.............มือของเด็กน้อยหลายคู่ เกาะลูกกรงเหล็กเหล็กสีดำด้าน ดวงตาเหม่อลอยแววตาคล้ายสิ้นหวัง เด็กอีกหลายคน กำลังเล่นตุ๊กตา หรือกองดินอย่างไม่ประสีประสา คะเนอายุ สามถึงเจ็ดขวบ ...ก้องเดช...หนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาวัยยี่สิบต้นๆ เสื้อยืดกางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบสีขาว มองลอดแว่นกันแดดออกไป มองเห็นเด็กชายตัวน้อย พยามใช้มือเปล่าแหกลูกกรงเหล็กอย่างขมีขมัน...
“ข้า..คือซุปเปอร์ไซย่า กรงเหล็กกระจอกๆแบบนี้ขังข้าไม่ได้หรอก..ย๊ากกก....กกกส์..ยากส์..”
เด็กน้อยพยามใช้มือสองข้างออกแรงแหกลูกกรงเหล็กอย่างหน้าดำหน้าแดงหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล ก้องเดช ทนเห็นภาพดังกล่าวไม่ได้ จึงเข้าไปพูดปลอบประโลม ถึงจินตนาการของเด็กน้อย ว่า เรื่องราวของซุปเปอร์ไซย่ามันเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น ที่จริงชาวดาวนาเม้ก ต่างหากที่มีตัวตนจริงๆ แค่เจอมุกนี้เข้าไป เด็กชายตัวน้อย ถึงกับอ้าปากเหวอ ตะลึงงัน
เท่านั้นยังไม่พอ ก้องเดช ก้าวเดินไปตรงกลางบานประตูลูกกรงเหล็ก ขนาดใหญ่ ดุจดั่งกัปตันอเมริกาปลุกปลอบใจให้เพื่อนๆเหล่า อเวนเจอร์ทั้งหลาย ให้ลุกขึ้นสู้อย่างไม่ยอมแพ้ต่อฝ่ายอธรรม เพื่อแลกกับอิสระหรือเสรีภาพที่จะมีราคาแสนแพงแค่ไหนก็ตาม
“เราต้องการอิสรภาพ ด้วยจิตใจอันเปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรม เราจะไม่ยอมถูกกักขังด้วยกรงเหล็กเพียงแค่นี้ อิสระเป็นสิ่งที่เราโหยหาเราต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อิสรภาพกลับมา แม้มันจะต้องแลกด้วยราคาที่แพงลิบลิ่ว เหล่าเพื่อนพ้องทั้งหลายเอ๋ย ถึงเวลาแล้วที่เราจะรวมตัวกัน เพื่อเรียกร้องสิ่งนี้”
เด็กๆ หลายคนเริ่ม เดินเข้ามาตามเสียงเรียกร้อง ด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ เด็กบางคน ถึงกับยกมือเชียร์ด้วย
“เอ้าพวกเราพูดตามเลย ......อิสรภาพ ...เราต้องการอิสรภาพ....เราจะไม่ยอมให้ใครมากักขัง” ก้องเดชพูดพร้อมกับชูมือไปด้วย
“อิสรภาพ...!!! อิสรภาพ เสรีภาพ...เราต้องการอิสรภาพ... เราต้องการอิสรภาพ เราจะไม่ยอมให้ใครมากักขัง”
ตอนนี้ เด็กๆเริ่มชูมือและส่งเสียงตาม แต่เสียงดัง ได้ไม่นาน กลับมี เสียงตวาดแปร๋นดังปานฟ้าผ่า ออกมาจากในตัวบ้าน เด็กๆ ราวสิบสองชีวิตถึงกับยืนเงียบงันราวรูปปั้น รวมทั้งผู้นำเชียร์ตัวดีด้วย
“อิสระภง.. อิสรภาพอะไรกัน...นี่มันสถานรับฝากเด็กเล็ก ตอนหกโมงเย็นเดี๋ยวผู้ปกครองพวกเธอก็มารับ อิสรภาพของพวก
เธอ ราคาไม่แพงอะไรเลย แค่วันละสองร้อยห้าสิบบาทเอง.. แล้วเธอรู้เหรอว่า อิสรภาพมันแปลว่าอะไร..หือ..น้องพลอยใส..”
จากเสียงตวาดแปร๋นเปลี่ยนเป็นเสียงราบเรียบ ถามเด็กสาวตัวน้อยที่ยืนทำตาแป๋วอยู่ด้านข้าง สาวกลางคนร่างอวบอ้วนน้ำหนักเกือบร้อยกิโลตั้งคำถาม
น้องพลอยใส ยิ้มให้เห็นฟันหน้าที่หักเกือบหมด แล้วตอบคำถาม
“คือ..มันคือรูปค่ะ..รูปอะไรก็ได้..” เด็กสาวตัวน้อยตอบคำถามไปตามประสาเด็ก
“นั่นไง...ว่าแล้ว เอ้าไปๆ ไปเล่นกันตามปกติได้แล้ว ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน” หล่อนออกคำสั่ง
แล้วเด็กๆก็พากันวิ่งเล่นกันตามประสาเด็กต่อ ลืมเรื่องราวการปลดปล่อยอิสรภาพไปอย่างสิ้นเชิง
พัดลมสีขาวภาค2 ตอน คู่รัก
“ข้า..คือซุปเปอร์ไซย่า กรงเหล็กกระจอกๆแบบนี้ขังข้าไม่ได้หรอก..ย๊ากกก....กกกส์..ยากส์..”
