เรียบเรียงจาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://mentalfloss.com/article/65746/25-indestructible-facts-about-terminator และ http://www.imdb.com/title/tt0088247/trivia?ref_=tt_ql_trv_1 จ้ะ
เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องของเจมส์ คาเมร่อน ที่ทำเงินมหาศาลถึง 78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากทุนสร้างเพียง 6 ล้านเหรียญ สำหรับ The Terminator (1984) เรื่องราวของหุ่นยนต์ร่างยักษ์ผู้ถูกส่งตรงมาจากโลกอนาคตเพื่อฆ่าหญิงสาวซึ่งจะให้กำเนิดชายหนุ่มผู้กอบกู้มนุษยชาติในยุคสมัยต่อมา
เป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ อาร์โนลด์ ชวาลเซเนกเกอร์ โด่งดังจากบทหุ่นยนต์เหล็กหรือเทอร์มิเนเตอร์และกลายเป็นภาพลักษณ์ของเขาในเวลาต่อมา รวมทั้งเป็นภาพยนตร์ที่เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็ยังถูกพูดถึงอยู่เสมอ
ต่อไปนี้คือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของ The Terminator จ้ะ

.
1. ระหว่างถ่างตากำกับและตัดต่อหนังเรื่อง Piranha Part Two: The Spawning (1981) เจมส์ คาเมร่อน ก็เกิดหลับฝันเห็นมนุษย์โลหะแหวกพื้นบุกเข้ามาหา และนั่นเองคือต้นเหตุของหนังที่ว่าด้วยเรื่องหุ่นยนตร์นักฆ่าที่ถูกส่งมาจากโลกอนาคต เพื่อกำจัดหญิงสาวผู้จะให้กำเนิดเด็กชายที่จะเป็นผู้กอบกู้มวลมนุษยชาติในอีกหลายสิบปีต่อมา-และนั่นเองคือจุดกำเนิดของ The Terminator
.
2. สตูดิโออยากให้โอ.เจ. ซิมป์สัน นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลชื่อดังรับบทเป็นคนเหล็ก และให้อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์-ซึ่งตอนนั้นผันตัวมาเป็นนักแสดงแล้วจากเรื่อง Conan the Barbarian (1982) มารับบทเป็นไคลี รีส ชายหนุ่มนักสู้ที่ถูกส่งมาจากโลกอนาคต
แต่คาเมร่อนบอกว่าไม่ซื้อโว้ยไอเดียนี้ ไม่เห็นจะเข้าท่า นักกีฬามันจะมาแสดงหนังได้ไงวะ “แถมให้คนแอฟริกัน-อเมริกันไปเที่ยวไล่ล่าเด็กสาวผิวขาวเนี่ยนะ ไม่เอาด้วยหรอก” เป็นเหตุผลของเขา
.
3. แถมการจะให้อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ มารับบทเป็นมนุษย์นักสู้ก็ดูไม่เข้าท่าสำหรับคาเมร่อนอยู่ดี เพราะต้องไม่ลืมว่าชวาร์เซเน็กเกอร์สูงถึง 187 เซนติเมตร ทั้งยังตัวหนาปึ้ก เลยมีนักแสดงในฮอลลีวู้ดไม่มากนักที่สูงกว่าเขา (หรืออย่างน้อยก็ตัวไล่ๆ กัน) แล้วจะให้เจ้าหนุ่มโคแนนร่างยักษ์นี่มารับบทเป็นมนุษย์เนี่ยนะ ไม่เห็นจะเข้าท่าเลย
สุดท้ายคาเมร่อนเลยตั้งใจจะไปคุยกับชวาร์เซเน็กเกอร์และสตูดิโอว่า คงไม่เหมาะถ้าจะให้พ่อหนุ่มนักกล้ามมารับบทอะไรก็ตามในหนังของผมแล้ว เสียใจด้วยนะ
.
