พระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้นในโลก เพราะการตรัสรูความจริง ๔
ประการของพระสัมมาสัมพุทธเจา ดังที่พระองคตรัสวา “ภิกษุทั้งหลาย
อริยสัจ ๔ ประการ คือ ทุกขอริยสัจ สมุทัยอริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจ
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เพราะเรารูแจงอริยสัจ ๔ ประการนี้ตาม
ความเปนจริง ชาวโลกจึงเรียกเราวาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา”
 
อริยสัจก็คือความจริงแทของธรรมชาติทั้งปวงที่ปรากฏมีอยูในโลก
พระพุทธเจาตรัสยืนยันวาโลกทั้งปวงนั้นเปนทุกข หาแกนสารสาระใดๆ
ไมได ดังที่พระองคตรัสวา “สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งหลายทั้ง
ปวงไมเที่ยง สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารทั้งหลายทั้งปวงเปนทุกข
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งปวงมิใชตัวตน” ..อันเนื่องดวยหลักการใน
เรื่องนี้นี่เอง ทําใหผูเปนมิจฉาทิฎฐิกลาวใหรายศาสนาพุทธวา “เปน
ศาสนาที่มองโลกแตในแงราย สอนวาโลกนี้มีแตทุกข”
 
แทจริงแลวศาสนาพุทธไมไดมองโลกในแงราย แตมองสิ่งทั้งหลาย
ตามความเปนจริง(ยถาภูตํ) สอนอยางตรงไปตรงมา มุงตอบปญหาที่วา
ทําอยางไรจึงจะเขาถึงความพนทุกขไดอยางแทจริง คนทั้งหลายมัก
มองขามเรื่องความพนทุกข แตมุงความสนใจไปที่การแสวงหาความสุข
เพราะไมรูความจริงวารางกาย-จิตใจนี้เปนกองทุกขแทๆ ไมมีทางทําให
เกิดความสุขถาวรไดจริง ยิ่งดิ้นรนแสวงหาความสุขมากเพียงใด จิตใจก็
ยิ่งมีภาระและความบีบคั้นมากขึ้นเพียงนั้น เพราะไมวาจะดิ้นรนเพียงใด
ความสุขที่ไดมาก็ไมเคยเต็มอิ่ม และจะจืดจางไปอยางรวดเร็วเสมอ
ความสุขเสมือนสิ่งที่รอการไขวควาชวงชิงอยูขางหนา เหมือนจะไขวควา
ไดในตอนแรก แตก็จะหลุดมือไปรออยูขางหนาตอไปอีกทุกครั้ง เปน
เครื่องยั่วยวนและเรงเราใหเกิดการดิ้นรนอยูตลอดเวลา แทจริง ความสุข
ที่พวกเราเที่ยวแสวงหากันนั้นเปนเพียงภาพลวงตาที่ไขวควาไมถึง แม
ไดลิ้มรสเสพสุขอยูบางเปนบางครั้ง สุดทายก็ตองประสบกับความพลัด
พรากอยางหลีกเลี่ยงไมได..ดวยความตาย พุทธศาสนาไมไดสอนให
แสวงหาความสุขที่เปนภาพลวงตานั้น แตสอนใหเรียนรูทุกขซึ่งเปน
ความจริงของชีวิต มีแตพุทธศาสนาเทานั้น ที่ตอบปญหาเรื่องทุกข, เหตุ
ของความทุกข และวิธีเจริญภาวนาเพื่อความสิ้นไปแหงทุกขไวโดยตรง
 
อานาปานสติ เปนวิธีเจริญภาวนาที่สําคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา
เพราะเปนกรรมฐานที่ปฏิบัติไดสะดวก ทุกที่ ทุกเวลา แมแตสมเด็จพระ
สัมมาสัมพุทธเจาก็ทรงตรัสรูสัมมาสัมโพธิญาณดวยวิธีการนี้ นอกจากนี้
ยังชวยใหจิตใจผอนคลายหายเครียด เกิดความสงบกายสบายใจ และ
เปนอารมณกรรมฐานเพียงอยางเดียวที่สามารถปฏิบัติตอเนื่องผสานกัน
ไดในขณะเดียวกันระหวางสมถะและวิปสสนา
 
