บิ๊ก ‘กสท-ทีโอที’ พบ ‘ไอซีที’ ข้องใจมติแปรรูป


บิ๊ก ‘กสท-ทีโอที’ พบ ‘ไอซีที’ ข้องใจมติแปรรูป
วันศุกร์ ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

          29 ก.ค.59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุรพันธ์ เมฆนาวิน กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการ ใหญ่บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือแคท เปิดเผยว่า หลังจากที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที มีหนังสือถึงประธานสหภาพรัฐวิสาหกิจ กสทฯ และสรท. บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อหารือร่วมกัน เรื่องแผนการแก้ไขปัญหาของทั้ง 2 องค์กรและชี้แจงทำความเข้าใจกรอบแนวทางการดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหา เมื่อวันที่ 28 ก.ค.2559 ที่ผ่านมา โดยจะมีการเข้าพบบอร์ดกสทฯ ในวันนี้ เพื่อหารือเรื่องดังกล่าวร่วมกันต่อไป

          นอกจากนีเ กระทรวงไอซีทียังได้เชิญ ผู้บริหาร กสทฯ และ ทีโอทีเข้ารับทราบมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(คนร.) อย่างเป็นทางการ เรื่องการแปรรูป 2 รัฐวิสาหกิจ การปรับโครงสร้างของ ทีโอที และกสทฯ ด้วยการจัดตั้งบริษัทลูก 3 บริษัทเพื่อบริหารจัดการทรัพย์สินของทีโอที และกสทฯ ได้แก่ 1.บริษัทโครงข่ายบรอดแบนด์ภายในประเทศ(NBN CO) 2.บริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศ(NGN CO) 3.บริษัทศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต (IDC) โดยเบื้องต้น ทั้ง 3 บริษัท จะเป็นรัฐวิสาหกิจ  100%  ยกเว้นบริษัทไอดีซีที่อนาคตจะต้องเป็นเอกชนเพื่อให้มีความคล่องตัวในการแข่งขันโดยครน.กำหนดกรอบระยะเวลาในการทำงานให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ก.ค.2560

          อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าว บอร์ด กสทฯ ได้มอบหมาย ให้ กจญ เข้าพบ นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้ช่วย รมว.ไอซีที ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการแปรรูปรัฐวิสหากิจโดยกสทฯ มีประเด็นและข้อซักถามหลักที่เป็นข้อกังวลและเป็นผลกระทบโดยตรง คือพนักงาน สิทธิประโยชน์สภาพการจ้างงาน กรณีมีพนักงานที่มีสิทธิไปทำงานสิทธิประโยชน์จะเป็นอย่างไรส่วนพนักงานที่ไม่ไปจะได้สิทธิประโยชน์หรือไม่และองค์กรจะอยู่รอดได้จริงหรือไม่หากมีการแปรรูปหน่วยงาน 2 หน่วยงานนี้

          "ส่วนตัวคิดว่าการรวมกันทีโอทีและกสทฯมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือการที่มีนโยบายแบบนีออกมาทำให้องค์กรมีการตื่นตัวให้เกิดการผลักดันองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ข้อเสีย ในการปรับปรุงทีโอทีและกสทฯซึ่งถือเป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ 2 หน่วยงานเรื่องการสื่อสารนโยบาย ว่าจะไปในทิศทางไหนดำเนินการอย่างไรอยากให้มีความชัดเจนมากกว่านี้"

          นอกจากนี้วันที่  4 ส.ค.59 จะมีการประชุมบอร์ด กสทฯโดยมีวาระเรื่องแผนการชำระหนี้ค่าเช่าโครงข่ายโทรคมนาคม 3G บนคลื่นความถี่ย่าน 850 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) ของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) โดยภาระหนี้ดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากการใช้ความจุ (แบนด์วิธ) โครงข่ายระบบ 3G เพิ่มเติมภายใต้สัญญาการทำธุรกิจรูปแบบใหม่สัญญาบริการขายส่งบริการบนโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ HSPA กับ บริษัท เรียล มูฟ จำกัดและบริษัท บีเอฟเคที (ประเทศไทย) จำกัดซึ่งสัญญาดังกล่าวได้ทำไว้เมื่อวันที่ 27 ม.ค.54

