สําหรับคนที่จะไปเรียนต่ออเมริการะดับชั้นปริญญาตรีและโท-เอก ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูกาลพิเศษเพราะคือช่วงฤดูสอบนั่นเอง! วันนี้ได้แวะไปคิโนะคุนิยะกับรุ่นน้องเด็กกว่าจะเกือบจะสิบปีละไปหาหนังสือเตรียมสอบ SAT และ TOFEL เตรียมสอบไปยื่นเดือนธันวาคมปีนี้ ซึ่งจะต้องสอบช้าที่สุดเดือนพฤษจิกายน จะบอกว่าอาจจะต้องบินไปสอบเชียงใหม่หรือประเทศเพื่อนบ้านนะค่ะเพราะเด็กสอบเยอะมาก!
ประจวบเหมาะที่ช่วงนี้หัวกระไดไม่แห้งกับคำถามว่า "มีทุนอะไรแนะนําไหม" "ทําอย่างไรจึงจะได้มันมาไม่อยากลำบากที่บ้าน" ในฐานะที่เป็นนักเรียนทุนเต็มมาตลอดเก้าปีที่ผ่านมา (UWC-Shelby Davis-ทุนพัฒนานัก bioinformatics สวทช/บางมด) ก็เลยอยากจะเล่าสักทีครั้งเดียว
1. การเตรียมตัวดีมีชัยไปกว่าคริ่ง : UWC เรารู้จักทุนตั้งแต่อายุสิบสี่ ด้วยความที่วุฒิการศึกษาถึงแต่อายุยังเด็กไปและอยากไปมากเลยโหลดใบสมัครมาอ่านดูระเบียบทุกหน้าและอ่านคุณสมบัติให้เรียบร้อย ตลอดเวลาสองปีเราเตรียมตัวเรื่องเกรดเฉลี่ย, กิจกรรมนอกโรงเรียน ทําเยอะมากและภาษาอังกฤษทั้งๆที่อยู่อีพี กิจกรรมทุกอย่างจดละเอียดยิบ ถ่ายรูปมีหลักฐาน search google เขียน resume ทำ portfolio ยังไง เขียนครั้งแรกตอนอายุ 14 จนถึงตอนสมัครยื่นเรามีดี เกรดเราพร้อมก็เอาละส่งได้ แฮปปี้ไป สำหรับคนที่ต้องการสมัครไปเรียนสหรัฐอเมริกาไม่ว่าไอวี่ เช่น Harvard, Yale, Columbia หรือมหาวิทยาลัยใดๆก็ตามที่มีเงินหนาพอสมควร ควรจะเริ่มเมื่อไหร่ ช้าที่สุดเลยม.ห้า! หลายคนบอกอ้าวแบบนี้ทํายังไงละ!? ทําอะไรบ้าง!?
1.1. ทํากิจกรรมของโรงเรียนและพยายามเข้าร่วมกิจกรรมการแข่งขัน ไปร่วมงานกิจกรรม มีงานอดิเรก เข้าค่าย ทําจิตอาสา เป็นประจําสมําเสมอ เข้าใจว่าหลายๆคนโอกาสไม่เท่ากัน อาจจะไม่มีงบประมาณเท่ากันในเรื่องแบบนี้ แต่กีฬาสี สภานักเรียน ชมรม ช่วยจัดงานต่างๆ ของโรงเรียนคือพึ้นฐาน หลายๆโครงการทั้งในและต่างประเทศ เช่น มูลนิธิหัวแหลม สอวน, JSTP, Yale Global Scholars และอีกมากมาย ไม่มีค่าใช้จ่าย ขอแต่เพียงคุณใช้กูเกิ้ลหาเอา เพราะโอกาสไม่ได้หล่นมาจากฟ้าต้องหาเอง จริงๆมีเยอะมากเหล่าทั้งวันไม่จบเเน่ๆ
1.2. ภาษาสําคัญมาก! อยากไปเรียนบ้านเค้าก็ต้องพูดอ่านเขียนฟังได้รู้เรื่องพอที่จะรอด! Prep school อย่าง Phillips Andover ที่ให้ทุนมากที่สุดที่หนึ่งเค้ากําหนดเลยว่า TOFEL ibt ต้องได้ 100 คะแนน! เท่ากับมหาวิทยาลัยไอวี่เลยตอนแรกก็อึ้งแต่ อยากได้ทุนก็ต้องเหนื่อยหน่อย ภาษาไม่ได้มาได้ข้ามคืน ก็ต้องพยายามใช้เยอะๆพอไว้ว่างๆจะมาแนะนําละกันเรื่องนั้นแต่
ใครโค้งสุดท้ายจริงๆเพิ่งคิดได้สมัครตอนนี้สําหรับปีนี้ไป
ซิ้อ Official Guide to TOEFL ของ ETS มาอ่าน เเละ TOEFL vocab ของ Barron's, Crack the New SAT ของ Princeton Review ให้เร็วที่สุดทำทุกวัน เช็ควันสอบบน College Board, ETS ว่าสอบในเมืองไทยเมื่อไหร่เเต่จะบอกว่าเเทบเต็มเเล้ว อาจจะได้ไปเชียงใหม่นะค่ะ เเละใช้ Khan Academy College Board ด้วยทุกวัน หนังสือซื้อออนไลน์ได้ที่ Kinokuniya
ใครอ่อนให้เรียนเพิ่มเติมจากการอ่านเอง ไม่แนะนําให้เรียนกับคนเยอะๆ หาติวกับคนจริงๆ เรียนคนเดียวเพื่อให้เค้าจี้ข้อบกพร่องแต่คะแนนดีก็คุ้ม อีกอย่างถูกกว่าด้วย
**โซนปลอดภัยของคนที่อยากได้ทุนต้องอย่างน้อย New SAT คือ 1400-1500 เต็ม 1600 แล้วแต่โรงเรียนที่อยากไป เลขนักเรียนไทยได้เปรียบถ้าอ่านโจทย์รู้เรื่อง!
หลายๆมหาวิทยาลัยเป็น SAT เป็น SAT optional ใครคะแนนไม่สูงเเละคิดว่าที่เหลือดีหมดไม่ต้องส่งได้เเต่ต้องเจ๋งจริงๆถ้าจะเอาทุนเเละหลายๆที่ต้องสอบ SAT Subject Test (Check ด้วย)
TOEFL: ควรจะได้อย่างน้อย 100 คะแนนนั่นคือ 25 คะแนนเฉลี่ยในทุกพาร์ท
ทิปการเตรียมสอบคือใช้เวลาสามเดือนทําวันละสามชั่วโมงทุกวัน พกคําศัพท์หา ตัวช่วยได้ในร้านมูจิทุกสาขา อันที่เรียกว่าพวงศัพท์นักเรียนสอบทุกคนจะมี พี่ยังมีเลยตอนเตรียมสอบมหาวิทยาลัย
พกไปท่องไป ให้เพื่อนเทสทุกวันมันจะได้เอง เเต่ต้องใช้เป็นด้วยนะน้อง
Grammar ให้ใช้ Grammar In Use เล่มสีดําเเละเเดงทํา
จนพรุ่นคะเเนนมาเเน่นอนสําหรับพาร์ทเขียนเล่มละสองร้อยบาท มีขายที่ Se-ed Books มันมีสองเล่มเเต่เล่มฝรั่งดีกว่า (Helps with writing)
สําหรับใครที่ไม่มีวินัยมากเเนะนําให้หาครูสอนเดี่ยว เรียนคนเดียว เพราะมันจะสามารถเเก้จุดได้เเละทําตารางโปรเเกรมเลยเเละท่องไว้ ทําไมอยากไปอเมริกา ไม่สําคัญว่าจะเป็นผู้ชายหล่อหรือว่าอยากเรียนฟรี ถ้าคนเราอยากได้อะไรมากๆมันจะทําตามโปรเเกรมเอง
1.3 คิดถีงเรื่องประสบการณ์น่าสนใจของตัวเองไว้และวิเคราะห์มันจะมีประโยชน์กับ personal statement เพราะว่าการมีเรื่องเรื่องน่าสนใจนั้นสําคัญมากและเวลาเขียนจงอย่ารอวินาทีสุดท้าย
1.4 ดูโรงเรียนไว้สักสิบห้าที่ศึกษาจนเว็บพรุน ดูว่ามี financial aid เป็นยังไงบ้าง อย่าเกี่ยงเรื่องชื่อมาก หลายๆโรงเรียนดีๆชื่อไม่ได้ดังพลุแตกในประเทศไทยส่ง นักเรียนไปทํางานดีๆเยอะมาก รายชื่อจากที่เพื่อนจบมาและมี financial aid บวกกับทุนที่ให้หลายๆที่อาจจะไม่ใช่ทุนเต็ม
นี่คือตัวอย่างของมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้ดังมากในเมืองไทยเพราะคงส่วนมากจะรู้จักเเต่มหาวิทยาลัยใหญ่ๆ
วิศวะเเละวิทยาศาสตร์ WPI, RPI, Virginia Tech, Harvey Mudd, University of Florida, University of Oklaholma, Tufts University, Boston University, John Hopskins, UMass Amherst, UNC Chapel Hill, Carnagie Mellon, Franklin W.Olin college of Engineering (Acapella ทีมใช้ได้ ไปดู ICCA สดมา)
การเมืองการปกครองและสายศิลป์เเทบทั้งหมด Georgetown, Smith, Amherst college, Mount Holyoke, UMass Amherst, George Washington University, Wellesley College (มหาวิทยาลัยที่ Hilary Clinton จบมา)
Design/Architecture: Ringling College, Rhode Island School of Design*(Cross-over with Brown University Courses ได้)
Cooper Union
Psychology and Geography: Clark University (มหาวิทยาลัยของเราเอง),