โดยเหตุที่ขาพเจาเห็นวาหนังสือที่อธิบายลําดับขั้นตอนการปฏิบัติ
อานาปานสติภาวนาพรอมทั้งคําอธิบายในคัมภีรอรรถกถาและฎีกาที่
เขียนอธิบายอยางเปนขั้นเปนตอน และปรับใชภาษาที่เขาใจงายยังหา
ไดยาก จึงพิจารณาเห็นวาหนังสือที่พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย
รวบรวมเรียบเรียงขึ้นนี้ มีเนื้อหาอธิบายหลักปฏิบัติอานาปานสติและ
อางหลักฐานจากคัมภีรตางๆ มาเรียบเรียงไวอยางเปนลําดับขั้นตอน
เหมาะสําหรับผูสนใจศึกษาที่ตองการทราบหลักฐานที่มาของหลักปฏิบัติ
ทั้งนี้เพื่อใหพุทธศาสนิกชนไดเขาใจเรื่องอานาปานสติภาวนาอยางถอง
แทตรงตามพุทธาธิบาย และเปนหลักสูตรเรียนของนิสิตปริญญาโท
หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปสสนาภาวนา ณ
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธ
โฆส นครปฐม
 
ขาพเจาไดอานตรวจทานแกไขสํานวนเปนตอนๆ ตั้งแตตนจนจบ
เห็นวาผูรวบรวมไดดําเนินการรวบรวมและเรียบเรียงอยางเปนลําดับ
ขั้นตอน ทั้งมีหลักฐานอางอิงจากพระไตรปฎกอรรถกถา และฎีกา
ครบถวน จึงของอนุโมทนากุศลจิตของพระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมา
จารย ผูรวบรวมเรียบเรียงหนังสือเลมนี้
 
 (สมเด็จพระพุทธชินวงศ)
อ่านเพิ่มเติม :
http://www.new.womeedtec.com/th-TH/Main/Post?p=aafb099d8a2a4955b00ae68ba891b422																																	  
							
