คืบหน้า เปิดใจเหยื่อโซเชียล(ชายรองเท้ามีรู) วอนทุกคนหยุดสร้างเหยื่อใหม่ ย้ำจุดประสงค์ที่แท้จริงของ #BETTERSOCIAL

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


คุณจิรวุฒิ ลิมปนาทไพศาล เหยื่อโซเชียล เปิดใจกับรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ช่อง3 หลังจากมีการเผยแพร่คลิปในแคมเปญ เช็คก่อนแชร์ หรือ #BETTERSOCIAL ว่ามีจุดประสงค์ที่ต้องการให้ทุกคนได้ตระหนักก่อนที่จะโพสต์ แชร์ หรือ คอมเมนต์ เพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาได้ อยากให้มีการตรวจสอบข้อมูลก่อนว่าอันไหนคือเรื่องจริง อันไหนคือเรื่องแต่ง อยากให้คิดวิเคราะห์ก่อนที่จะโพสต์ แชร์ หรือ คอมเมนต์ ซึ่งในแง่ของจุดประสงค์การทำแคมเปญ ถือว่าประสบความสำเร็จ เพียงแต่มีบางส่วนที่อาจจะถูกเบี่ยงเบนไป ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ นั่นก็คือมีการไปขุดข้อมูลเดิมเพื่อหาแพะ ซึ่งจริงๆไม่ได้อยากให้เป็นเช่นนั้น



อยากขอร้องทุกคนว่าไม่ต้องไปประณามหรือรุมว่าคนที่เป็นต้นเรื่องโพสต์เรื่องราวรองเท้ามีรูเมื่อปี 2557 ถ้าจะให้กำลังใจ ขอให้ให้กำลังใจผมและเค้า เพราะเค้าก็อยู่ในสังคมเหมือนผม เรามีความทัดเทียมกัน ผมไม่ได้อยากทำให้ตัวเองเป็นพระเอก ผมขอเป็นคนธรรมดาที่ไม่ต้องมีใครรู้จักผมเลยก็ได้ ไม่ต้องรู้จักอะไรกับผม ให้เค้าได้มีสิทธิ์ ให้มีที่ยืนในสังคมดีกว่า ให้อภัยเค้า ไม่ต้องไปขุดหรือไปดึงเค้ามาเพื่อประณาม รุมต่อว่า เพราะถ้าเราต้องไปยืนในจุดนั้น เวลาเราโดนทุกคนชี้หน้า โดนทุกคนรุมประณาม เราจะรู้สึกอะไรบ้าง ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่อยากให้ทุกคนไปรุมประณามว่าเค้า เพราะจะเป็นการสร้างเหยื่อใหม่ที่ไม่รู้จบ เมื่อกรณีของผมจบไป ก็จะเกิดกรณีใหม่ขึ้น มีการไปรุมประณามว่ากันไปว่ากันมา กลายเป็นแพะที่ไม่มีวันสิ้นสุด สุดท้ายแล้วข่าวก็วนอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้คิดวิเคราะห์ก่อนแชร์ แชร์ไปแล้วก็เกิดการรุมประณาม

ขอขอบคุณทีมงานโอกิลวี่วัน เพราะที่ผ่านมาผมไม่อยากออกไปใช้ชีวิต ไม่อยากไปนู่นไปนี่ ได้แต่อยู่ในบ้าน วันหยุดก็อยู่กับแม่ มีพาแม่เที่ยวห้างสรรพสินค้าบ้าง แต่ไม่กล้าที่จะไปเจอผู้คนจำนวนมาก ถ้าจำเป็นต้องอยู่ในสถานที่ที่เจอผู้คน ผมยอมยืนก้มหน้าไม่สนใจใคร เพื่อให้ตัวเองได้รู้สึกปลอดภัย อยู่ในกำแพงที่สร้างขึ้นมา