Music: Boston Conservatory, Oberlin College (มีสายวิทย์ด้วย)
*หลายๆที่มีหลายคณะอยู่เเล้วก็สามารถไปตามอ่านได้ตามใจ*
นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยอื่นๆอีกที่อยู่ในโครงการของ Shelby Davis นักเรียนที่ไม่ได้ทุนไปเรียนต่อที่ UWC สามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงได้เพราะมหาวิทยาลัยเหล่านี้เป็นที่มีชื่อเสียง ดีเเละได้รับการยอมรับในประเทศสหรัฐอเมริกา
http://www.davisuwcscholars.org/partners มีตั้ง 91 สถาบันเเค่นี้ก็เหลือเฟือที่จะเลือกเเล้วตอนไปก็ดูจากลิสท์นี้
นอกจากนี้อย่าลืมว่าชื่อมหาวิทยาลัยอาจจะไม่ได้ดังในประเทศไทยเเต่เค้าก็มีดีเช่นกันลองไปดูเว็บเค้าว่ามีงานวิจัย, Facility, Study abroad programs, clubs อะไรเเบบไหนบ้าง โปรดอย่ายึดติดแต่ชื่อมากเกินเเต่ก็ต้องเช็คดูรีวิวด้วยว่าเป็นอย่าไร มหาวิทยาลัยที่พูดถึงในตัวอย่างนี่มั่นใจได้ว่าไม่มีผิดหวังเพราะแต่ละคนได้ดิบได้ดีไปหมดเเล้ว ไม่งั้นเราไม่ได้ไปฝึกงาน Smithsonian หรอก
*เลือกมหาวิทยาลัยเเล้วเตรียมพอร์ทเเล้วอย่างช้าที่สุดเดือนตุลาคม*
2. อาจารย์ที่ปรึกษาเเละครูฝรั่งในโรงเรียนคือเพื่อนที่ดีที่สุดสําหรับคุณ เวลาขอ Recommendation อันนี้สําคัญมากเพราะเค้าไม่รู้จักคุณ คนที่เค้าคิดว่าจะรู้จักคุณดีที่สุดคืออาจารย์นั่นเอง ยอมรับตอนอยู่มัธยมไม่ชอบอาจารย์ที่ปรึกษาเลยสนิทกับครูฝรั่งเลยโชคดีมี Recommendation ดีเกินคาด จะบอกว่า Letter of Recommendation สําคัญมาก อ่านวนไปสําคัญมากๆ เพราะเกรดไม่ได้หรูที่สุดไม่เป็นไรเเต่ถ้าอาจารย์สามารถซื้อใจกรรมการถึงเรื่องความประพฤติ ความเป็นผู้นําได้ ก็ช่วยได้เยอะมาก เพราะเกรดไม่ใช่ทุกอย่าง
ฉะนั้นจงติดต่ออาจารย์ตั้งเเต่เนินๆ ใครสมัครปีนี้วันจันทร์นี้โปรดคุยเพราะมันต้องใช้เวลาเขียนพอควรเลยทีเดียว
เวลาไปขออาจารย์ใช้ได้ทุกระดับชั้น:
1. เอาพอร์ทเเละเรซูเม่ไปด้วย
2. รายละเอียดโรงเรียนทั้งหมดว่าไปไหนบ้างมีดีอะไรคุยกันให้เรียบร้อย
3. ใช้วันไหน บางที่อีเมลล์ไปหาอาจารย์ได้เเต่เจอหน้าเลยดีที่สุด
4. ห้ามเร่งอาจารย์เด็ดขาดให้เค้าสองอาทิตย์ยังไม่ได้ค่อยไปรอหน้าห้องทุกวัน
5. อาจารย์ปฎิเสธได้เพราะถ้าเค้าคิดว่าเขียนให้ได้ไม่ดีจะปฎิเสธซึ่งถือว่าดีเพราะเราอยากได้ดีที่สุดไม่ใช่ Generalized Recommendation
จําได้ขึ้นใจเพราะทุกครั้งที่จะไปขอจาก Deborah Robertson นี่โดนซักเยอะมาก (อาจารย์คู่บุญที่ส่งเราไปสมิธโซเนียนสี่ปีติดเเละทําให้เราติดมหาวิทยาลัยที่อังกฤษหกที่รวดปีนี้)
เอ้าพี่ถ้าหนูไม่ถูกกับอาจารย์ที่ปรึกษาละค่ะหรือไม่คิดว่าเค้าจะเขียนได้!?
