▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
ปัญหาสังคม
ร้องทุกข์
อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงสาธารณสุข
ปัญหาโรงงานอุตสาหกรรม : ละเว้น และ ละทิ้ง : กรณี ต.นาเมืองเพชร อ.สิเกา จ.ตรัง
ผมกับทีมงานได้ไปยัง ต.นาเมืองเพชร อ.สิเกา จ.ตรัง ตามที่ได้รับข้อมูลว่า มีปัญหา บ่อน้ำเสียของโรงงานน้ำยางแปรรูปแห่งหนึ่งแตกและไหลทะลักลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ จนส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคนในพื้นที่ นาทีแรกที่เราย่างเท้าเข้ามา เราพบว่า พื้นที่นี้อบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นอ่อนๆ แม้จะไม่มากจนทำให้ไม่สามารถจะอดทนได้ แต่ก็คาดการณ์ได้ว่า กลิ่นนี้ไม่ธรรมดา!!!
จากนั้นชาวบ้านในหมู่บ้านได้รวมตัวกันกว่า 50 คน บริเวณหน้าโรงงานซึ่งตั้งอยู่ที่ หมู่ 1 ต.นาเมืองเพชร อ.สิเกา จ.ตรัง พร้อมกับตัวแทนหน่วยงานราชการในพื้นที่หลายหน่วยงาน ร่วมกันเรียกร้องปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านกรณีบ่อกักเก็บน้ำเสีย โดยได้เชิญตัวแทนจากโรงงานอุตสาหกรรมมาหารือร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหา การหารือนั้นเป็นไปอย่างเข้มข้น มีข้อเรียกร้องจากชาวบ้านหลายอย่าง เช่น การขอให้ปิดโรงงานและไม่ให้ขนย้ายสินค้าจนกว่าจะแก้ปัญหาได้ แต่ก็มีการต่อรองจนตกลงกันได้ แต่ที่น่าตกใจคือ คำตอบของอุตสาหกรรมจังหวัดว่า "ได้อนุมัติตามแผนผังโรงงานที่ถูกส่งไป" ในขณะที่ผู้ที่ลงมาตรวจก็ยังอนุมัติให้ผ่าน ทั้งๆที่เห็นอยู่อย่างชัดเจนว่า ไม่ได้มาตรฐาน เรื่องนี้ส่งผลต่อความเคลือบแคลงใจอย่างสูงของชาวบ้านต่อการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานราชการ ผลการพูดคุยกัน ปรากฏว่า ได้มีการตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ตัวแทนของโรงงานฯ นักการเมืองท้องถิ่น และตัวแทนชาวบ้าน เพื่อร่วมกันหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยได้ข้อสรุปว่า ให้ผันน้ำสะอาดจากแหล่งอื่นลงมาสู่คลองเพื่อผลักดันน้ำเสียออกจากคลองให้เร็วที่สุด ชาวบ้านส่วนใหญ่พึงพอใจเพราะหน่วยงานราชการมีความรวดเร็วในการแก้ไขปัญหา แต่เดี๋ยวนะ...เรื่องไม่ได้จบแค่นั้น เพราะการผลักดันน้ำเสียออกสู่แหล่งน้ำอื่นๆ กลับยิ่งกลายเป็นการสร้างปัญหา
เมื่อเวลาผ่านไป 1 วัน เข้าสู่วันที่ 21 ธันวาคม 2558 สิ่งที่ทำให้ชาวบ้านหลายคนเพิ่มความคลางแคลงใจต่อการแก้ไขปัญหานี้ของภาครัฐคือ ได้มีการยกเลิกกรรมการชุดดังกล่าว แล้วตั้งใหม่โดยไม่มีตัวแทนชาวบ้าน (ไม่นับนักการเมืองท้องถิ่น) เลยแม้แต่คนเดียว จากนั้นผ่านไปร่วมสัปดาห์ ตัวแทนจากอุตสาหกรรมจังหวัดจึงเข้ามาเก็บตัวอย่างน้ำไปทดลอง และประกาศต่อสาธารณชนว่า น้ำสะอาดไม่มีสารปนเปื้อน อ้าว!!! จะให้ไม่สะอาดได้ไง ก็น้ำสะอาดถูกผันเข้ามาแทนน้ำเสียแล้วนี่...แล้วเรื่องนี้ก็ค่อยๆ เงียบหายไป พร้อมกับการแก้ปัญหาแบบขอไปที โดยการย้ายพื้นที่บำบัดน้ำเสียไปอีกที่หนึ่ง แต่ก็ใช้ระบบการบำบัดแบบบ่อคันดินที่ไม่ได้มาตรฐานเช่นเดิม