เด็กน้อยพยามใช้มือสองข้างออกแรงแหกลูกกรงเหล็กอย่างหน้าดำหน้าแดงหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล ก้องเดช ทนเห็นภาพดังกล่าวไม่ได้ จึงเข้าไปพูดปลอบประโลม ถึงจินตนาการของเด็กน้อย ว่า เรื่องราวของซุปเปอร์ไซย่ามันเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น ที่จริงชาวดาวนาเม้ก ต่างหากที่มีตัวตนจริงๆ แค่เจอมุกนี้เข้าไป เด็กชายตัวน้อย ถึงกับอ้าปากเหวอ ตะลึงงัน
เท่านั้นยังไม่พอ ก้องเดช ก้าวเดินไปตรงกลางบานประตูลูกกรงเหล็ก ขนาดใหญ่ ดุจดั่งกัปตันอเมริกาปลุกปลอบใจให้เพื่อนๆเหล่า อเวนเจอร์ทั้งหลาย ให้ลุกขึ้นสู้อย่างไม่ยอมแพ้ต่อฝ่ายอธรรม เพื่อแลกกับอิสระหรือเสรีภาพที่จะมีราคาแสนแพงแค่ไหนก็ตาม
“เราต้องการอิสรภาพ ด้วยจิตใจอันเปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรม เราจะไม่ยอมถูกกักขังด้วยกรงเหล็กเพียงแค่นี้ อิสระเป็นสิ่งที่เราโหยหาเราต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อิสรภาพกลับมา แม้มันจะต้องแลกด้วยราคาที่แพงลิบลิ่ว เหล่าเพื่อนพ้องทั้งหลายเอ๋ย ถึงเวลาแล้วที่เราจะรวมตัวกัน เพื่อเรียกร้องสิ่งนี้”
เด็กๆ หลายคนเริ่ม เดินเข้ามาตามเสียงเรียกร้อง ด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ เด็กบางคน ถึงกับยกมือเชียร์ด้วย
“เอ้าพวกเราพูดตามเลย ......อิสรภาพ ...เราต้องการอิสรภาพ....เราจะไม่ยอมให้ใครมากักขัง” ก้องเดชพูดพร้อมกับชูมือไปด้วย
“อิสรภาพ...!!! อิสรภาพ เสรีภาพ...เราต้องการอิสรภาพ... เราต้องการอิสรภาพ เราจะไม่ยอมให้ใครมากักขัง”
ตอนนี้ เด็กๆเริ่มชูมือและส่งเสียงตาม แต่เสียงดัง ได้ไม่นาน กลับมี เสียงตวาดแปร๋นดังปานฟ้าผ่า ออกมาจากในตัวบ้าน เด็กๆ ราวสิบสองชีวิตถึงกับยืนเงียบงันราวรูปปั้น รวมทั้งผู้นำเชียร์ตัวดีด้วย
“อิสระภง.. อิสรภาพอะไรกัน...นี่มันสถานรับฝากเด็กเล็ก ตอนหกโมงเย็นเดี๋ยวผู้ปกครองพวกเธอก็มารับ อิสรภาพของพวก
เธอ ราคาไม่แพงอะไรเลย แค่วันละสองร้อยห้าสิบบาทเอง.. แล้วเธอรู้เหรอว่า อิสรภาพมันแปลว่าอะไร..หือ..น้องพลอยใส..”
จากเสียงตวาดแปร๋นเปลี่ยนเป็นเสียงราบเรียบ ถามเด็กสาวตัวน้อยที่ยืนทำตาแป๋วอยู่ด้านข้าง สาวกลางคนร่างอวบอ้วนน้ำหนักเกือบร้อยกิโลตั้งคำถาม
น้องพลอยใส ยิ้มให้เห็นฟันหน้าที่หักเกือบหมด แล้วตอบคำถาม
“คือ..มันคือรูปค่ะ..รูปอะไรก็ได้..” เด็กสาวตัวน้อยตอบคำถามไปตามประสาเด็ก
“นั่นไง...ว่าแล้ว เอ้าไปๆ ไปเล่นกันตามปกติได้แล้ว ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน” หล่อนออกคำสั่ง
แล้วเด็กๆก็พากันวิ่งเล่นกันตามประสาเด็กต่อ ลืมเรื่องราวการปลดปล่อยอิสรภาพไปอย่างสิ้นเชิง