1. ถ้าทํากิจกรรมนอกโรงเรียนนานพอสมคร เค้าสามารถเขียนให้ได้
2. ใครทํางานเเละฝึกงานเเล้วโปรดให้เค้าเขียนไปด้วยใช้ได้เหมือนกัน
3. พยายามหาอาจารย์ให้ได้ไม่ว่ายังไง เค้าออกไปเเล้วเเต่เรารู้จักหลายปี ไปตามหามาให้ได้
ของเราปีนี้เราใช้ Recommendation สี่ฉบับ
1. อาจารย์ที่ปรึกษาบางมด
2. เจ้าหน้าที่ Smithsonian Institution (ฝึกงานกับเค้ามาหลายปี)
3. อาจารย์ที่ปรึกษาที่อเมริกา
4. เจ้าหน้าที่ของบริษัทใหญ่มากในประเทศเยอรมันที่สนิทกันเเละรู้จักเราดีมาก
ตอนเรียนที่นอร์เวย์ใช้สองฉบับ
1. อาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษ
2. อาจารย์ที่ปรึกษาประจําบ้าน
Recommendation ที่ดีต้องจะต้องเป็น Official Letter head, hand signed, ปิดผนึก เพราะเราไม่ควรมีสิทธิได้อ่านจริงๆเเล้ว หลายๆที่ส่งเเบบออนไลน์เลยซึ่งอันนั้นจะสะดวกมากกว่าเเต่ต้องมีการตามอาจารย์ ภาษาอังฤษต้องดีพอควรสื่อให้เข้าใจในทางที่ดีก็น่าจะพอเเล้ว
* Smith/Mount Holyoke ตอนนั้นจําไม่ผิดต้องมีการให้มี Peer Recommendation ให้เพื่อนสนิทเขียนให้ด้วยซึ่งแปลกกว่าที่อื่น ฉะนั้นมันเข้าสุภาษิตที่ว่า คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณทิตพาลพาไปหาผลจริงๆ*
3. ตัดสินใจยื่น Early Decision ได้เร็วยิ่งดี เพราะเงินมันอยู่ตรงนั้น!
Early Decision คืออะไรคือการเลือกมหาวิทยาลัยใด มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง ถ้าติดที่นี่ก็ต้องสละที่อื่นทั้งหมด เสี่ยงพอสมควรเเต่ Financial Aid มากกว่าเเละการได้ทุนมากกว่า เพราะหนึ่งเรามีคู่เเข่งน้อยกว่าพอควร เราเเสดงให้เห็นว่าอยากไปจริงๆ คนส่วนมากจะเลือกโรงเรียนที่เป็น Reach School ไปก่อนเลย ตอนนั้นเลือก Clark เป็น Early Decision เเละติดจ้าพร้อมทุนเต็ม สบายกว่าคนอื่นคนอื่นลุ้นถึง April เราสบายตั้งเเต่ January เตรียมสอบไอบีให้ผ่านอย่างเดียวเเล้ว
4. เรื่องๆเงินๆทองๆไม่เข้าใครออกใคร เเต่ไม่ต้องกังวลถ้าเก่งพอ หลายๆมหาวิทยาลัย หลายๆคนกังวลเรื่องเงินมาก! ไปอเมริกาจะไหวไหม หนึ่งสิ่งที่อเมริกามีเเละเมืองไทยเเละอังกฤษไม่มีคือ Need-blind เเละ Need-based financial aid package
Need-blind คืออะไร คือการที่มหาวิทยาลัยตัดสินใจว่าจะให้เข้าเรียนถ้าผ่านเกณฑ์ไม่สนใจเรื่องเงินที่มีนั่นเองเเละให้เงินมากที่สุดตามที่ต้องใช้ สําหรับนักเรียนต่างชาติมีทั้งหมด โรงเรียนเหล่านี้คือหนึ่งในที่ที่เข้ามากที่สุดในสหรัฐอเมริกาเเม้จะมีไม่อยู่ในไอวี่ก็ตาม Brown, Harvard, MIT, Amherst College, Yale, Princeton, Hamilton College, Minerva College at KGI* คือถ้าเกรดถึงคะเเนนได้เเละอื่นเเต่จนจริงๆก็ได้เรียน
นอกจากนี้มีมหาวิทยาลัยเดียวในอเมริกาที่ทุกคนเรียนฟรีคือ Berea College อันนี้สําหรับทุกคนถ้าเข้าได้ เหมาะสําหรับใครที่ไม่มายว่าอยู่ Kentucky ฟรีทุกอย่างอันนี้เชื่อถือได้ เเต่เข้ายากมากเพราะฟรีทุกอย่างเเละดีมากด้วย
ที่เหลือมักจะเป็น need-base financial aid เเต่มีทุนให้นักเรียนเยอะมากหลายที่สําหรับ list ทุนขอเขียนหลังส่ง abstract ส่ง conference เสร็จเเต่รับรองว่าเด็ดทุกที่