4. แต่ความอคติของคาเมร่อนก็ลดลงทันทีเมื่อเขาได้คุยกับชวาร์เซเน็กเกอร์ เพราะพ่อหนุ่มนักกล้ามมีไอเดียที่ดี๊ดีเกี่ยวกับคนเหล็กมาเสนอเขา
“เฮ้คาเมร่อน นึกแบบนี้สิ ตอนที่เจ้าคนเหล็กนี่มันโหลดกระสุนใหม่นะ เขาไม่ต้องมองไปที่ปืนด้วยซ้ำเพราะคอมพิวเตอร์และเครื่องจักรเป็นตัวทำงาน แล้วก็นะ ตอนที่หมอนี่ฆ่าคนน่ะ เขาต้องไม่มีอารมณ์ไหนๆ ปรากฏบนสีหน้าเด็ดขาดเลยนะ ห้ามสนุก ห้ามทำท่าแบบผู้กำชัย ห้ามมีอะไรเลย”
สรุปคาเมร่อนซื้อไอเดียนี้ แล้วบอกชวาร์เซเน็กเกอร์ว่า เออ งั้นคุณก็มารับบทคนเหล็กหน่อยละกันนะ ได้ป่ะ แถมยังบอกว่า “หนังเรื่องนี้ไม่ได้พูดเกี่ยวกับฮีโร่วีรบุรุษหรอกนะ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทอร์มิเนเตอร์ต่างหาก”
.
5. แรกเริ่มเดิมที ชวาร์เซเน็กเกอร์ลังเลใจที่จะมารับบทคนเหล็กเพราะมันดูยังไงๆ ชอบกลที่ต้องมารับบทตัวร้ายหลังจากเป็นฮีโร่มาแล้วใน Conanฯ แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจรับบทนี้เพราะคิดว่า เอาเว้ย หนังฟอร์มเล็กๆ เอง คงไม่ส่งผลต่อภาพลักษณ์นักแสดงเราในอนาคตหรอกน่า (โถ…)
อย่างไรก็ตาม คาเมร่อนชอบอกชอบใจมาก และในฐานะที่เขาวาดรูปเก่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว (อย่าลืมว่าใน Titanic, 1997 ฉากวาดรูปโรสในตำนานก็เป็นมือเขาเอง หาใช่มือของพี่ลีโอแต่อย่างใด) เขาวาดรูปชวาร์เซเน็กเกอร์ในบทคนเหล็กมาให้นักแสดงหนุ่ม ซึ่งตกตะลึงเอามากๆ ถึงกับออกปากว่า “ผมคือเดอะ เทอร์มิเนเตอร์”
.
6. ชวาร์เซเน็กเกอร์ถูกส่งไปฝึกการใช้ปืนอย่างเคร่งครัด ฝึกยิงจนกว่าเขาจะยิงได้ทั้งสองมือ อยู่กินกับมันจนกว่าเขาจะจับปืน ประกอบมัน แยกร่างมันได้แม้หลับตา และจำเป็นต้องยิงปืนโดยไม่มีการแสดงออกทางสีหน้า
นอกจากนั้นยังต้องถูกส่งไปเรียนการเคลื่อนไหวแบบหุ่นยนตร์ด้วย ซึ่งสังเกตได้จากฉากที่เขาควานหาซาร่าห์ คอนเนอร์-ว่าชวาร์เซเน็กเกอร์ขยับตาก่อนขยับหัวด้วยซ้ำ
.
7. เพื่อทำให้คนเหล็กดูคุกคามมากขึ้น ชวาร์เซเน็กเกอร์ถูกสั่งห้ามไม่ให้กะพริบตาบ่อยๆ รวมถึงถูกเอาขี้ผึ้งทาตามผิวหน้าเพื่อให้เนื้อหนังดูถูกสังเคราะห์มาและต่างจากผิวหนังคนทั่วไป
.
8. ครั้งหนึ่ง ระหว่างพักเบรกการถ่ายทำในลอส แอนเจลิส ชวาร์เซเน็กเกอร์เกิดหิวขึ้นมาติดหมัดและดิ่งไปภัตตาคารเพื่อสั่งอาหารกลางวันมากินทั้งที่ยังอยู่ในเมคอัพของคนเหล็ก-กล่าวคือตาหายไปข้างหนึ่ง, กรามแหกและเนื้อเละยุ่ยค่อนใบหน้า ไม่ต้องบอกว่าเขาดึงดูดสายตาผู้คนรอบๆ มากแค่ไหน
.