ผมยอมผลักเพื่อนทุกคน ผมไม่รู้จักเค้า พยายามปัดเพื่อนทุกคนออกจากชีวิต เพื่อให้ผมได้อยู่ในกรอบตรงนั้นคนเดียว ผมต้องขอโทษเพื่อนๆทุกคนที่ตัดเค้าออก มันเป็นความรู้สึกของผมเอง ผมเข้าใจเจตนาของเพื่อนทุกคน เพื่อก็คือคำว่าเพื่อน ไม่ว่าเค้าจะยังไง เค้าก็ยังเป็นเพื่อนผมอยู่ ผมเป็นคนปิดกั้นพวกเค้าเอง ไม่อยากไปสุงสิงกับพวกเค้า ผมพยายามวิ่งหนีพวกเค้าเพื่อที่จะอยู่ในโลกส่วนตัว โลกมืดๆที่ว่าอยู่แล้วมันสบายใจ

จุดประสงค์ของผมสำหรับแคมเปญนี้ คือ อยากให้ทุกคนคิดก่อนที่จะโพสต์ แชร์ หรือ คอมเมนต์ ผมยืนยันชัดเจนว่าไม่ต้องการให้คนที่ทำผมมารับผิดชอบอะไรเลย ผมให้อภัย ผมไม่โกรธ ผมไม่ได้เกลียด ผมหวังว่าทุกคนจะเปลี่ยนได้ ก่อนที่จะแชร์อะไร ให้คิดตรวจสอบข่าวสาร ตรวจสอบข้อมูลก่อนว่าอันไหนคือเรื่องจริง เรื่องแต่ง และวิเคราะห์วามันจะมีผลกระทบถึงใครบ้าง



ขณะที่ คุณบุญสักก์ บรรณหิรัญ Executive Creative Director บริษัท Ogilvy One Worldwide หนึ่งในทีมงานผู้ผลิตคลิปรณรงค์แคมเปญ เช็คก่อนแชร์ หรือ #BETTERSOCIAL บอกกับผู้สื่อข่าวรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ว่า จุดประสงค์ของแคมเปญนี้ ต้องการสร้างสังคมใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเก่า อยากให้ทุกคนที่คิดจะแชร์หรือคอมเมนต์ คิดสักนิดว่าสิ่งที่กำลังจะแชร์เป็นสิ่งที่จริงหรือไม่ จะไปทำร้ายใครหรือไม่ คนในคลิปหรือคนในเรื่องราว เค้าเป็นคนบริสุทธิ์หรือเป็นคนผิดอย่างนั้นจริงๆ

สำหรับแคมเปญนี้เรียกว่า เช็คก่อนแชร์ หรือ #BETTERSOCIAL เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2558 ก่อนที่จะผ่านกระบวนการขั้นตอนต่างๆจนแล้วเสร็จเมื่อเดือน มิถุนายน 2559 และมีการอัปโหลดคลิปลงยูทูปเมื่อ 24 กรกฎาคม 2559  ต้องการที่จะโฟกัสเรื่องราวปัจจุบัน อยากให้ต่อไปนี้ทุกคนในสังคมไทย เริ่มที่จะเช็คก่อนแชร์ คิดก่อนแชร์ ไม่อยากให้หาเหยื่อใหม่ ไม่ได้อยากสร้างเหยื่อโซเชียลใหม่ แต่อยากสร้างสังคมใหม่ที่ดีกว่า โดยแคมเปญนี้บริษัทโอกิลวี่วันร่วมกับบริษัทเอกชนสร้างเป็นแคมเปญรณรงค์ขึ้นมา

ที่หยิบยกกรณีของคุณจิรวุฒิ ขึ้นมานำเสนอ เพราะเป็นเรื่องราวที่โด่งดัง คนบนโซเชียลรุมกระหน่ำ เรียกว่าประจานเลยดีกว่า ประจานว่าคุณจิรวุฒิเป็นโรคจิต เป็นคนเลว ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานก็มีการออกมาแก้ข่าวว่าเค้าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ข่าวที่มีการแก้ไขกลับไม่ดังเท่า ทุกคนที่คอมเมนต์แสดงความคิดเห็นลืมไปแล้วด้วยซ้ำ แม้กระทั่งหน้าของคุณจิรวุฒิก็ลืมแล้ว นี่จึงเป็นไอเดียที่อยากเอาความจริงที่มีผลกระทบกับชีวิตคนบริสุทธิ์มาเล่าให้ฟัง ว่าเวลามีการคอมเมนต์แสดงความคิดเห็น 1ความคิดเห็น ไปจนกระทั่ง1หมื่นความคิดเห็น 4หมื่นความคิดเห็น คนที่โดนคอมเมนต์เค้ารู้สึกอย่างไร ซึ่งท้ายที่สุดเมื่อความจริงปรากฎ เค้าเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้เป็นอย่างที่มีคนโพสต์หรือคอมเมนต์ ชีวิตเค้าเป็นอย่างไร