ในขณะเดียวกันเรื่องนี้ก็ร้อนไปถึงสื่อมวลชนในท้องถิ่น โดยมีสื่อมวลชนเข้ามาสำรวจและนำเสนอเรื่องราวอย่างละเอียด จนเรื่องถูกตีแผ่ผ่านสื่อทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น รายการโทรทัศน์ รายการวิทยุท้องถิ่น และสื่อสังคมออนไลน์ ชาวบ้านมีความหวังเรืองรองขึ้นมาอีกครั้ง แต่อนิจจา...ความหวังของชาวบ้านก็ต้องดับวูบลง เมื่อสื่อท้องถิ่นที่เสมือนความหวังเดียว ณ ขณะนั้น เล่นข่าวนี้อยู่ไม่เกิน 2 วัน แล้วก็หายเงียบไป แม้จะมีความพยายามในการติดต่อไปก็จะบ่ายเบี่ยงว่า “ติดภารกิจอื่น” อยู่เสมอ จนชาวบ้านเอือมระอา ซ้ำร้ายหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งยังมาลงความเห็นของนักการเมืองท้องถิ่นว่า ปัญหาน้ำเน่าเสียและการเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบนั้นได้ดำเนินการไปแล้ว รวมทั้งโรงงานก็ได้แก้ปัญหาเรียบร้อยตามมาตรฐานอุตสาหกรรม ส่วนชาวบ้านที่ยังออกมาเรียกร้องนี้เป็นผู้ที่มาทีหลัง หลังจากที่กรรมการฯได้พิจารณาแนวทางแก้ไขและดำเนินการไปแล้ว การกล่าวเช่นนี้ผมเรียกว่า “โกหกชัดๆ” เพราะวันที่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ลงข่าว (2 เมษายน 2559 : ผ่านมาเกือบ 4 เดือน) น้ำในคลองก็ยังเน่าเหม็นไม่ต่างจากเดิมเลย
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ นายสาโรจน์ ขำณรงค์ และนายสุบินมาลย์ ชูบุญส่ง ชาวบ้านในพื้นที่จึงได้เดินทางไปร้องทุกข์กับหน่วยงานราชการในกรุงเทพมหานครเพราะเห็นว่า คงเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยเหลือชาวบ้านได้อย่างแท้จริง ทั้ง 2 คนได้เข้าร้องเรียนต่อ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงสาธารณสุข หรือแม้แต่นายกรัฐมนตรีผ่านทางสำนักนายกรัฐมนตรี แล้วจึงเดินทางต่อไปยื่นกับประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แต่แล้ว...จนกระทั่งบัดนี้ ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับใดๆจากหน่วยงานเหล่านี้เลย มีเพียงกองบังคับการปราบปราม ภาค 6 เท่านั้นที่ให้ความช่วยเหลือในการคุ้มครองความปลอดภัย...แล้วเช่นนี้ชาวบ้านจะหวังพึ่งพาใครได้!!!
ในขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง นายสมปอง ช่วยธานี ชาวบ้านในพื้นที่ ได้รวบรวมชาวบ้านเข้าร้องทุกข์ผ่านทางศูนย์ดำรงธรรม ประจำ อ.สิเกา หลังชาวบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่หลายรายได้รับผลกระทบจากมลพิษ จนกลายเป็นโรคหอบหืด ไอเรื้อรัง และปอดอักเสบ และในจำนวนนี้มีอาการหนัก 7 คน โดยมีผลตรวจจากโรงพยาบาลในพื้นที่เป็นเครื่องยืนยัน ต่อมาศูนย์ดังกล่าวได้นัดหมายให้ตัวแทนจากโรงงานฯ และชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบมาเจรจากัน ชาวบ้านได้เรียกร้องค่าเสียหาย (เฉพาะรายที่มีผลการตรวจ) รายละ 100,000 บาท แต่ทางโรงงานต่อรองขอจ่ายเงินค่าชดเชยให้เพียงแค่รายละ 5,000 บาท ซ้ำร้ายยังได้รับการยืนยันว่า ตัวแทนจากโรงงานฯ ได้ต่อรองการจ่ายจริง (ลับหลังเจ้าหน้าที่) เพียงแค่รายละ 3,000 บาท เท่านั้น โดยกลุ่มผู้ป่วยได้ตัดสินใจรับเงินค่าตอบแทนค่ารักษาพยาบาล จำนวน 4 ราย ส่วนอีก 3 รายไม่ยอมรับเงินค่าตอบแทนเพราะเห็นว่าไม่มีความเป็นธรรม หลังจากนั้น ตัวแทนโรงงานฯได้เรียกตัวแทนผู้ป่วย 4 ราย ที่ตัดสินใจรับเงินไปเจรจาและให้เงินตามจำนวนจนครบ 5,000 บาท และให้ผู้รับเงินซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาทำเอกสารข้อตกลงที่จะไม่เอาความผิดใดๆ กันอีก พร้อมทั้งให้นำหลักฐานที่มีทั้งหมดมาส่งมอบ นางพรพิมล ช่วยธานี ภรรยานายสมปอง ช่วยธานี ระบุว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ ปัญหาดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลกระทบกับการดำเนินชีวิตของประชาชนในพื้นที่ แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดให้ความช่วยเหลือและแก้ปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยครอบครัวมีบุตรสาวอายุ 4 ปี ที่ป่วยด้วยโรคหอบหืดจากสาเหตุดังกล่าว หลายครั้งที่ตนและสามีต้องนำลูกส่งโรงพยาบาลกลางดึกเพราะอาการกำเริบ โดยจะมีอาการทันทีเมื่อได้กลิ่นเหม็นจากโรงงานฯ นอกจากนี้เด็กๆ หลายคนเริ่มมีอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ ต้องกินยาและพ่นยาไปตลอดชีวิต ขณะที่บางคนต้องย้ายออกจากพื้นที่เพราะทนกลิ่นเหม็นและภาวะน้ำเน่าเสียไม่ไหว ส่วนอีกหลายครัวเรือนที่ยังต้องทนอยู่ก็เพราะไม่มีทางไป และยิ่งด้วยสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ คงไม่เอื้อต่อการเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน ซ้ำร้ายยังมีแนวโน้มที่จะเกิดโรงงานใหม่อีกมากมาย ทั้งที่บริเวณดังกล่าวยังไม่ได้ประกาศให้เป็นเขตอุตสาหกรรม
นายสาโรจน์ ขำณรงค์ ตัวแทนชาวบ้านเล่าต่ออีกว่า ได้มีการข่มขู่เหล่าแกนนำ เรื่องการร้องเรียนบริษัท โดยส่งคนมาเจรจาในเชิงข่มขู่ รวมทั้งถูกติดตามความเคลื่อนไหวอยู่บ่อยครั้ง โดยระบุว่า “หากไม่หยุดร้องเรียนจะโดนดี” เรื่องนี้ส่งผลให้ นางพรพิมล ช่วยธานี แกนนำผู้เรียกร้องตกอยู่ในภาวะเครียดจัด จนต้องตัดสินใจฆ่าตัวตาย แม้จะสามารถช่วยชีวิตไว้ได้ทันในนาทีสุดท้ายก็ตาม แม้จะได้รับความช่วยเหลือเกี่ยวกับการคุ้มครองความปลอดภัยจากตำรวจ แต่ชีวิตพวกเขาปลอดภัยจริงๆ แล้วหรือ? นั่นคือคำถามที่ยังไม่มีคำตอบแน่ชัด เพราะแกนนำชาวบ้านทุกคนล้วนประกอบอาชีพ คนกรีดยาง ซึ่งมีเวลาปฏิบัติงานในช่วง 23.00 – 05.00 น. อันเป็นภาวะปกติ แต่หากพวกเขารักตัวกลัวตาย ครอบครัวก็จะขาดรายได้ในการเลี้ยงชีพ พวกเขาหวังเพียงแค่ให้โรงงานฯได้จัดระบบควบคุมมลพิษและจัดบ่อกักเก็บน้ำเสียให้ถูกต้องตามมาตรฐาน เพราะในพื้นที่ใหม่ที่ผมและทีมงานได้เข้าไปสำรวจนั้นพบว่า ระบบการจัดการน้ำเสียยังไม่มีมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด เพราะยังคงใช้บ่อแบบคันดินอย่างเดิมเพียงแต่ย้ายพื้นที่สร้างบ่อ จึงคาดการณ์ได้ว่า โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้ซ้ำอีกมีอยู่ค่อนข้างสูง ทั้งนี้จากผลสำรวจความคิดเห็น กรณีความเสียหายดังกล่าว โดยโครงการบัณฑิตอาสา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ส่วนใหญ่ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐเข้ามาหาวิธีแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน รวมทั้งต้องการให้โรงงานอุตสาหกรรมแก้ไขบ่อบำบัดน้ำเสียและสารพิษให้ได้มาตรฐาน ชาวบ้านส่วนใหญ่ยินดีจะเป็นส่วนหนึ่งกับการร่วมมือในการแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง
นาทีที่ผมก้าวออกจากพื้นที่ดังกล่าว สิ่งที่ยังวนเวียนอยู่ในกระแสความคิดคือ ชาวบ้านที่นี่จะมีชีวิตอยู่อย่างไร เมื่อต้องรับเอาสารพิษนี้เข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา ภาพของเด็กเล็กที่กำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานไร้เดียงสา โดยมิรู้เลยว่า ตัวเองจะมีชีวิตสั้นลงกว่าคนธรรมดาทั่วไปเพราะการสะสมของพิษร้ายจากโรงงานอุตสาหกรรม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมเจ็บปวดเท่ากับการเพิกเฉยของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ เพียงเพราะเขาเหล่านี้ไม่ได้มีเงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์ใด ที่จะจูงใจให้ต้องช่วยเหลือ แล้วไหนจะแนวทางการยกเลิกผังเมืองของรัฐบาลอีก วันนี้เราคิดดีแล้วจริงหรือกับการเอาโรงงานอุตสาหกรรมมาตั้งไว้ใกล้บ้าน แล้วโฆษณาชวนเชื่อกันว่าหน่วยงานของรัฐสามารถควบคุมไม่ให้เกิดการรั่วไหลของมลพิษได้ ก็มิใช่เพราะหน่วยความสะเพร่าและเจตนาบิดเบือนของหน่วยงานภาครัฐหรอกหรือที่ทำให้ชาวนาเมืองเพชรต้องเผชิญเคราะห์กรรมอย่างที่เห็น...ชีวิตคนเหล่านี้เป็นอุทาหรณ์ชั้นดี