          ทั้งนี้ ตามสัญญาดังกล่าวทรูมีสิทธิ์ใช้ความจุโครงข่าย 80% ส่วนที่เหลืออีก 20% กสทฯสามารถนำไปให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆเช่าใช้โครงข่ายได้เนื่องจากความจุโครงข่ายของกสทฯเหลือใช้จึงได้เจรจากับทรูฯ ให้มาเช่าใช้เพิ่มเติมโดยการเจรจายังไม่สิ้นสุดและยังไม่ได้ทำสัญญาแต่ทรูฯได้นำความจุโครงข่ายที่เหลือไปใช้งานเมื่อปี 2557-2558 โดยใช้ความจุโครงข่ายเพิ่มอีก  17% ทำให้กสทฯ ต้องเรียกเก็บเงินค่าเช่าเพิ่มเคิดเป็นเงินทั้งสิ้น 9,200 ล้านบาท โดยทรูฯได้ยินยอมที่จะชำระเงินโดยขอแบ่งชำระเป็นเงินสด4,200 ล้านบาท ผ่อนชำระเป็นงวด เป็นเวลา 8 ปีพร้อมอัตราดอกเบี้ย 7.5%  ส่วนที่เหลืออีกราว5,200 ล้านบาททรูขอชำระเป็นความจุโครงข่ายระบบ 4G คืนให้กสทฯ เพื่อให้กสทฯนำไปให้บริการลูกค้าเป็นเวลา 10 ปี

          อย่างไรก็ตามวาระดังกล่าวบอร์ดจะสรุปสัญญาให้จบภายในเดือนสิงหาคมนี้เนื่องจากการค้างชำระหนี้ของทรูเป็นปัญหาและกระทบต่อรายได้ของกสทฯซึ่งหากไม่สามารถเร่งสรุปได้ภายในเดือนสิงหานี้ที่จะต้องปิดงบบัญชีของบริษัท จะส่งผลทำผลประกอบการรายได้กสทฯ ปี 2558 ขาดทุน จากกสทฯในปีที่ผ่านมาเกิดการขาดทุนสะสมมาโดยตลอด

          ด้านนายพันธ์ศักดิ์ กล่าวยืนยันว่า ยังคงเดินหน้าตามมติ คนร. คือจัดตั้งบริษัทลูก 3 บริษัท เพื่อบริหารจัดการทรัพย์สินของทีโอที และ กสท ได้แก่ 1.บริษัทโครงข่ายบรอดแบนด์ภายในประเทศ (NBN CO) 2.บริษัทโครงข่ายระหว่างประเทศ (NGN CO) และ 3.บริษัทศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต (IDC CO) โดยเบื้องต้นทั้ง 3 บริษัทจะเป็นรัฐวิสาหกิจ 100 % ยกเว้นบริษัทไอดีซีที่อนาคตจะต้องเป็นเอกชนเพื่อให้มีความคล่องตัวในการแข่งขัน เพราะก่อนหน้านี้คนร.เห็นว่าการแก้ปัญหาด้วยการตั้งกลุ่มหน่วยธุรกิจของทั้ง 2 บริษัท เพื่อนำมาบริหารจัดการร่วมกันไม่มีความคืบหน้าเลย ตั้งแต่คนร.มีคำสั่งมากว่า 2 ปี แล้ว แต่สิ่งที่สหภาพฯเสนอคือต้องการให้ทำงานคล่องตัวขึ้น ซึ่งตนเองก็คิดว่าหากจะทำเช่นนั้นก็มี 2 แนวทางคือ นำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์และขายหุ้นให้เอกชน ซึ่งก็จะถูกกล่าวหาอีกว่าขายสมบัติชาติ หรือ จะให้แก้กฎหมายเฉพาะให้กับ 2 รัฐวิสาหกิจเพื่อให้ทำงานคล่องตัวขึ้น ก็ไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว เอกชนจะว่ายังไง หรือ รัฐวิสาหกิจอื่นจะรู้สึกยังไง

