ยินดีต้อนรับการกลับมาของกลุ่มสามทหารเสือแห่งยานเอ็นเตอร์ไพรซ์ค่ะ เฮ~
รอหนังเรื่องนี้มานานมากกกกกกก รอรอบ Sneak Preview ที่ปกติน่าจะมีแต่ปีนี้ก็กลับไม่มี (ทำไม หนูไม่เข้าใจ) แปลกดีทั้งที่ปีนี้ครบรอบ 50 ปีแท้ๆ แต่กลับเงียบเหงายังไงก็ไม่รู้ค่ะ ไม่รู้ว่าเป็นเฉพาะที่บ้านเรารึเปล่า หวังว่าจะไม่ล่ะนะ
หนังสนุกมากค่ะ ปล่อยมุกดีมากแบบไม่ยัดเยียด ตลกแทบทุกซีนโดยเฉพาะซีนที่หมอโบนส์อยู่กับสป็อค (ภาคหน้าขอพี่ไซม่อนกับพี่จุงมาเขียนบทอีกนะ) การกำกับของจัสตินแตกต่างจากของเจเจแบบค่อนข้างชัดมากเลยในสายตาเรา เท่าที่สังเกตคือของเจเจการดำเนินเรื่องจะเป็นไปอย่างพอดีๆ ไม่รีบเร่งมากแต่ต่อเนื่องไปจนถึงจุดไคลแม็กซ์ ในขณะที่งานของจัสตินช่วงแรกจะเอื่อยเฉื่อยมากกว่าจนระหว่างที่ดูเริ่มจะคิดว่าดำเนินเรื่องช้าไปรึเปล่านะก็...ตูมมมม จัสตินจัดหนักปล่อยของออกมาทีเดียวจนคนดูแทบไม่ได้หายใจหายคอกันเลยทีเดียว
เราชอบมากกับการกระจายบทของตัวละครในยานเอ็นเตอร์ไพรซ์ภาคนี้ เพราะเราได้เห็นการทำงานของพวกเขามากขึ้นมากกว่าจะเห็นภาพเฉพาะที่หอบังคับการ เราเห็นความเป็นเอกภาพ (Unity) จากการทำงานและการระแวดระวังหลังให้แก่กันและกัน ที่สำคัญคือเราชอบการปรับบทของไซม่อนและจุงที่ดึงความเป็น The Originals Series ให้กลับมาอย่างชัดเจนยิ่งกว่าเดิม รวมไปถึงการให้ความเคารพต่อทีมนักแสดงชุดเดิมที่บัดนี้เหลือเพียงแค่ 4 คนอีกด้วย
ต่อจากนี้ไปมีสปอยแล้วนะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เราชอบที่บทเล่าเรื่องมาถึงจุดอิ่มตัวและจุดหักเหอันต่อเนื่องมาจากทั้งสองภาคก่อนหน้า ทั้งในส่วนที่ชาววัลแคนเหลือน้อยจากการถูกนีโรทำลายดาว (Star Trek 2009) และความสับสนของเคิร์กที่ออกเดินทางสู่การสำรวจที่เขาเฝ้ารอมาตลอดทั้งที่เพิ่งผ่านมาแค่สองสามปี (Star Trek Into Darkness)
เพราะจุดเปลี่ยนในสายตาเราหมายถึงการเติบโต ตัวละครทั้งเคิร์กและสป็อคไม่ใช่เพียงคนหนุ่มที่จะคิดถึงแค่ ณ ช่วงเวลาที่เป็นอยู่ พวกเขาเริ่มมองไปถึงอนาคตข้างหน้า มองแล้วก็สับสนกับมัน เมื่อขาดราชทูตสป็อคไปทำให้ตัวสป็อคเองเริ่มตั้งคำถาม เขาสูญเสียตัวตนอีกคนหนึ่งที่จะทำหน้าที่ "แทน" ในส่วนของเขาไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นมันถึงเวลาที่เขาจะต้องทำตามหน้าที่มากกว่าตามความรู้สึกอย่างที่ตัวเขาอีกคนหนึ่งเคยบอกไว้รึเปล่า
และสำหรับเคิร์ก ในตอนนี้เขาก็ได้เดินทางมาถึงจุดที่เขาไม่แน่ใจ ไม่แน่ใจว่าการที่เขามาเข้าสตาร์ฟลีทและเป็นกัปตันยานเอ็นเตอร์ไพรซ์ว่าตกลงแล้วมันเป็นความฝันของเขาเองหรือของพ่อกัน
