เล่าให้ฟัง ไปเที่ยวเกาะพีพี 31 ก.ค. - 2 ส.ค. ฉบับคนอกหัก

สวัสดีครับ

เล่าสู่กันฟังเรื่อยเปื่อยนะครับ บอกไว้ก่อนว่าคงไม่ได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับการเที่ยวแบบ มากมายย นัก เพราะอย่างที่เกริ่นครับว่าไปแบบบ้าๆ เพี้ยนๆ ตามประสาคนอกหัก หาที่หนีไปเพี้ยนบ้าบอเรื่อยเปื่อย ไม่ได้มีแพลนเลยว่าต้องไปดูที่นั่นที่นี่...

คิดเสียว่า อ่านสเตตัสเฟซบุ๊คก็ได้ครับ ถ้าคิดว่าเป็นรีวิวการท่องเที่ยว อาจจะเสียอารมณ์ได้ 5555




หมู่เกาะพีพีนั่นประกอบด้วย 2 เกาะใหญ่ๆ คือ พีพีดอน คือเกาะหลัก มีที่พัก ร้านอาหาร สถานบันเทิง ฯลฯ และอีกเกาะคือ พีพีเล ไม่มีที่พัก ต้องนั่งเรือไป อ่าวมาหยาอันเลื่องชื่อก็อยู่ที่พีพีเลนี่เองครับ

ถ้าอยากเที่ยวให้เต็มอิ่ม แนะนำให้ค้างคืนที่เกาะพีพีดอน แล้วตอนเช้าค่อยนั่งเรือแต่เช้าไปทัวร์ครับ ก็ประมาณ 08.00-16.00 น. เห็นจะได้ ได้ทำกิจกรรมเต็มอิ่ม ส่วนถ้าซื้อทัวร์ 1 วันเหมือนกัน แต่จากกระบี่หรือภูเก็ต กว่าจะมาถึง อ่าวมาหยา คนน่าจะเต็มหาดแล้ว วิวอาจจะไม่สวย แต่ถ้าไม่ถือก็ไม่เป็นไรครับ

สวยที่สุดของหมู่เกาะพีพี คือ เกาะไผ่ และ อ่าวมาหยา ถ้าอยากเที่ยว ควรไป 2 ที่นี้นะครับ




ผมออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองด้วยเที่ยวบิน SL-804 โดยสายการบินไลอ้อนแอร์ ตามเวลา 04.35-06.00 น. แต่เที่ยวบินดีเลย์เล็กน้อยครับ เริ่มแท็กซี่จริงๆ ประมาณ 05.10 น. และถึงสนามบินกระบี่ประมาณ 06.15 น.



ลืมไปว่ามีกรรไกรตัดเล็บอยู่ในกระเป๋าสะพายด้วย จนท.ก็เลยต้องให้เอาทิ้งไป แอบเสียดายนิดนึง



บินไฟลท์เช้า ดูพระอาทิตย์ขึ้นก็รู้สึกดีเหมือนกันนะครับ

สนามบินกระบี่ไม่ใหญ่ครับ เดินง่าย ก่อนทางออกสนามบิน ก็จะมีซุ้มขายตั๋วรถ shuttle bus / รถตู้ รวมถึงมี taxi เรียงรายอยู่หน้าสนามบิน หาได้ไม่ยากเลย

- จากสนามบินกระบี่ ถ้านั่ง shuttle bus ไปตัวเมืองกระบี่ หรือ ท่าเรือคลองจิหลาด ค่าโดยสาร 90 บาท ส่วนถ้าไป อ่าวนาง จะ 150 บาทครับ

- shuttle bus จากสนามบินกระบี่ไป ท่าเรือ ใช้เวลาประมาณ 40-45 นาที และราวๆ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ไปถึง อ่าวนาง

ประมาณเกือบๆ 07.00 น. เมื่อคนเต็มรถแล้ว shuttle bus ก็เคลื่อนตัวออกไป รถวิ่งไปได้ประมาณ 30 นาที ถึง 07.30 น. รถก็เข้าจอดที่ร้านข้าวแห่งหนึ่ง แล้วก็จะมีคนขึ้นมาเรียก "พีพี ลันตาๆ" ก็เป็นอันว่า ใครที่จะไปเกาะพีพีหรือเกาะลันตาต้องลงตรงนั้นครับ

