพ้อฝันอีกครั้งหนึ่งกระทั่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมอย่างชนิด “สุดซอย”

ทำให้ประสบกับการต่อต้านจากมวลมหาประชาชนในเดือนพฤศจิกายน 2556

มวลมหาประชาชน คือ การผนึกพลังครั้งสำคัญจากบทเรียนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพียงแต่ครั้งนี้มิได้นำโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล หากเป็น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ

ในที่สุดก็สร้างความชอบธรรมให้กับรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม 2557

รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 พรรคพลังประชาชนยังอยู่กับ “ความเพ้อฝัน” รัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 พรรคเพื่อไทยจะยังอยู่กับ “ความเพ้อฝัน” อีกหรือไม่

“ประชามติ” ในวันที่ 7 สิงหาคม คือ “คำตอบ”



จากนี้จึงเห็นได้ว่า ประชามติเดือนสิงหาคม 2559 มีความแตกต่างจากประชามติเดือนสิงหาคม 2550

แตกต่างตรงที่พรรคประชาธิปัตย์มิได้ตกอยู่ใน “ความเพ้อฝัน” แตกต่างตรงที่พรรคเพื่อไทยมิได้ตกอยู่ใน “ความเพ้อฝัน”

แต่จะเป็นจริงหรือไม่ต้องดู “ผล” ของ “ประชามติ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่