9. ในเรื่อง Conan the Barbarian ชวาร์เซเน็กเกอร์มีบทพูดอยู่ทั้งสิ้น 24 ประโยค มาเรื่องนี้ คาเมร่อนตั้งใจจะให้ชวาร์เซเน็กเกอร์มีบทพูดน้อยยิ่งกว่าเรื่อง Conan และลงเอยด้วยการบอกนักแสดงหนุ่มว่า ใน The Terminator นี่คุณเอาไปเล้ย 14 ประโยคเน้นๆ
(ซึ่งเอาจริงๆ ชวาร์เซเน็กเกอร์คิดว่าบทพูดน้อยๆ จะส่งผลทางลบให้เขาในเส้นทางการแสดงเพราะมันทำให้เขาดูเป็นนักแสดงที่รับบทคนพูดเยอะๆ ไม่ได้ แต่ทำไงได้ ก็ผู้กำกับให้มาแค่ 14 ประโยคอ้ะ T T)
.
10. เสียงพากย์ในทีเซอร์หนัง คือเสียงของปีเตอร์ คัลเลน-ซึ่งเป็นคนให้เสียงของออพติมัส ไพร์ม ในหนังตระกูล Transformers (2007)
.
11. ก่อนหน้านี้ บทคนเหล็กถูกส่งให้เมล กิ๊บสัน พิจารณาแต่เขาตอบปฏิเสธไป อย่างไรก็ดี หลังจากได้ดูภาพยนตร์เต็มเรื่องแล้ว เขาบอกว่าชวาร์เซเน็กเกอร์คือตัวเลือกที่ดีกว่าเขามากๆ เลย
.
12. ประโยคอมตะอย่าง “I’ll be back” ของคนเหล็กนั้น ผ่านการทะเลาะกันอย่างหนักหน่วงมาแล้วระหว่างนักแสดงอย่างชวาร์เซเน็กเกอร์กับผู้กำกับคาเมร่อน เพราะชวาร์เซเน็กเกอร์คิดว่าการพูดว่า “I will be back” แบบเต็มคำนั้นฟังดูเป็นหุ่นยนต์พูดมากกว่าการย่อคำจนเหลือ “I’ll” (ซึ่งเขาบอกว่า มันฟังดูเหมือนเป็นวิธีที่ผู้หญิงพูดมากกว่า)
สุดท้าย คาเมร่อนตอบกลับไปกว่า “ผมไม่ได้บอกคุณว่าต้องแสดงยังไง เพราะงั้นก็อย่ามาบอกผมว่าต้องเขียนบทยังไงสิ” แน่นอน-ลงเอยที่ชวาร์เซเน็กเกอร์พูดว่า “I’ll be back” ดังที่ปรากฏในภาพยนตร์
.
13. ลินดา แฮมิลตัน เจ้าของบทซาร่า คอนเนอร์ดันทำกระดูกข้อเท้าหักระหว่างถ่ายทำ เลยต้องพันผ้าไว้ทุกวันเพื่อจะได้ถ่ายฉากไล่ล่าได้
.
14. ก่อนหน้านี้ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลนก็ถูกทีมงานพิจารณาให้มารับบทคนเหล็กด้วยเหมือนกัน อย่างไรก็ดี หลังจากนั้น เขากับเจมส์ คาเมร่อนก็ได้มาเขียนบทเรื่อง Rambo: First Blood Part II (1985) ด้วยกัน
และนั่นกลายเป็นการแข่งขันกันกลายๆ ว่าระหว่างสตอลโลนและชวาร์เซเน็กเกอร์ ใครจะเป็นราชาบทบู๊มากกว่ากัน (หรืออีกนัยหนึ่ง แรมโบ้ VS เทอร์มินาเตอร์)
.
15. อดัม กรีนเบิร์ก ตากล้องให้สัมภาษณ์ว่า การถ่ายภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้การเคลื่อนกล้องแบบมือถือถ่ายเยอะมาก โดยเฉพาะในฉากแอ็คชั่น “เพราะการถ่ายทำแบบนี้มันทำให้แต่ละฉากดูมีพลังมากๆ แบบคุณที่หาจากไหนไม่ได้”
.
16. ระหว่างถ่ายทำฉากสุดท้ายนั้น มีตำรวจบุกมาเยี่ยมเยียนถึงที่เพราะทีมงานไม่ได้ขออนุญาตตำรวจก่อนถ่ายทำ หนึ่งในทีมงานเลยพุ่งเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ “เอ่อ ที่ถ่ายๆ อยู่นี่เป็นโปรเจ็คงานที่โรงเรียนของลูกชายผมเอง ถ่ายฉากสุดท้ายแล้วเนี่ย นิดเดียวเองน่า”
ปรากฏว่าคุณตำรวจเชื่อแฮะ
.