สําหรับการเงินนั้นทุกคนที่จะเรียนต่อจะต้องส่ง Free Application for Federal Student Aid (FAFSA) เเม้จะไม่ได้เงินจากทางรัฐบาลสหรัฐเเต่หลายๆโรงเรียนบังคับให้ส่งเพื่อเค้าจะใช้เป็นฐานในการคํานวนเงินที่ให้นั่นเอง ต้องยื่นตามความจริงทุกประการ ใช้อะไรบ้าง ใบเงินเดือนพ่อเเม่ สมุดบัญชีเงินฝากไปเเบงค์ขอสเตทเม้นท์ภาษาอังกฤษ ใบทะเบียนการค้า ใบสลิปหนึ้ค่าบ้านธนาคาร เอกสารอื่นๆ เช่นใบภาษีอากรด้วย เเละนอกจากนี้เราสามารถให้รายละเอียดเพิ่มเติมด้วย
เรื่องเล่านักเรียนทุนภาคพิเศษ เรื่องการเข้าศึกษาต่อ ระดับปริญญาตรี ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทุนแบบไม่มีข้อผูกมัด
ประจวบเหมาะที่ช่วงนี้หัวกระไดไม่แห้งกับคำถามว่า "มีทุนอะไรแนะนําไหม" "ทําอย่างไรจึงจะได้มันมาไม่อยากลำบากที่บ้าน" ในฐานะที่เป็นนักเรียนทุนเต็มมาตลอดเก้าปีที่ผ่านมา (UWC-Shelby Davis-ทุนพัฒนานัก bioinformatics สวทช/บางมด) ก็เลยอยากจะเล่าสักทีครั้งเดียว
1. การเตรียมตัวดีมีชัยไปกว่าคริ่ง : UWC เรารู้จักทุนตั้งแต่อายุสิบสี่ ด้วยความที่วุฒิการศึกษาถึงแต่อายุยังเด็กไปและอยากไปมากเลยโหลดใบสมัครมาอ่านดูระเบียบทุกหน้าและอ่านคุณสมบัติให้เรียบร้อย ตลอดเวลาสองปีเราเตรียมตัวเรื่องเกรดเฉลี่ย, กิจกรรมนอกโรงเรียน ทําเยอะมากและภาษาอังกฤษทั้งๆที่อยู่อีพี กิจกรรมทุกอย่างจดละเอียดยิบ ถ่ายรูปมีหลักฐาน search google เขียน resume ทำ portfolio ยังไง เขียนครั้งแรกตอนอายุ 14 จนถึงตอนสมัครยื่นเรามีดี เกรดเราพร้อมก็เอาละส่งได้ แฮปปี้ไป สำหรับคนที่ต้องการสมัครไปเรียนสหรัฐอเมริกาไม่ว่าไอวี่ เช่น Harvard, Yale, Columbia หรือมหาวิทยาลัยใดๆก็ตามที่มีเงินหนาพอสมควร ควรจะเริ่มเมื่อไหร่ ช้าที่สุดเลยม.ห้า! หลายคนบอกอ้าวแบบนี้ทํายังไงละ!? ทําอะไรบ้าง!?
1.1. ทํากิจกรรมของโรงเรียนและพยายามเข้าร่วมกิจกรรมการแข่งขัน ไปร่วมงานกิจกรรม มีงานอดิเรก เข้าค่าย ทําจิตอาสา เป็นประจําสมําเสมอ เข้าใจว่าหลายๆคนโอกาสไม่เท่ากัน อาจจะไม่มีงบประมาณเท่ากันในเรื่องแบบนี้ แต่กีฬาสี สภานักเรียน ชมรม ช่วยจัดงานต่างๆ ของโรงเรียนคือพึ้นฐาน หลายๆโครงการทั้งในและต่างประเทศ เช่น มูลนิธิหัวแหลม สอวน, JSTP, Yale Global Scholars และอีกมากมาย ไม่มีค่าใช้จ่าย ขอแต่เพียงคุณใช้กูเกิ้ลหาเอา เพราะโอกาสไม่ได้หล่นมาจากฟ้าต้องหาเอง จริงๆมีเยอะมากเหล่าทั้งวันไม่จบเเน่ๆ
1.2. ภาษาสําคัญมาก! อยากไปเรียนบ้านเค้าก็ต้องพูดอ่านเขียนฟังได้รู้เรื่องพอที่จะรอด! Prep school อย่าง Phillips Andover ที่ให้ทุนมากที่สุดที่หนึ่งเค้ากําหนดเลยว่า TOFEL ibt ต้องได้ 100 คะแนน! เท่ากับมหาวิทยาลัยไอวี่เลยตอนแรกก็อึ้งแต่ อยากได้ทุนก็ต้องเหนื่อยหน่อย ภาษาไม่ได้มาได้ข้ามคืน ก็ต้องพยายามใช้เยอะๆพอไว้ว่างๆจะมาแนะนําละกันเรื่องนั้นแต่
ใครโค้งสุดท้ายจริงๆเพิ่งคิดได้สมัครตอนนี้สําหรับปีนี้ไป
ซิ้อ Official Guide to TOEFL ของ ETS มาอ่าน เเละ TOEFL vocab ของ Barron's, Crack the New SAT ของ Princeton Review ให้เร็วที่สุดทำทุกวัน เช็ควันสอบบน College Board, ETS ว่าสอบในเมืองไทยเมื่อไหร่เเต่จะบอกว่าเเทบเต็มเเล้ว อาจจะได้ไปเชียงใหม่นะค่ะ เเละใช้ Khan Academy College Board ด้วยทุกวัน หนังสือซื้อออนไลน์ได้ที่ Kinokuniya
ใครอ่อนให้เรียนเพิ่มเติมจากการอ่านเอง ไม่แนะนําให้เรียนกับคนเยอะๆ หาติวกับคนจริงๆ เรียนคนเดียวเพื่อให้เค้าจี้ข้อบกพร่องแต่คะแนนดีก็คุ้ม อีกอย่างถูกกว่าด้วย
**โซนปลอดภัยของคนที่อยากได้ทุนต้องอย่างน้อย New SAT คือ 1400-1500 เต็ม 1600 แล้วแต่โรงเรียนที่อยากไป เลขนักเรียนไทยได้เปรียบถ้าอ่านโจทย์รู้เรื่อง!