โดยเค้าจะมีรถตู้พาเราไปส่งต่างหาก

ตรงนี้อาจจะดราม่านิดนึง เพราะอาจจะดูเหมือนว่า เฮ้ย ทำไมต้องเอาเรามาลงตรงร้านข้าวอะไรไม่รู้ แล้วก็ชวนให้เราซื้อตั๋วเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากที่ตรงนั้นเลยด้วย มันอารมณ์สับสน นี่แย่งลูกค้ากับที่ท่าเรือ หรือยังไง มีฝรั่งหลายคนที่โวยวายน่าดูครับ ที่ร้านเค้าเลยเอารถตู้กลับไปส่งให้ถึงสนามบินกระบี่ ส่วน shuttle bus นั่นออกเดินทางต่อไปยัง อ่าวนาง เรียบร้อยแล้ว

พวกเราต้องรอที่นั่นจนถึงเวลาเรือใกล้ออก (ประมาณ 30 นาทีก่อนเรือออก) เค้าก็จะพาไปส่งที่ท่าเรือครับ คือ รอ shuttle bus พาคนที่จะไปเกาะมารวมกันเยอะๆ แล้วค่อยไปที่ท่าเรือทีเดียวครับ และจากร้านค้าตรงนั้นไปท่าเรือ ใช้เวลาแค่ 10 นาทีเท่านั้นครับ แป๊ปเดียวเท่านั้น

- ค่าตั๋วเรือเฟอร์รี่ ที่ร้านค้าตรงนั้นขาย 400 บาทครับ แต่ถ้าไปซื้อที่ท่าเรือ จะราคา 450 บาทครับ

อ้อ เราต้องเอาตั๋วซึ่งจะเป็นใบเหลืองๆ ใหญ่ๆ ประมาณฝ่ามือ ไปแลกตั๋วเรือที่เค้าท์เตอร์ตั๋วก่อนลงเรืออีกทีนะครับ



- รอบเรือจาก กระบี่ ไป เกาะพีพี มี 4 รอบ ผมไปรอบแรกสุดคือ 09.00 น. (และมี 10.30 น., 13.30 น., และ 15.00 น.) (กลับก็เช่นกัน)



โดยรถ shuttle bus จากสนามบินมาดร็อปพวกเราไว้ที่ร้านค้าตอน 07.30 น. ก่อนจะไปส่งเราที่ท่าเรือตอน 08.30 น. ครับ ระหว่างนั่งกินข้าวกินขนมรอไปก่อนได้

เรือ เป็นเรือแอร์ 2 ชั้น (ไม่รวมดาดฟ้า ที่ซึ่งฝรั่งชอบขึ้นไปอาบแดด และคนอื่นๆ ไปถ่ายรูป, เซลฟี่ ฯลฯ)



เรือจะใช้เวลาในการเดินทางระหว่าง กระบี่ และ เกาะพีพี ประมาณ 2 ชั่วโมงครับ (ถึงตารางบางทีจะเขียนว่า 1 ชม. ครึ่ง แต่เอาเข้าจริงก็เกินทุกที)

แรกๆ ผดส.ก็นั่งเงียบๆ กันในห้องผดส.ครับ ฟังเพลงอะไรไป บนเรือมีขายน้ำอัดลมและขนมกินเล่น นั่งๆ ไปนานๆ คนก็คงเบื่อ โดยเฉพาะเหล่าฝรั่ง ก็เลยค่อยๆ เดินกันออกไปทีละคนสองคนไปที่ท้ายเรือที่เปิดโล่ง โดยไม่กลัวต่อแดดแรงช่วงสายๆ ก่อนจะปีนบันไดขึ้นดาดฟ้าเรือไปนอนอาบแดดกันสบาย



ด้วยเวลาเดินทางที่ค่อนข้างนานครับ 2 ชม. ทำให้หลายๆ คนก็แวะเวียนกันเดินออกไปสูดอากาศ ถ่ายรูป กินขนม เข้าห้องน้ำ ฯลฯ เช่นเดียวกับผมด้วยครับ