17. คาเมร่อนดุและเนี้ยบแค่ไหนดูได้จากการที่ทีมงานทำเสื้อยืด สกรีนคำว่า “กูไม่กลัวมึ-หรอกเว้ย กูอ่ะทำงานให้เจมส์ คาเมร่อนอยู่” (T T)
ประมาณว่า ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าอีผู้กำกับที่กูทำงานให้อยู่หรอก
.
18. ชวาร์เซเน็กเกอร์ไม่ขำแม้แต่นิดกับพวกอุปกรณ์เสริมทั้งหลายที่เขาต้องใส่เพื่อให้ดูเป็นหุ่นยนต์ เป็นต้นว่าอีลูกตาเทียมสีแดงก็มักจะไหม้คาลูกกะตาจริงเขาอยู่นั่น แถมฉากซ่อมแซมแขนตัวเองของคนเหล็ก ชวาร์เซเน็กเกอร์ก็ต้องมัดแขนจริงๆ ของเขาไว้ข้างหลังนานตั้งชั่วโมง
.
19. ชวาร์เซเน็กเกอร์มาถ่ายทำหนังช้าไปสองวันเพราะเขาไม่พอใจที่ทีมงานทำเสื้อหนังได้ดูไม่แมนพอ
.
20. ฉากโปรดของชวาร์เซเน็กเกอร์คือทุกฉากที่เทอร์มิเนเตอร์พยายามจะทำตัวให้เหมือนมนุษย์ เพราะเขาคิดว่า เทอร์มิเนเตอร์ต้องผสมผสานระหว่างความเป็นเครื่องจักรและความเป็นคนเข้ากันให้ได้ และที่เจ๋งกว่าคือ เจ้าคนเหล็กมักไม่ประสบความสำเร็จนักเมื่อพยายามจะฝืนตัวเองให้เหมือนมนุษย์ และนั่นทำให้ผู้ชมหัวเราะดังลั่นซึ่งชวาร์เซเน็กเกอร์พอใจเอามากๆ : )
ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันเรื่องภาพยนตร์กันนะคะ
Page:
https://www.facebook.com/llkhimll
Blog:
http://llkhimll.wordpress.com/
20 เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับ The Terminator (1984)
เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องของเจมส์ คาเมร่อน ที่ทำเงินมหาศาลถึง 78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากทุนสร้างเพียง 6 ล้านเหรียญ สำหรับ The Terminator (1984) เรื่องราวของหุ่นยนต์ร่างยักษ์ผู้ถูกส่งตรงมาจากโลกอนาคตเพื่อฆ่าหญิงสาวซึ่งจะให้กำเนิดชายหนุ่มผู้กอบกู้มนุษยชาติในยุคสมัยต่อมา
เป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ อาร์โนลด์ ชวาลเซเนกเกอร์ โด่งดังจากบทหุ่นยนต์เหล็กหรือเทอร์มิเนเตอร์และกลายเป็นภาพลักษณ์ของเขาในเวลาต่อมา รวมทั้งเป็นภาพยนตร์ที่เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็ยังถูกพูดถึงอยู่เสมอ
ต่อไปนี้คือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของ The Terminator จ้ะ
.
1. ระหว่างถ่างตากำกับและตัดต่อหนังเรื่อง Piranha Part Two: The Spawning (1981) เจมส์ คาเมร่อน ก็เกิดหลับฝันเห็นมนุษย์โลหะแหวกพื้นบุกเข้ามาหา และนั่นเองคือต้นเหตุของหนังที่ว่าด้วยเรื่องหุ่นยนตร์นักฆ่าที่ถูกส่งมาจากโลกอนาคต เพื่อกำจัดหญิงสาวผู้จะให้กำเนิดเด็กชายที่จะเป็นผู้กอบกู้มวลมนุษยชาติในอีกหลายสิบปีต่อมา-และนั่นเองคือจุดกำเนิดของ The Terminator
.
