.....ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า เดอะมาร์ค เวลานี้นั้น
มีสองสถานะ
คือหัวหน้าพรรคการเมือง กับ ผู้ต้องหาคดี99ศพ
อนาคตชีวิตเดอะมาร์ค
จึงอยู่ที่ จะต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง (เท่านั้น)
ระหว่าง
การทําหน้าที่หัวหน้าพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
กับ
การเลือกอยู่ข้างอํานาจเผด็จการเพื่อเคลียร์คดีตัวเอง
และหากเดอะมาร์ค จะเลือกอนาคตตัวเอง โดยไปยืนอยู่เคียงข้างอํานาจเผด็จการ
มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
อย่างน้อยผลงาน จากการหลุดคดีในชั้น ปปช. อย่างเหลือเชื่อ
ก็เป็นที่ประจักษ์
แม้ยังเหลือคดีในชั้นศาลอาญา ที่จะต้องตามเคลียร์กันต่อไป
จะว่าไป....วันนี้
เดอะมาร์ค จึงก็มีจุดยืนไม่ต่างกันกับ คุณสุเทพ
ที่เป็นผู้ต้องหา คดี99ศพ
ก็ในเมื่อ......
คนมันหัวอกเดียวกัน
เพียงแต่เดอะมาร์ค ยังคงมีสถานะเป็นหัวหน้าพรรค
ฉนั้น การแสดงความคิดความเห็น
จึงต้องสงวนท่าที และ อิงอยู่กับกระแสการเมืองตามสมควร
ดั่งการแถลงข่าว ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา
แม้พยายามจะแสดงท่าทีในแนวทางประชาธิปไตย แต่ใจมันไม่ใช่
ส่วนคุณสุเทพนั้นเล่า กับตําเหน่งเลขาพรรคประชาธิปัตย์
คงมาถึงจุดอิ่มตัว และ คงเปลืองตัวพอแล้ว
มีหรือคุณสุเทพจะมองไม่ออก ว่าพรรคประชาธิปัตย์
ยังไงก็คงไม่มีวันชนะการเลือกตั้ง จนเป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้
การเป็นรัฐบาล จึงต้องอาศัยคนกล้าได้กล้าเสีย
( แต่ไม่ค่อย ตรงไปตรงมา)
อย่างคุณสุเทพนี่แหละ ที่คอยเดินเกมส์การเมือง
และที่ผ่านมาคุณสุเทพ ก็บอบชํ้าอย่างหนัก
กับการรับบทผู้เสียสละ เพื่อผลักดันให้พรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาล
จากการที่ต้องมีคดีติดตัว ตามมามากมาย
(คุณสุเทพ เวลานี้ จึงไม่ต่างอะไรกับ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ต้องหลบเลียแผลใจ )
แม้ในบางเวลาเดอะมาร์ค กับ คุณสุเทพ ดูเหมือนขัดกัน
แต่ด้วยความต่างของสถานะ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
หากเป็นไปได้เดอะมาร์ค กับ คุณสุเทพ
คงนั่งภาวนา อยากให้อํานาจเผด็จการอยู่ไปตราบนานเท่านาน
จนกว่าคดี 99 ศพ หมดอายุความ หรือไม่ก็เคลึยร์คดีตัวเองจนเสร็จสิ้น
เมื่อนั้นแหละ
เดอะมาร์ค กับ สุเทพ ถึงจะบอกว่า........หวางอก (โล่งอก)
ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องที่ต้องการแก้ปัญหาของตัวเองทั้งสิ้น
ไม่ใช่เรื่องชาติบ้านเมือง หรือเรื่องหลักการ
อย่างที่ทั้งสองคน พยายามกล่าวอ้าง
เหตุก็ล้วนเกิดจาก การได้อํานาจมาด้วยความไม่ชอบธรรมโดยแท้
----------------


....ขอดเกล็ดมาร์ค (..... ถลกหนังเทือก )
มีสองสถานะ
คือหัวหน้าพรรคการเมือง กับ ผู้ต้องหาคดี99ศพ
อนาคตชีวิตเดอะมาร์ค
จึงอยู่ที่ จะต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง (เท่านั้น)
ระหว่าง
การทําหน้าที่หัวหน้าพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
กับ
การเลือกอยู่ข้างอํานาจเผด็จการเพื่อเคลียร์คดีตัวเอง
และหากเดอะมาร์ค จะเลือกอนาคตตัวเอง โดยไปยืนอยู่เคียงข้างอํานาจเผด็จการ
มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
อย่างน้อยผลงาน จากการหลุดคดีในชั้น ปปช. อย่างเหลือเชื่อ
ก็เป็นที่ประจักษ์
แม้ยังเหลือคดีในชั้นศาลอาญา ที่จะต้องตามเคลียร์กันต่อไป
จะว่าไป....วันนี้
เดอะมาร์ค จึงก็มีจุดยืนไม่ต่างกันกับ คุณสุเทพ
ที่เป็นผู้ต้องหา คดี99ศพ
ก็ในเมื่อ......คนมันหัวอกเดียวกัน
เพียงแต่เดอะมาร์ค ยังคงมีสถานะเป็นหัวหน้าพรรค
ฉนั้น การแสดงความคิดความเห็น
จึงต้องสงวนท่าที และ อิงอยู่กับกระแสการเมืองตามสมควร
ดั่งการแถลงข่าว ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา
แม้พยายามจะแสดงท่าทีในแนวทางประชาธิปไตย แต่ใจมันไม่ใช่
ส่วนคุณสุเทพนั้นเล่า กับตําเหน่งเลขาพรรคประชาธิปัตย์
คงมาถึงจุดอิ่มตัว และ คงเปลืองตัวพอแล้ว
มีหรือคุณสุเทพจะมองไม่ออก ว่าพรรคประชาธิปัตย์
ยังไงก็คงไม่มีวันชนะการเลือกตั้ง จนเป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้
การเป็นรัฐบาล จึงต้องอาศัยคนกล้าได้กล้าเสีย ( แต่ไม่ค่อย ตรงไปตรงมา)
อย่างคุณสุเทพนี่แหละ ที่คอยเดินเกมส์การเมือง
และที่ผ่านมาคุณสุเทพ ก็บอบชํ้าอย่างหนัก
กับการรับบทผู้เสียสละ เพื่อผลักดันให้พรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาล
จากการที่ต้องมีคดีติดตัว ตามมามากมาย
(คุณสุเทพ เวลานี้ จึงไม่ต่างอะไรกับ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ต้องหลบเลียแผลใจ )
แม้ในบางเวลาเดอะมาร์ค กับ คุณสุเทพ ดูเหมือนขัดกัน
แต่ด้วยความต่างของสถานะ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
หากเป็นไปได้เดอะมาร์ค กับ คุณสุเทพ
คงนั่งภาวนา อยากให้อํานาจเผด็จการอยู่ไปตราบนานเท่านาน
จนกว่าคดี 99 ศพ หมดอายุความ หรือไม่ก็เคลึยร์คดีตัวเองจนเสร็จสิ้น
เมื่อนั้นแหละ
เดอะมาร์ค กับ สุเทพ ถึงจะบอกว่า........หวางอก (โล่งอก)
ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องที่ต้องการแก้ปัญหาของตัวเองทั้งสิ้น
ไม่ใช่เรื่องชาติบ้านเมือง หรือเรื่องหลักการ
อย่างที่ทั้งสองคน พยายามกล่าวอ้าง
เหตุก็ล้วนเกิดจาก การได้อํานาจมาด้วยความไม่ชอบธรรมโดยแท้
----------------