ทางทีมงานได้หาหลายเคส และช่วยกันดูว่าเคสไหนน่าสนใจ และเคสไหนที่ยังสามารถอยู่ในความทรงจำของคนได้ สุดท้ายก็เลือกกรณีของคุณจิรวุฒิ ซึ่งเราพยายามหาเบอร์ติดต่อเค้า ใช้เวลาพอสมควร ซึ่งในตอนแรกที่ติดต่อคุณจิรวุฒิได้ มีการอนุญาตให้ใช้เรื่องราวไปสร้างเป็นหนังโฆษณา แต่เมื่อคุยไปคุยมา ทำให้ทีมงานอยากรู้ถึงผลกระทบจริงๆที่มีต่อคุณจิรวุฒิ ผลกระทบจริงๆมันคืออะไร เพราะเรารู้แต่ว่าเค้าถูก เค้าไม่ผิด แต่ระหว่างทางของเรื่องที่เกิดขึ้นยังไม่มีใครรู้ ทีมงานจึงนัดสัมภาษณ์คุณจิรวุฒิ และพบว่าเค้ายังอยู่ในความเศร้า เก็บตัว น่าสงสาร และอึดอัด ผลกระทบกับชีวิตเค้าเกิดขึ้นมากมาย มากกว่าในคลิปแคมปเปญเช็คก่อนแชร์ด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เวลาเค้าไปหางานใหม่ ไม่มีใครรู้หรอกว่า แผนกบุคคลค้นหาชื่อเค้า มีแต่ชื่อโรคจิต โรคจิต ซึ่งจริงๆเค้าไม่ผิด ไม่มีใครรู้หรอกว่ากับแฟนเค้าเป็นยังไง ชีวิตเค้า ชีวิตของแม่เค้า ทีมงานเลยเลือกเราเรื่องระหว่างทางมาเล่าให้ฟัง ซึ่งพอได้คุยกับคุณจิรวุฒิก็ได้เนื้อหาที่น่าสนใจ  แต่ปัญหาคือ ขณะที่เรากำลังเริ่มถ่ายทำ ถ่ายทำไปเรื่อยๆ ซึ่งในตอนแรกใช้คนแสดงเล่าเป็นชีวิตประจำวัน พอถ่ายไปถ่ายมา มันเหมือนเป็นการแสดง จึงได้ขออนุญาตสัมภษณ์คุณจิรวุฒิ แล้วนำมาลงในช่วงท้ายของคลิป แต่ปรากฎว่าตัดต่ออยู่หลายรอบจนท้ายที่สุดก็รู้สึกว่า สิ่งที่ดีที่สุดคือความจริงที่มากที่สุด นั่นคือตัวของคุณจิรวุฒิเอง สุดท้ายเราแค่ตั้งขาตั้งกล้องแล้วสัมภาษณ์คุณจิรวุฒิ แล้วเอาสิ่งที่เค้าพูดมาทำเป็นคลิป

สำหรับแคมเปญเช็คก่อนแชร์ หรือ #BETTERSOCIAL ถือว่าเป็นตามวัตถุประสงค์ที่ทีมงานต้องการจะสื่อในระดับหนึ่ง คนเริ่มตระหนักเข้าใจว่าต่อไปนี้ต้องเช็คก่อนแชร์ คิดก่อนแชร์ แฮชแท็ก #BETTERSOCIAL เริ่มเกิดขึ้นในสังคม แต่ว่ายังมีบางอย่างที่ถูกบิดเบือนไปนิดหน่อย เพราะตอนนี้เริ่มมีการไปตามหาว่าใครเป็นคนถ่ายภาพ ใครเริ่มถ่ายคลิปทำร้ายคุณจิรวุฒิ แต่ไม่มีใครมองเลยว่า อาจเป็นคุณหรือเปล่าที่ตอนนั้นไปว่าเค้า แต่ว่าวันนี้คุณลืมไปแล้ว เราไม่ได้จะบอกว่าให้ไปหาว่าใครเป็นคนทำ อย่าไปหาเลยว่าใครทำร้ายเค้า เราไม่ได้อยากสร้างเหยื่อใหม่ แต่เราอยากสร้างสังคมที่ดีกว่า เราเลยเรียกว่า #BETTERSOCIAL