หลายๆมหาวิทยาลัยเป็น SAT เป็น SAT optional ใครคะแนนไม่สูงเเละคิดว่าที่เหลือดีหมดไม่ต้องส่งได้เเต่ต้องเจ๋งจริงๆถ้าจะเอาทุนเเละหลายๆที่ต้องสอบ SAT Subject Test (Check ด้วย)
TOEFL: ควรจะได้อย่างน้อย 100 คะแนนนั่นคือ 25 คะแนนเฉลี่ยในทุกพาร์ท
ทิปการเตรียมสอบคือใช้เวลาสามเดือนทําวันละสามชั่วโมงทุกวัน พกคําศัพท์หา ตัวช่วยได้ในร้านมูจิทุกสาขา อันที่เรียกว่าพวงศัพท์นักเรียนสอบทุกคนจะมี พี่ยังมีเลยตอนเตรียมสอบมหาวิทยาลัย
พกไปท่องไป ให้เพื่อนเทสทุกวันมันจะได้เอง เเต่ต้องใช้เป็นด้วยนะน้อง
Grammar ให้ใช้ Grammar In Use เล่มสีดําเเละเเดงทํา
จนพรุ่นคะเเนนมาเเน่นอนสําหรับพาร์ทเขียนเล่มละสองร้อยบาท มีขายที่ Se-ed Books มันมีสองเล่มเเต่เล่มฝรั่งดีกว่า (Helps with writing)
สําหรับใครที่ไม่มีวินัยมากเเนะนําให้หาครูสอนเดี่ยว เรียนคนเดียว เพราะมันจะสามารถเเก้จุดได้เเละทําตารางโปรเเกรมเลยเเละท่องไว้ ทําไมอยากไปอเมริกา ไม่สําคัญว่าจะเป็นผู้ชายหล่อหรือว่าอยากเรียนฟรี ถ้าคนเราอยากได้อะไรมากๆมันจะทําตามโปรเเกรมเอง
1.3 คิดถีงเรื่องประสบการณ์น่าสนใจของตัวเองไว้และวิเคราะห์มันจะมีประโยชน์กับ personal statement เพราะว่าการมีเรื่องเรื่องน่าสนใจนั้นสําคัญมากและเวลาเขียนจงอย่ารอวินาทีสุดท้าย
1.4 ดูโรงเรียนไว้สักสิบห้าที่ศึกษาจนเว็บพรุน ดูว่ามี financial aid เป็นยังไงบ้าง อย่าเกี่ยงเรื่องชื่อมาก หลายๆโรงเรียนดีๆชื่อไม่ได้ดังพลุแตกในประเทศไทยส่ง นักเรียนไปทํางานดีๆเยอะมาก รายชื่อจากที่เพื่อนจบมาและมี financial aid บวกกับทุนที่ให้หลายๆที่อาจจะไม่ใช่ทุนเต็ม
นี่คือตัวอย่างของมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้ดังมากในเมืองไทยเพราะคงส่วนมากจะรู้จักเเต่มหาวิทยาลัยใหญ่ๆ
วิศวะเเละวิทยาศาสตร์ WPI, RPI, Virginia Tech, Harvey Mudd, University of Florida, University of Oklaholma, Tufts University, Boston University, John Hopskins, UMass Amherst, UNC Chapel Hill, Carnagie Mellon, Franklin W.Olin college of Engineering (Acapella ทีมใช้ได้ ไปดู ICCA สดมา)
การเมืองการปกครองและสายศิลป์เเทบทั้งหมด Georgetown, Smith, Amherst college, Mount Holyoke, UMass Amherst, George Washington University, Wellesley College (มหาวิทยาลัยที่ Hilary Clinton จบมา)
Design/Architecture: Ringling College, Rhode Island School of Design*(Cross-over with Brown University Courses ได้)
Cooper Union
Psychology and Geography: Clark University (มหาวิทยาลัยของเราเอง),