พอเวลาประมาณ 11.00 พวกเราก็เข้าสู่ อ่าวต้นไทร ท่าเรือหลักของ เกาะพีพีดอน นั่นเองครับ และถึงแม้ที่นี่จะเป็นอ่าว/หาด แถมน้ำใสทะเลสวย แต่ก็ไม่ค่อยมีคนเล่นน้ำกันนะครับ ด้วยเพราะมันเป็นท่าเรือ และมีเรือหางยาวจอดเรียงรายตลอดเวลา นักท่องเที่ยวจะไปเล่นน้ำที่ อ่าวโละดาลัม ซึ่งอยู่ด้านหลังอ่าวต้นไทรนี่เอง เดิน 15-20 นาทีก็ถึงครับ













แดดแรงน่าดูครับวันที่ผมไป

หลังจากนั้นก็เช็คอิน โดยโรงแรมส่วนใหญ่จะให้เช็คอินตั้งแต่เวลา 14.00 น. ของผมพักที่โรงแรม Ivory Hotel ครับ คืนละ 935 บาท ห้องแอร์ น้ำอุ่น ทีวี แต่ไม่มีตู้เย็น เดินแค่ 5 นาทีจากท่าเรือ ใกล้ดีมาก แต่ด้วยความที่ผมไปถึงตั้งแต่ยังไม่เที่ยง พนง.ต้อนรับเลยบอกว่าขอสัก 13.00 น. ให้เตรียมห้องก่อนค่อยมาเช็คอิน ผมก็ยินดีอยู่แล้วครับเพราะเราไปก่อนเวลา ก็เลยไปหาข้าวทาน ก่อนจะเช็คอิน



ด้วยอากาศที่ร้อนจัด และผมเป็นคนขี้ร้อนอีก พอกินข้าวและเช็คอินแล้วก็เลยไม่ได้เดินเที่ยวมาก เดินๆ ดูของ เข้าเซเว่น แวะไปอ่าวโละดาลัมแป๊ปนึง ก็กลับมาห้อง นอนตากแอร์จนค่ำๆ ค่อยออกจากห้องครับ




อย่างที่บอกครับ นี่มันทริปคนอกหัก ผมไม่ได้สนใจมาชมสถานที่อะไรเท่าไหร่ เน้นมาคนเดียว เงียบๆ บ้าๆ เมา









เดินแค่ 5 นาทีจากที่พักจะเข้าสู่โซนบาร์ครับ มีเรียงรายเต็มไปหมดสองข้างทาง ฝรั่งเมาปลิ้นคุยเสียงดังโหวกเหวกไปหมด ผมเดินลุยต่อไปอีก 5 นาทีไปถึงอ่าวโละดาลัม เพื่อจะมาปาร์ตี้ริมหาดครับ พอพิมพ์คำว่า best bar in koh phi phi ผมจำได้ว่าเห็น Slinky Bar ขึ้นมาก่อนเลย ซึ่งจะเป็นบาร์แรกที่เห็นทันทีหลังจากเดินพ้นซอยมาที่หน้าหาดครับ

แต่คือแรกช่วงหัวค่ำที่ร้านคนยังไม่เยอะ ผมเลยเดินต่อไป จนถึงร้าน Stones Bar ดูคึกคักดีก็เลยนั่งครับ

ร้านแนวนี้จะเหมือนๆ กันหมดก็คือซื้อแอลกอฮอล์จ่ายทันที มีโชว์ควงกระบองไฟโดยกลุ่มหนุ่มไทยล่ำดำเข้ม หลังจากนั้นจะเป็นเกมให้แขกมาร่วมเล่นด้วย หลักๆ ก็ Limbo Dance หรือย่อตัวลอดใต้คานที่ลดระดับความสูงลงเรื่อยๆ มีกระโดดเชือก เป็นเชือกเรืองแสงแล้วหนุ่มล่ำก็แกว่งเชือกไปให้ใครที่อยากโดดก็ไปโดด จะเดี่ยวหรือหมู่ก็ได้ และที่เห็นที่ Slinky Bar คือ เก้าอี้ดนตรี ด้วยครับ

ส่วนเพลง ไม่ต้องห่วงเลย แดนซ์ แดนซ์ล้วนๆ เพียวๆ เป็นเทค ดิสโก้ คลับ อะไรแบบนั้น เสียงดังสะใจ เบสกระหึ่มตัวแทบจะระเบิด สาวๆ หนุ่มๆ ต่างชาตินุ่งน้อยห่มน้อยเต้นกันหลุดโลก นั่นล่ะครับ