2. สตูดิโออยากให้โอ.เจ. ซิมป์สัน นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลชื่อดังรับบทเป็นคนเหล็ก และให้อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์-ซึ่งตอนนั้นผันตัวมาเป็นนักแสดงแล้วจากเรื่อง Conan the Barbarian (1982) มารับบทเป็นไคลี รีส ชายหนุ่มนักสู้ที่ถูกส่งมาจากโลกอนาคต
แต่คาเมร่อนบอกว่าไม่ซื้อโว้ยไอเดียนี้ ไม่เห็นจะเข้าท่า นักกีฬามันจะมาแสดงหนังได้ไงวะ “แถมให้คนแอฟริกัน-อเมริกันไปเที่ยวไล่ล่าเด็กสาวผิวขาวเนี่ยนะ ไม่เอาด้วยหรอก” เป็นเหตุผลของเขา
.
3. แถมการจะให้อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ มารับบทเป็นมนุษย์นักสู้ก็ดูไม่เข้าท่าสำหรับคาเมร่อนอยู่ดี เพราะต้องไม่ลืมว่าชวาร์เซเน็กเกอร์สูงถึง 187 เซนติเมตร ทั้งยังตัวหนาปึ้ก เลยมีนักแสดงในฮอลลีวู้ดไม่มากนักที่สูงกว่าเขา (หรืออย่างน้อยก็ตัวไล่ๆ กัน) แล้วจะให้เจ้าหนุ่มโคแนนร่างยักษ์นี่มารับบทเป็นมนุษย์เนี่ยนะ ไม่เห็นจะเข้าท่าเลย
สุดท้ายคาเมร่อนเลยตั้งใจจะไปคุยกับชวาร์เซเน็กเกอร์และสตูดิโอว่า คงไม่เหมาะถ้าจะให้พ่อหนุ่มนักกล้ามมารับบทอะไรก็ตามในหนังของผมแล้ว เสียใจด้วยนะ
.
4. แต่ความอคติของคาเมร่อนก็ลดลงทันทีเมื่อเขาได้คุยกับชวาร์เซเน็กเกอร์ เพราะพ่อหนุ่มนักกล้ามมีไอเดียที่ดี๊ดีเกี่ยวกับคนเหล็กมาเสนอเขา
“เฮ้คาเมร่อน นึกแบบนี้สิ ตอนที่เจ้าคนเหล็กนี่มันโหลดกระสุนใหม่นะ เขาไม่ต้องมองไปที่ปืนด้วยซ้ำเพราะคอมพิวเตอร์และเครื่องจักรเป็นตัวทำงาน แล้วก็นะ ตอนที่หมอนี่ฆ่าคนน่ะ เขาต้องไม่มีอารมณ์ไหนๆ ปรากฏบนสีหน้าเด็ดขาดเลยนะ ห้ามสนุก ห้ามทำท่าแบบผู้กำชัย ห้ามมีอะไรเลย”
สรุปคาเมร่อนซื้อไอเดียนี้ แล้วบอกชวาร์เซเน็กเกอร์ว่า เออ งั้นคุณก็มารับบทคนเหล็กหน่อยละกันนะ ได้ป่ะ แถมยังบอกว่า “หนังเรื่องนี้ไม่ได้พูดเกี่ยวกับฮีโร่วีรบุรุษหรอกนะ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทอร์มิเนเตอร์ต่างหาก”
.
5. แรกเริ่มเดิมที ชวาร์เซเน็กเกอร์ลังเลใจที่จะมารับบทคนเหล็กเพราะมันดูยังไงๆ ชอบกลที่ต้องมารับบทตัวร้ายหลังจากเป็นฮีโร่มาแล้วใน Conanฯ แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจรับบทนี้เพราะคิดว่า เอาเว้ย หนังฟอร์มเล็กๆ เอง คงไม่ส่งผลต่อภาพลักษณ์นักแสดงเราในอนาคตหรอกน่า (โถ…)
อย่างไรก็ตาม คาเมร่อนชอบอกชอบใจมาก และในฐานะที่เขาวาดรูปเก่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว (อย่าลืมว่าใน Titanic, 1997 ฉากวาดรูปโรสในตำนานก็เป็นมือเขาเอง หาใช่มือของพี่ลีโอแต่อย่างใด) เขาวาดรูปชวาร์เซเน็กเกอร์ในบทคนเหล็กมาให้นักแสดงหนุ่ม ซึ่งตกตะลึงเอามากๆ ถึงกับออกปากว่า “ผมคือเดอะ เทอร์มิเนเตอร์”
.