Music: Boston Conservatory, Oberlin College (มีสายวิทย์ด้วย)
*หลายๆที่มีหลายคณะอยู่เเล้วก็สามารถไปตามอ่านได้ตามใจ*
นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยอื่นๆอีกที่อยู่ในโครงการของ Shelby Davis นักเรียนที่ไม่ได้ทุนไปเรียนต่อที่ UWC สามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงได้เพราะมหาวิทยาลัยเหล่านี้เป็นที่มีชื่อเสียง ดีเเละได้รับการยอมรับในประเทศสหรัฐอเมริกา http://www.davisuwcscholars.org/partners มีตั้ง 91 สถาบันเเค่นี้ก็เหลือเฟือที่จะเลือกเเล้วตอนไปก็ดูจากลิสท์นี้
นอกจากนี้อย่าลืมว่าชื่อมหาวิทยาลัยอาจจะไม่ได้ดังในประเทศไทยเเต่เค้าก็มีดีเช่นกันลองไปดูเว็บเค้าว่ามีงานวิจัย, Facility, Study abroad programs, clubs อะไรเเบบไหนบ้าง โปรดอย่ายึดติดแต่ชื่อมากเกินเเต่ก็ต้องเช็คดูรีวิวด้วยว่าเป็นอย่าไร มหาวิทยาลัยที่พูดถึงในตัวอย่างนี่มั่นใจได้ว่าไม่มีผิดหวังเพราะแต่ละคนได้ดิบได้ดีไปหมดเเล้ว ไม่งั้นเราไม่ได้ไปฝึกงาน Smithsonian หรอก
*เลือกมหาวิทยาลัยเเล้วเตรียมพอร์ทเเล้วอย่างช้าที่สุดเดือนตุลาคม*
2. อาจารย์ที่ปรึกษาเเละครูฝรั่งในโรงเรียนคือเพื่อนที่ดีที่สุดสําหรับคุณ เวลาขอ Recommendation อันนี้สําคัญมากเพราะเค้าไม่รู้จักคุณ คนที่เค้าคิดว่าจะรู้จักคุณดีที่สุดคืออาจารย์นั่นเอง ยอมรับตอนอยู่มัธยมไม่ชอบอาจารย์ที่ปรึกษาเลยสนิทกับครูฝรั่งเลยโชคดีมี Recommendation ดีเกินคาด จะบอกว่า Letter of Recommendation สําคัญมาก อ่านวนไปสําคัญมากๆ เพราะเกรดไม่ได้หรูที่สุดไม่เป็นไรเเต่ถ้าอาจารย์สามารถซื้อใจกรรมการถึงเรื่องความประพฤติ ความเป็นผู้นําได้ ก็ช่วยได้เยอะมาก เพราะเกรดไม่ใช่ทุกอย่าง
ฉะนั้นจงติดต่ออาจารย์ตั้งเเต่เนินๆ ใครสมัครปีนี้วันจันทร์นี้โปรดคุยเพราะมันต้องใช้เวลาเขียนพอควรเลยทีเดียว
เวลาไปขออาจารย์ใช้ได้ทุกระดับชั้น:
1. เอาพอร์ทเเละเรซูเม่ไปด้วย
2. รายละเอียดโรงเรียนทั้งหมดว่าไปไหนบ้างมีดีอะไรคุยกันให้เรียบร้อย
3. ใช้วันไหน บางที่อีเมลล์ไปหาอาจารย์ได้เเต่เจอหน้าเลยดีที่สุด
4. ห้ามเร่งอาจารย์เด็ดขาดให้เค้าสองอาทิตย์ยังไม่ได้ค่อยไปรอหน้าห้องทุกวัน
5. อาจารย์ปฎิเสธได้เพราะถ้าเค้าคิดว่าเขียนให้ได้ไม่ดีจะปฎิเสธซึ่งถือว่าดีเพราะเราอยากได้ดีที่สุดไม่ใช่ Generalized Recommendation
จําได้ขึ้นใจเพราะทุกครั้งที่จะไปขอจาก Deborah Robertson นี่โดนซักเยอะมาก (อาจารย์คู่บุญที่ส่งเราไปสมิธโซเนียนสี่ปีติดเเละทําให้เราติดมหาวิทยาลัยที่อังกฤษหกที่รวดปีนี้)
เอ้าพี่ถ้าหนูไม่ถูกกับอาจารย์ที่ปรึกษาละค่ะหรือไม่คิดว่าเค้าจะเขียนได้!?
