หลังจากที่ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของประกันไปแล้วในกระทู้ที่แล้ว
http://pantip.com/topic/35402074
ลองมาดูกันกว่าประกันที่ช่วยกระจายความเสี่ยงจากตัวเราหลักๆ มีอะไรบ้าง
จริงๆแล้วประกันเนี่ยคือ
.... สุดยอดผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ตัวนึงเลยล่ะ
โดยหลักแล้วประกัน จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ประกันชีวิต
2. ประกันสุขภาพ / ประกันอุบัติเหตุ
โดยคอนเซ็ปแล้วความแตกต่างก็คือ
"ซื้อเพื่อตัวเอง" กับ "ซื้อเพื่อคนที่เรารัก"
เพราะว่าคนแต่ละคนมีความต้องการไม่เหมือนกัน
ประกันก็ต้องไม่เหมือนกันนั่นเอง
มาดูกันที่ตัวแรก "ประกันชีวิต" คือสิ่งที่ "ซื้อเพื่อคนที่เรารัก"
เพราะว่าจะได้ใช้ก็ต่อเมื่อ "เราไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว" เท่านั้น
ซึ่งแก่นแท้ของประกันชีวิต คือ...
เพื่อดูแลคนที่เรารักในยามที่เราไม่อยู่
แต่... หลายๆคนซื้อมาเพื่อลดหย่อนภาษีเนี่ย จริงๆแล้วเป็นเรื่องรองเลย
ยิ่งถ้าเราเป็นเสาหลักของครอบครัว แล้ววันนี้ขาดเราไป
ลองคิดกันดู ว่าครอบครัวเราจะลำบากแค่ไหนกันเชียว !
ซึ่งคนที่เรารักก็จะได้ “ทุนประกันชีวิต” ของเรา
เมื่อเราขอจากลาโลกนี้ไป มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน
ถ้าเราไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว คนที่เรารักจะต้องมีความเป็นอยู่ที่ไม่ต่างไปจากเดิม
แต่สำหรับคนที่รู้สึกว่าไม่จำเป็น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่เชื่อได้เลยว่าพอถึงเวลา เมื่อถึงเวลาจะเริ่มมองหา "ประกันชีวิต" เอง
มาดูอย่างที่สองกันต่อ "ประกันสุขภาพ/อุบัติเหตุ"
อันนี้ถือว่า ประเด็นหลักๆจะเป็นการ "ซื้อเพื่อตัวเอง"
เพราะเผื่อว่าเราเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น
ประกันตัวนี้จะเป็นเบาะรองรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นอย่างงามๆได้เลย
จริงๆมันก็ซื้อ "เพื่อคนที่เรารัก" ด้วยนะ
ถ้าเราไม่สบาย แล้วค่ารักษาพยาบาลไม่พอ
เราจะได้ไม่ต้องไป "หยิบยืม" ครอบครัวของเรา
แต่... บางคนชอบคิดว่า ซื้อมาไม่ได้ใช้ แบบนี้ก็เสียเปล่า !!
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้ใช้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ คงไม่มีใครอยากป่วยหรือเจ็บตัวหรอก
แบบประมาณว่า ซื้อประกันรถยนต์มา ต้องชนให้คุ้มก็คงไม่น่าใช่
ซื้อประกันสุขภาพ/อุบัติเหตุมา ต้องป่วยหรือเดินให้รถชนเล่นสักหน่อยเดี๋ยวไม่คุ้ม....
มันก็ฟังดูแปลกๆ จริงมั้ย ?
ยังไง"ประกัน" ก็ยังเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินอันเดียวที่ช่วย "กระจายความเสี่ยง" ได้
ทำให้ปัจจุบัน ประกันก็ยังคงเป็นสุดยอดผลิตภัณฑ์ทางการเงิน !
ติดตามเรื่องเล่าเข้าใจง่ายๆของ Money Buffalo ได้ที่
www.facebook.com/moneybuffalo
สรุปแล้ว ประกันชีวิต มีกี่แบบ อะไรบ้าง ? แล้วหลักๆเพื่อเอาไว้ลดหย่อนภาษีจริงหรอ ?