          ถามว่า แก้ปัญหาไม่ตรงจุด ต้องบอกว่าที่ผ่านมาปัญหาของทั้ง 2 องค์กรสะสมมาอย่างยาวนาน อย่างทีโอที ก็มีปัญหาการบริหารงาน ซึ่งจะให้กระทรวงไปแก้ ก็ไม่รู้ว่าปัญหาจุดไหนที่จะแก้ได้แท้จริง ดังนั้นจึงคิดว่าทางออกในการแยกทรัพย์สินออกมาตั้งองค์กรใหม่จะช่วยให้การทำงานคล่องตัวขึ้น ส่วนปัญหาที่ยังคงอยู่กับองค์กรเก่าจะได้แก้ไขง่ายขึ้น เรื่องจะได้ไม่ผูกกันไปมา จะได้มีธงในการทำงานชัดเจน เพราะที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าทั้ง ทีโอที และ กสท จะทำอะไรแต่ละอย่างก็ติดปัญหา กฎระเบียบ ต้องระวังเรื่องการตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน การลงทุนก็ต้องของบประมาณโปร่งใส เหล่านี้ หากยังปล่อยให้ทั้ง 2 องค์กรทำงานอย่างนี้ต่อไป ก็จะทำให้องค์กรตายไปเรื่อยๆ

          นายพันธ์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า ตอนนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าทีโอทีเป็นอย่างไร ตั้งแต่หมดสัญญาสัมปทาน ขณะที่กสท เอง ก็เหลือแต่คลื่น 850 MHz ที่ทำสัญญากับ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นรายได้มากกว่า 50 %ซึ่งก็จะหมดภายในปี 2568 ซึ่งพนักงานที่ใกล้เกษียณคงไม่รู้สึกอะไร เพราะรายได้ยังอยู่ได้ไปจนถึงเกษียณ แต่คนรุ่นใหม่จะทำยังไง เขาจะอยู่ได้อย่างไรเมื่อสัญญาตรงนี้หมด หากสหภาพฯไม่เห็นด้วยก็ควรนำเสนอแผนการทำธุรกิจที่ทำได้จริงและมีกำไรมาเสนอ ไม่ปิดกั้นอยู่แล้ว ไม่ใช่มาบอกให้แก้ปัญหาในองค์กรให้ เพราะที่ผ่านมากว่าจะมาสรุปที่ทางเลือกนี้ คนร.ได้เสนอหลายทางเลือกแล้ว ทั้งให้ตั้งกลุ่มธุรกิจเพื่อโอนทรัพย์สิน หรือ ให้มาทำงานร่วมกัน แต่ก็ไม่คืบหน้า และทางเลือกนี้ก็ได้มีการหารือร่วมกับฝ่ายบริหารของทีโอที และ กสท แล้ว อีกทั้งยังมีดีลอยท์มานั่งเป็นที่ปรึกษาด้วย ซึ่งดีลอยท์ก็บอกเองว่าเคสการตั้งบริษัทใหม่นี้ประเทศไทยไม่ใช่ทีแรกและที่เดียวในโลกที่ทำ

          อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการตั้งบริษัทใหม่ทั้ง 3 บริษัทแล้ว บริษัทเดิมคือ กสท และ ทีโอที ก็ต้องคิดใหม่ทำใหม่ เพื่อให้องค์กรอยู่รอด เพราะคงเหลือแค่ธุรกิจโมบายล์ให้ทำ ซึ่งหากหมดสัญญาสัมปทาน จะมีศักยภาพในการประมูลคลื่นแข่งกับเอกชนหรือไม่ ดังนั้นก็ต้องหาทางรอดด้วยการคิดนวัตกรรมใหม่ๆ และดูทรัพย์สินที่เหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน อาคาร ต่างๆ มาทำให้เกิดรายได้


แหล่งข่าว
Website หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/business/227918
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่