6. ชวาร์เซเน็กเกอร์ถูกส่งไปฝึกการใช้ปืนอย่างเคร่งครัด ฝึกยิงจนกว่าเขาจะยิงได้ทั้งสองมือ อยู่กินกับมันจนกว่าเขาจะจับปืน ประกอบมัน แยกร่างมันได้แม้หลับตา และจำเป็นต้องยิงปืนโดยไม่มีการแสดงออกทางสีหน้า
นอกจากนั้นยังต้องถูกส่งไปเรียนการเคลื่อนไหวแบบหุ่นยนตร์ด้วย ซึ่งสังเกตได้จากฉากที่เขาควานหาซาร่าห์ คอนเนอร์-ว่าชวาร์เซเน็กเกอร์ขยับตาก่อนขยับหัวด้วยซ้ำ
.
7. เพื่อทำให้คนเหล็กดูคุกคามมากขึ้น ชวาร์เซเน็กเกอร์ถูกสั่งห้ามไม่ให้กะพริบตาบ่อยๆ รวมถึงถูกเอาขี้ผึ้งทาตามผิวหน้าเพื่อให้เนื้อหนังดูถูกสังเคราะห์มาและต่างจากผิวหนังคนทั่วไป
.
8. ครั้งหนึ่ง ระหว่างพักเบรกการถ่ายทำในลอส แอนเจลิส ชวาร์เซเน็กเกอร์เกิดหิวขึ้นมาติดหมัดและดิ่งไปภัตตาคารเพื่อสั่งอาหารกลางวันมากินทั้งที่ยังอยู่ในเมคอัพของคนเหล็ก-กล่าวคือตาหายไปข้างหนึ่ง, กรามแหกและเนื้อเละยุ่ยค่อนใบหน้า ไม่ต้องบอกว่าเขาดึงดูดสายตาผู้คนรอบๆ มากแค่ไหน
.
9. ในเรื่อง Conan the Barbarian ชวาร์เซเน็กเกอร์มีบทพูดอยู่ทั้งสิ้น 24 ประโยค มาเรื่องนี้ คาเมร่อนตั้งใจจะให้ชวาร์เซเน็กเกอร์มีบทพูดน้อยยิ่งกว่าเรื่อง Conan และลงเอยด้วยการบอกนักแสดงหนุ่มว่า ใน The Terminator นี่คุณเอาไปเล้ย 14 ประโยคเน้นๆ
(ซึ่งเอาจริงๆ ชวาร์เซเน็กเกอร์คิดว่าบทพูดน้อยๆ จะส่งผลทางลบให้เขาในเส้นทางการแสดงเพราะมันทำให้เขาดูเป็นนักแสดงที่รับบทคนพูดเยอะๆ ไม่ได้ แต่ทำไงได้ ก็ผู้กำกับให้มาแค่ 14 ประโยคอ้ะ T T)
.
10. เสียงพากย์ในทีเซอร์หนัง คือเสียงของปีเตอร์ คัลเลน-ซึ่งเป็นคนให้เสียงของออพติมัส ไพร์ม ในหนังตระกูล Transformers (2007)
.
11. ก่อนหน้านี้ บทคนเหล็กถูกส่งให้เมล กิ๊บสัน พิจารณาแต่เขาตอบปฏิเสธไป อย่างไรก็ดี หลังจากได้ดูภาพยนตร์เต็มเรื่องแล้ว เขาบอกว่าชวาร์เซเน็กเกอร์คือตัวเลือกที่ดีกว่าเขามากๆ เลย
.
12. ประโยคอมตะอย่าง “I’ll be back” ของคนเหล็กนั้น ผ่านการทะเลาะกันอย่างหนักหน่วงมาแล้วระหว่างนักแสดงอย่างชวาร์เซเน็กเกอร์กับผู้กำกับคาเมร่อน เพราะชวาร์เซเน็กเกอร์คิดว่าการพูดว่า “I will be back” แบบเต็มคำนั้นฟังดูเป็นหุ่นยนต์พูดมากกว่าการย่อคำจนเหลือ “I’ll” (ซึ่งเขาบอกว่า มันฟังดูเหมือนเป็นวิธีที่ผู้หญิงพูดมากกว่า)
สุดท้าย คาเมร่อนตอบกลับไปกว่า “ผมไม่ได้บอกคุณว่าต้องแสดงยังไง เพราะงั้นก็อย่ามาบอกผมว่าต้องเขียนบทยังไงสิ” แน่นอน-ลงเอยที่ชวาร์เซเน็กเกอร์พูดว่า “I’ll be back” ดังที่ปรากฏในภาพยนตร์
.