ในอนาคตจะมีแคมเปญใหม่อย่างแน่นอน กำลังคิดแคมเปญอื่นๆ ซึ่งโดยปกติ บริษัทโอกิลวี่ มีแนวคิดในเรื่องการสร้างสังคมให้ดีขึ้น ก่อนหน้านี้เคยมีแคมเปญ Force For Good แคมเปญนี้พูดถึงความรุนแรง คำรุนแรงบนโซเชียลที่อาจจะก่อให้เกิดเรื่องราวถึงกับชีวิตได้เหมือนกัน และ แคมปเปญนั้นก็มีการทำแอปพลิเคชันที่สามารถให้คนเข้าไปหาได้ว่า ใครเคยพิมพ์ข้อความรุนแรงหรือคอมเมนต์อะไรแรงๆกับใครไว้หรือไม่ จากนั้นก็จะไปแท้กในอดีต แล้วเราก็สามารถไปลบข้อความเหล่านั้น ให้ลบล้างอดีตที่ผ่านมาได้



ด้าน คุณณัฐ พยงค์ศรี นักวิชาการคอมพิวเตอร์ชำนาญการ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ว่า การกดไลค์ ยังไม่ได้แสดงเจตนาอย่างชัดเจน อาจจะเบาหน่อย แสดงความเราติดตามหรือสนใจในข้อความ แต่ว่าการกดแชร์ เรามีเจตนาที่ชัดเจน โดยเฉพาะการแชร์ข้อมูลแล้วไปเขียนหัวข้อความว่าคนนี้ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ อันนี้อาจจะมีความผิดได้มากกว่า ส่วนการคอมเมนต์ เป็นการแสดงความคิดเห็น แต่ด้วยเทคโนโลยีของโซเชียลในปัจจุบัน ไม่ว่าจะกดไลค์ กดแชร์ กดคอมเมนต์ เพื่อของเราจะได้รับได้เห็นข้อมูลดังกล่าว กลายเป็นลักษณะการเผยแพร่ไปในตัวโดยที่ไม่มีเจตนาชัดเจน แต่การแชร์ถือว่ามีเจตนาที่ชัดเจน ก็อาจจะเข้าข่ายการหมิ่นประมาท หรือถ้าหนักๆก็ผิดพรามพ.ร.บ.คอมฯ มาตรา14

ผู้ที่อยู่ในภาพหรือเนื้อมีสิทธิ์ที่จะฟ้องร้องได้ เพราะทำให้เค้าเสียหาย อันแรกที่จะมีความผิด คือเรื่องการหมิ่นประมาท การแชร์หรือถ่ายรูปไปลง ทำให้คนจำนวนมากเห็น ก็อาจเข้าข่ายการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาได้ด้วย ซึ่งปัจจุบันนี้มีการฟ้องร้องกันพอสมควร แต่ว่าการดำเนินคดีก็ลำบากนิดนึง เพราะเดี๋ยวนี้มีเว็บข่าวที่ไม่ใช่ข่าว พยายามอ้างอิงเครดิตไปถึงคนต้นเรื่อง พยายามจะปัดว่าตัวเองไม่ใช่คนต้นเรื่อง แต่มีคนส่งมาให้ คนที่จะแชร์ข้อมูล หรือเอาข้อมูลลงอินเทอร์เน็ต ก็ควรมีสติด้วย ก่อนที่จะนำอะไรลงสู่อินเทอร์เน็ต เพราะมันจะกลายเป็นคนทั้งโลกได้เห็นเรา

อยากให้ใจเย็นๆก่อน เราสามารถรับทราบ รับรู้ข้อมูลบนโซเชียลมีเดียได้ แต่อย่าเพิ่งปักใจเชื่อในทันที มีสติคิดก่อนนิดนึง เพราะถ้าเราเป็นผู้ที่อยู่ในข่าวหรือข้อมูลดังกล่าว แล้วมีคนอื่นแชร์ในลักษณะเดียวกัน เราก็อาจจะเป็นผู้เสียหาย โดยที่ไม่มีโอกาสได้ทันได้แก้ตัว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่