ราคาเครื่องดื่ม ผมสั่งแต่เบียร์ สิงห์ (ใหญ่) 160 บาท ถ้าไฮเนเก้นเล็ก 100 บาท

คืนแรกผมกิน 3 ร้าน คือ Stones Bar, Slinky Bar, และ Jordan's Irish Bar (ซึ่งมีโต๊ะพูลด้วย) (ร้านหลังสุดนี้ไม่ได้อยู่ริมหาด แต่อยู่เข้ามาในฝั่ง) จัดยาวตั้งแต่ราวๆ 3 ทุ่มถึงตี 4 ครับ สิงห์ 6 ขวด เมาปลิ้นเลย




1 ส.ค. 59

ตื่นมาเจอไส้กรอกกับข้าวกระเพราะหมูสับของเซเว่นวางอยู่บนโต๊ะ เมาไม่ได้สติเลย ตื่นมาสายๆ กินของที่เหลือนั่น กินน้ำ แล้วผมก็น็อคต่อจนบ่ายครับ

จริงๆ คนปกติที่มาเที่ยว ช่วงเช้าควรจะออกไปทัวร์หาดและเกาะต่างๆ ครับ









แต่ตัวผมเองนี่ไม่ได้ไปไหนเลย นั่งคิดอะไรไปเรื่อย ทั้งแฮ้งค์ทั้งเฮิร์ต 5555

แต่อ่าวโละดาลัมนี่สวยสะกดตาจริงๆ ครับ


พอตกกลางคืน ผมก็เหมือนเดิมครับ ออกไปบ้า โลเคชั่นที่เดิม ริมหาด มันได้อารมณ์กว่าในฝั่ง สำหรับผมนะ













คืนที่ 2 และคืนสุดท้ายของผม กะว่าจะเบาๆ แล้วเชียว เพราะจะกลับเรือรอบ 10.30 น. รู้ตัวอีกที ก็ 04.30 น. เสียแล้วครับ

จริงๆ บาร์ต่างๆ ในวันธรรมดาจะปิด 02.00 น. ครับ อันนี้ฝรั่งเค้าบอกมา พวกนทท.บนเกาะจะแฟรนด์ลี่มากๆ ครับ มีคนมาทัก มาชนแก้ว มาไฮไฟว์ มาฟิซบั๊ม มาคุย ฯลฯ กับผมเยอะมากจริงๆ คืนที่ 2 นี้จริงๆ บาร์ปิดตี 2 ผมก็กำลังจะเดินกลับ แล้วเกิดอยากกินต่อ ก็เลยถามฝรั่งที่บังเอิญเจอกันคืนแรกที่ Jordan's Irish Bar ผมเลยถามเค้าว่าผมจะหาเบียร์ได้ที่ไหน พี่แกก็เลยพาผมไปซื้อที่เซเว่นใกล้ๆ นั่นล่ะครับ ยอมรับว่าจริงๆ ไม่ทราบมาก่อนด้วยซ้ำว่าเซเว่นบนเกาะพีพีขายแอลฯตลอด 24 ชม.

หลังจากนั้นก็เลยคุยกับฝรั่งกลุ่มนี้อยู่นานมาาาาาาาาาก คุยสัพเพเหระไปเรื่อย หลายคน มีทั้งจากแอฟริกาใต้, เยอรมัน, โปแลนด์, สหรัฐฯ, ไอร์แลนด์, และหนุ่มไทยคือผม จนผมเองก็ขนาดเล่าเรื่องที่เลิกกับแฟน นั่นล่ะครับ จากตี 2 กว่าๆ เลยยาวมาถึงตี 4.30 น. จนได้

อ้อ ขากลับอุตส่าห์ซื้อไก่ย่างข้างทางจะเอากลับไปกินที่ห้องด้วย ปรากฏว่าคุยเพลินจนลืมทิ้งไปเลย เสียดาย




2 ส.ค. 59















วันสุดท้าย กลับแบบไม่อยากกลับตอน 10.30 น. แบบแฮ็งค์ๆ ไปแวะเดินเล่นที่อ่าวนางต่อ แล้วกลับช่วงค่ำ บินรอบ 18.00 น. แต่ดีเลย์อีกชม.นึง แป่ว

มาถึงดอนเมืองตอน 20.30 น. ครับ

โหวงๆ เหวงๆ หลายอารมณ์ ทั้งสุขและเหงาเลย...




สวัสดีครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่