13. ลินดา แฮมิลตัน เจ้าของบทซาร่า คอนเนอร์ดันทำกระดูกข้อเท้าหักระหว่างถ่ายทำ เลยต้องพันผ้าไว้ทุกวันเพื่อจะได้ถ่ายฉากไล่ล่าได้
.
14. ก่อนหน้านี้ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลนก็ถูกทีมงานพิจารณาให้มารับบทคนเหล็กด้วยเหมือนกัน อย่างไรก็ดี หลังจากนั้น เขากับเจมส์ คาเมร่อนก็ได้มาเขียนบทเรื่อง Rambo: First Blood Part II (1985) ด้วยกัน
และนั่นกลายเป็นการแข่งขันกันกลายๆ ว่าระหว่างสตอลโลนและชวาร์เซเน็กเกอร์ ใครจะเป็นราชาบทบู๊มากกว่ากัน (หรืออีกนัยหนึ่ง แรมโบ้ VS เทอร์มินาเตอร์)
.
15. อดัม กรีนเบิร์ก ตากล้องให้สัมภาษณ์ว่า การถ่ายภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้การเคลื่อนกล้องแบบมือถือถ่ายเยอะมาก โดยเฉพาะในฉากแอ็คชั่น “เพราะการถ่ายทำแบบนี้มันทำให้แต่ละฉากดูมีพลังมากๆ แบบคุณที่หาจากไหนไม่ได้”
.
16. ระหว่างถ่ายทำฉากสุดท้ายนั้น มีตำรวจบุกมาเยี่ยมเยียนถึงที่เพราะทีมงานไม่ได้ขออนุญาตตำรวจก่อนถ่ายทำ หนึ่งในทีมงานเลยพุ่งเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ “เอ่อ ที่ถ่ายๆ อยู่นี่เป็นโปรเจ็คงานที่โรงเรียนของลูกชายผมเอง ถ่ายฉากสุดท้ายแล้วเนี่ย นิดเดียวเองน่า”
ปรากฏว่าคุณตำรวจเชื่อแฮะ
.
17. คาเมร่อนดุและเนี้ยบแค่ไหนดูได้จากการที่ทีมงานทำเสื้อยืด สกรีนคำว่า “กูไม่กลัวมึ-หรอกเว้ย กูอ่ะทำงานให้เจมส์ คาเมร่อนอยู่” (T T)
ประมาณว่า ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าอีผู้กำกับที่กูทำงานให้อยู่หรอก
.
18. ชวาร์เซเน็กเกอร์ไม่ขำแม้แต่นิดกับพวกอุปกรณ์เสริมทั้งหลายที่เขาต้องใส่เพื่อให้ดูเป็นหุ่นยนต์ เป็นต้นว่าอีลูกตาเทียมสีแดงก็มักจะไหม้คาลูกกะตาจริงเขาอยู่นั่น แถมฉากซ่อมแซมแขนตัวเองของคนเหล็ก ชวาร์เซเน็กเกอร์ก็ต้องมัดแขนจริงๆ ของเขาไว้ข้างหลังนานตั้งชั่วโมง
.
19. ชวาร์เซเน็กเกอร์มาถ่ายทำหนังช้าไปสองวันเพราะเขาไม่พอใจที่ทีมงานทำเสื้อหนังได้ดูไม่แมนพอ
.
20. ฉากโปรดของชวาร์เซเน็กเกอร์คือทุกฉากที่เทอร์มิเนเตอร์พยายามจะทำตัวให้เหมือนมนุษย์ เพราะเขาคิดว่า เทอร์มิเนเตอร์ต้องผสมผสานระหว่างความเป็นเครื่องจักรและความเป็นคนเข้ากันให้ได้ และที่เจ๋งกว่าคือ เจ้าคนเหล็กมักไม่ประสบความสำเร็จนักเมื่อพยายามจะฝืนตัวเองให้เหมือนมนุษย์ และนั่นทำให้ผู้ชมหัวเราะดังลั่นซึ่งชวาร์เซเน็กเกอร์พอใจเอามากๆ : )
ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันเรื่องภาพยนตร์กันนะคะ
Page: https://www.facebook.com/llkhimll
Blog: http://llkhimll.wordpress.com/