หลังจากที่ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของประกันไปแล้วในกระทู้ที่แล้ว
http://pantip.com/topic/35402074
ลองมาดูกันกว่าประกันที่ช่วยกระจายความเสี่ยงจากตัวเราหลักๆ มีอะไรบ้าง
จริงๆแล้วประกันเนี่ยคือ
.... สุดยอดผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ตัวนึงเลยล่ะ
โดยหลักแล้วประกัน จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ประกันชีวิต
2. ประกันสุขภาพ / ประกันอุบัติเหตุ
โดยคอนเซ็ปแล้วความแตกต่างก็คือ
"ซื้อเพื่อตัวเอง" กับ "ซื้อเพื่อคนที่เรารัก"
เพราะว่าคนแต่ละคนมีความต้องการไม่เหมือนกัน
ประกันก็ต้องไม่เหมือนกันนั่นเอง
มาดูกันที่ตัวแรก "ประกันชีวิต" คือสิ่งที่ "ซื้อเพื่อคนที่เรารัก"
เพราะว่าจะได้ใช้ก็ต่อเมื่อ "เราไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว" เท่านั้น
ซึ่งแก่นแท้ของประกันชีวิต คือ...
เพื่อดูแลคนที่เรารักในยามที่เราไม่อยู่
แต่... หลายๆคนซื้อมาเพื่อลดหย่อนภาษีเนี่ย จริงๆแล้วเป็นเรื่องรองเลย
ยิ่งถ้าเราเป็นเสาหลักของครอบครัว แล้ววันนี้ขาดเราไป
ลองคิดกันดู ว่าครอบครัวเราจะลำบากแค่ไหนกันเชียว !
ซึ่งคนที่เรารักก็จะได้ “ทุนประกันชีวิต” ของเรา
เมื่อเราขอจากลาโลกนี้ไป มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน
ถ้าเราไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว คนที่เรารักจะต้องมีความเป็นอยู่ที่ไม่ต่างไปจากเดิม
แต่สำหรับคนที่รู้สึกว่าไม่จำเป็น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่เชื่อได้เลยว่าพอถึงเวลา เมื่อถึงเวลาจะเริ่มมองหา "ประกันชีวิต" เอง
มาดูอย่างที่สองกันต่อ "ประกันสุขภาพ/อุบัติเหตุ"
อันนี้ถือว่า ประเด็นหลักๆจะเป็นการ "ซื้อเพื่อตัวเอง"
เพราะเผื่อว่าเราเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น
ประกันตัวนี้จะเป็นเบาะรองรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นอย่างงามๆได้เลย
จริงๆมันก็ซื้อ "เพื่อคนที่เรารัก" ด้วยนะ
ถ้าเราไม่สบาย แล้วค่ารักษาพยาบาลไม่พอ
เราจะได้ไม่ต้องไป "หยิบยืม" ครอบครัวของเรา
แต่... บางคนชอบคิดว่า ซื้อมาไม่ได้ใช้ แบบนี้ก็เสียเปล่า !!
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้ใช้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ คงไม่มีใครอยากป่วยหรือเจ็บตัวหรอก
แบบประมาณว่า ซื้อประกันรถยนต์มา ต้องชนให้คุ้มก็คงไม่น่าใช่
ซื้อประกันสุขภาพ/อุบัติเหตุมา ต้องป่วยหรือเดินให้รถชนเล่นสักหน่อยเดี๋ยวไม่คุ้ม....
มันก็ฟังดูแปลกๆ จริงมั้ย ?
ยังไง"ประกัน" ก็ยังเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินอันเดียวที่ช่วย "กระจายความเสี่ยง" ได้
ทำให้ปัจจุบัน ประกันก็ยังคงเป็นสุดยอดผลิตภัณฑ์ทางการเงิน !
ติดตามเรื่องเล่าเข้าใจง่ายๆของ Money Buffalo ได้ที่
www.facebook.com/moneybuffalo