1. ถ้าทํากิจกรรมนอกโรงเรียนนานพอสมคร เค้าสามารถเขียนให้ได้
2. ใครทํางานเเละฝึกงานเเล้วโปรดให้เค้าเขียนไปด้วยใช้ได้เหมือนกัน
3. พยายามหาอาจารย์ให้ได้ไม่ว่ายังไง เค้าออกไปเเล้วเเต่เรารู้จักหลายปี ไปตามหามาให้ได้
ของเราปีนี้เราใช้ Recommendation สี่ฉบับ
1. อาจารย์ที่ปรึกษาบางมด
2. เจ้าหน้าที่ Smithsonian Institution (ฝึกงานกับเค้ามาหลายปี)
3. อาจารย์ที่ปรึกษาที่อเมริกา
4. เจ้าหน้าที่ของบริษัทใหญ่มากในประเทศเยอรมันที่สนิทกันเเละรู้จักเราดีมาก
ตอนเรียนที่นอร์เวย์ใช้สองฉบับ
1. อาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษ
2. อาจารย์ที่ปรึกษาประจําบ้าน
Recommendation ที่ดีต้องจะต้องเป็น Official Letter head, hand signed, ปิดผนึก เพราะเราไม่ควรมีสิทธิได้อ่านจริงๆเเล้ว หลายๆที่ส่งเเบบออนไลน์เลยซึ่งอันนั้นจะสะดวกมากกว่าเเต่ต้องมีการตามอาจารย์ ภาษาอังฤษต้องดีพอควรสื่อให้เข้าใจในทางที่ดีก็น่าจะพอเเล้ว
* Smith/Mount Holyoke ตอนนั้นจําไม่ผิดต้องมีการให้มี Peer Recommendation ให้เพื่อนสนิทเขียนให้ด้วยซึ่งแปลกกว่าที่อื่น ฉะนั้นมันเข้าสุภาษิตที่ว่า คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณทิตพาลพาไปหาผลจริงๆ*
3. ตัดสินใจยื่น Early Decision ได้เร็วยิ่งดี เพราะเงินมันอยู่ตรงนั้น!
Early Decision คืออะไรคือการเลือกมหาวิทยาลัยใด มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง ถ้าติดที่นี่ก็ต้องสละที่อื่นทั้งหมด เสี่ยงพอสมควรเเต่ Financial Aid มากกว่าเเละการได้ทุนมากกว่า เพราะหนึ่งเรามีคู่เเข่งน้อยกว่าพอควร เราเเสดงให้เห็นว่าอยากไปจริงๆ คนส่วนมากจะเลือกโรงเรียนที่เป็น Reach School ไปก่อนเลย ตอนนั้นเลือก Clark เป็น Early Decision เเละติดจ้าพร้อมทุนเต็ม สบายกว่าคนอื่นคนอื่นลุ้นถึง April เราสบายตั้งเเต่ January เตรียมสอบไอบีให้ผ่านอย่างเดียวเเล้ว
4. เรื่องๆเงินๆทองๆไม่เข้าใครออกใคร เเต่ไม่ต้องกังวลถ้าเก่งพอ หลายๆมหาวิทยาลัย หลายๆคนกังวลเรื่องเงินมาก! ไปอเมริกาจะไหวไหม หนึ่งสิ่งที่อเมริกามีเเละเมืองไทยเเละอังกฤษไม่มีคือ Need-blind เเละ Need-based financial aid package
Need-blind คืออะไร คือการที่มหาวิทยาลัยตัดสินใจว่าจะให้เข้าเรียนถ้าผ่านเกณฑ์ไม่สนใจเรื่องเงินที่มีนั่นเองเเละให้เงินมากที่สุดตามที่ต้องใช้ สําหรับนักเรียนต่างชาติมีทั้งหมด โรงเรียนเหล่านี้คือหนึ่งในที่ที่เข้ามากที่สุดในสหรัฐอเมริกาเเม้จะมีไม่อยู่ในไอวี่ก็ตาม Brown, Harvard, MIT, Amherst College, Yale, Princeton, Hamilton College, Minerva College at KGI* คือถ้าเกรดถึงคะเเนนได้เเละอื่นเเต่จนจริงๆก็ได้เรียน
นอกจากนี้มีมหาวิทยาลัยเดียวในอเมริกาที่ทุกคนเรียนฟรีคือ Berea College อันนี้สําหรับทุกคนถ้าเข้าได้ เหมาะสําหรับใครที่ไม่มายว่าอยู่ Kentucky ฟรีทุกอย่างอันนี้เชื่อถือได้ เเต่เข้ายากมากเพราะฟรีทุกอย่างเเละดีมากด้วย
ที่เหลือมักจะเป็น need-base financial aid เเต่มีทุนให้นักเรียนเยอะมากหลายที่สําหรับ list ทุนขอเขียนหลังส่ง abstract ส่ง conference เสร็จเเต่รับรองว่าเด็ดทุกที่
สําหรับการเงินนั้นทุกคนที่จะเรียนต่อจะต้องส่ง Free Application for Federal Student Aid (FAFSA) เเม้จะไม่ได้เงินจากทางรัฐบาลสหรัฐเเต่หลายๆโรงเรียนบังคับให้ส่งเพื่อเค้าจะใช้เป็นฐานในการคํานวนเงินที่ให้นั่นเอง ต้องยื่นตามความจริงทุกประการ ใช้อะไรบ้าง ใบเงินเดือนพ่อเเม่ สมุดบัญชีเงินฝากไปเเบงค์ขอสเตทเม้นท์ภาษาอังกฤษ ใบทะเบียนการค้า ใบสลิปหนึ้ค่าบ้านธนาคาร เอกสารอื่นๆ เช่นใบภาษีอากรด้วย เเละนอกจากนี้เราสามารถให้รายละเอียดเพิ่มเติมด้วย