อานาปานสติภาวนา - ลำดับการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า
ประการของพระสัมมาสัมพุทธเจา ดังที่พระองคตรัสวา “ภิกษุทั้งหลาย
อริยสัจ ๔ ประการ คือ ทุกขอริยสัจ สมุทัยอริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจ
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เพราะเรารูแจงอริยสัจ ๔ ประการนี้ตาม
ความเปนจริง ชาวโลกจึงเรียกเราวาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา”
อริยสัจก็คือความจริงแทของธรรมชาติทั้งปวงที่ปรากฏมีอยูในโลก
พระพุทธเจาตรัสยืนยันวาโลกทั้งปวงนั้นเปนทุกข หาแกนสารสาระใดๆ
ไมได ดังที่พระองคตรัสวา “สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งหลายทั้ง
ปวงไมเที่ยง สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารทั้งหลายทั้งปวงเปนทุกข
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งปวงมิใชตัวตน” ..อันเนื่องดวยหลักการใน
เรื่องนี้นี่เอง ทําใหผูเปนมิจฉาทิฎฐิกลาวใหรายศาสนาพุทธวา “เปน
ศาสนาที่มองโลกแตในแงราย สอนวาโลกนี้มีแตทุกข”
แทจริงแลวศาสนาพุทธไมไดมองโลกในแงราย แตมองสิ่งทั้งหลาย
ตามความเปนจริง(ยถาภูตํ) สอนอยางตรงไปตรงมา มุงตอบปญหาที่วา
ทําอยางไรจึงจะเขาถึงความพนทุกขไดอยางแทจริง คนทั้งหลายมัก
มองขามเรื่องความพนทุกข แตมุงความสนใจไปที่การแสวงหาความสุข
เพราะไมรูความจริงวารางกาย-จิตใจนี้เปนกองทุกขแทๆ ไมมีทางทําให
เกิดความสุขถาวรไดจริง ยิ่งดิ้นรนแสวงหาความสุขมากเพียงใด จิตใจก็
ยิ่งมีภาระและความบีบคั้นมากขึ้นเพียงนั้น เพราะไมวาจะดิ้นรนเพียงใด
ความสุขที่ไดมาก็ไมเคยเต็มอิ่ม และจะจืดจางไปอยางรวดเร็วเสมอ
ความสุขเสมือนสิ่งที่รอการไขวควาชวงชิงอยูขางหนา เหมือนจะไขวควา
ไดในตอนแรก แตก็จะหลุดมือไปรออยูขางหนาตอไปอีกทุกครั้ง เปน
เครื่องยั่วยวนและเรงเราใหเกิดการดิ้นรนอยูตลอดเวลา แทจริง ความสุข
ที่พวกเราเที่ยวแสวงหากันนั้นเปนเพียงภาพลวงตาที่ไขวควาไมถึง แม
ไดลิ้มรสเสพสุขอยูบางเปนบางครั้ง สุดทายก็ตองประสบกับความพลัด
พรากอยางหลีกเลี่ยงไมได..ดวยความตาย พุทธศาสนาไมไดสอนให
แสวงหาความสุขที่เปนภาพลวงตานั้น แตสอนใหเรียนรูทุกขซึ่งเปน
ความจริงของชีวิต มีแตพุทธศาสนาเทานั้น ที่ตอบปญหาเรื่องทุกข, เหตุ
ของความทุกข และวิธีเจริญภาวนาเพื่อความสิ้นไปแหงทุกขไวโดยตรง
อานาปานสติ เปนวิธีเจริญภาวนาที่สําคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา
เพราะเปนกรรมฐานที่ปฏิบัติไดสะดวก ทุกที่ ทุกเวลา แมแตสมเด็จพระ
สัมมาสัมพุทธเจาก็ทรงตรัสรูสัมมาสัมโพธิญาณดวยวิธีการนี้ นอกจากนี้
ยังชวยใหจิตใจผอนคลายหายเครียด เกิดความสงบกายสบายใจ และ
เปนอารมณกรรมฐานเพียงอยางเดียวที่สามารถปฏิบัติตอเนื่องผสานกัน
ไดในขณะเดียวกันระหวางสมถะและวิปสสนา
โดยเหตุที่ขาพเจาเห็นวาหนังสือที่อธิบายลําดับขั้นตอนการปฏิบัติ
อานาปานสติภาวนาพรอมทั้งคําอธิบายในคัมภีรอรรถกถาและฎีกาที่
เขียนอธิบายอยางเปนขั้นเปนตอน และปรับใชภาษาที่เขาใจงายยังหา
ไดยาก จึงพิจารณาเห็นวาหนังสือที่พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย
รวบรวมเรียบเรียงขึ้นนี้ มีเนื้อหาอธิบายหลักปฏิบัติอานาปานสติและ
อางหลักฐานจากคัมภีรตางๆ มาเรียบเรียงไวอยางเปนลําดับขั้นตอน
เหมาะสําหรับผูสนใจศึกษาที่ตองการทราบหลักฐานที่มาของหลักปฏิบัติ
ทั้งนี้เพื่อใหพุทธศาสนิกชนไดเขาใจเรื่องอานาปานสติภาวนาอยางถอง
แทตรงตามพุทธาธิบาย และเปนหลักสูตรเรียนของนิสิตปริญญาโท
หลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิปสสนาภาวนา ณ
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธ
โฆส นครปฐม
ขาพเจาไดอานตรวจทานแกไขสํานวนเปนตอนๆ ตั้งแตตนจนจบ
เห็นวาผูรวบรวมไดดําเนินการรวบรวมและเรียบเรียงอยางเปนลําดับ
ขั้นตอน ทั้งมีหลักฐานอางอิงจากพระไตรปฎกอรรถกถา และฎีกา
ครบถวน จึงของอนุโมทนากุศลจิตของพระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมา
จารย ผูรวบรวมเรียบเรียงหนังสือเลมนี้
(สมเด็จพระพุทธชินวงศ)
อ่านเพิ่มเติม :
http://www.new.womeedtec.com/th-TH/Main/Post?p=aafb099d8a2a4955b00ae68ba891b422