เราชอบที่จัสติน ลินพูดถึงประเด็นข้างต้นนี้อย่างหนักแน่นและไม่มีเอนเอียงเลยตลอดการเล่าเรื่องนะคะ มันชัดเจนมากในการตัดสินใจของตัวละครอย่างเคิร์กและสป็อคในแต่ละครั้ง และที่สำคัญ...มันส่งผลต่อความคิด คำพูด ไปตลอดจนการกระทำของตัวละครลูกเรือคนอื่นๆ ด้วย สป็อคมองว่าการประจำการอยู่ที่เอ็นเตอร์ไพรซ์เป็นการใช้ความรู้สึกนำหน้า ซึ่งต่างจากการที่เขาจะต้องช่วยดำรงรักษาซึ่งเผ่าพันธุ์อันเป็นหน้าที่ แต่เขาคงลืมไปว่าพันธะที่เขามีต่อเอ็นเตอร์ไพรซ์นั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาทำตามแต่ใจไปเสียหมดเช่นกัน มันยังมีหน้าที่แฝงอยู่ในนั้นทั้งในฐานะของต้นเรือ คนรัก และครอบครัว
เช่นเดียวกับเคิร์กที่อาจจะหลงลืมไปว่า เขาไม่ใช่แค่อยากมาเป็นกัปตันยานตามอย่างพ่อ แต่เขามาอยู่ที่นี่ ณ ตอนนี้ เพราะครอบครัวคนสำคัญของเขาอยู่ตรงนี้ และเขาก็แค่อยากจะร่วมเดินทางไปด้วยกัน มันก็เท่านั้นเอง
ปล. สำคัญมากๆ (สำหรับเราเอง) คือขอคารวะในความเป็น Trekkie ของทั้งจัสตินและไซม่อน (พี่คาร์ลด้วย) ที่ดึงความเป็น Star Trek แบบ Original ออกมาได้อย่างครบถ้วน ขอบคุณมากที่คืนความเป็นสามทหารเสือเคิร์ก สป็อค แม็คคอยมาให้เรา (เหล่าผู้ที่รวมกลุ่มกันไปไหน เรือหายวายป่วงกันที่นั่น แล้วก็ใช่ว่าเราจะไม่ชอบอูฮูร่าหรืออะไรนะคะ มันแค่...ยังไม่ใช่กลุ่ม Trio แบบที่เราจำได้น่ะ)
ปล2. ขอบคุณมุกฮาๆ ที่ทำเราคิดถึงเวอร์ชั่นซีรีส์ทุกครั้งที่เขาพูดกันออกมา ทั้งมุกเสื้อกัปตันขาด Again and again and again มุกจิกกัดสไตล์คุณหมอ ผู้ซึ่งควรจะปากจัดประมาณนี้มาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว และมุก Emotional Compromised ที่ทำเราสงสัยมากว่าหลุดขนาดนี้ สงสัยสป็อคจะเข้าช่วง Pon Farr แล้วซะล่ะมั้ง (ฮาาาา)
ปล3. และขอบคุณ...รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่คนเคยดูเวอร์ชั่นซีรีส์เห็นแล้วจะต้องอมยิ้มด้วยความเข้าใจ จะด้วยคำพูดคลาสสิคจากน้องเชคอฟก็ดี ความเป็นแฟนบอยของน้องเชคอฟต่อกัปตันก็ดี ความ Bad ass ของซูลูก็ดี เราชอบมากๆ ทุกอย่างเลยค่ะ (ภาคนี้จะมีขัดใจบ้างก็แค่รายละเอียดปลีกย่อยของเหล่าตัวร้ายเท่านั้น)
[CR] [Review + Spoil] Star Trek Beyond สูงสุดคืนสู่สามัญ หวนคืนสู่ความเป็น TOS
ยินดีต้อนรับการกลับมาของกลุ่มสามทหารเสือแห่งยานเอ็นเตอร์ไพรซ์ค่ะ เฮ~
รอหนังเรื่องนี้มานานมากกกกกกก รอรอบ Sneak Preview ที่ปกติน่าจะมีแต่ปีนี้ก็กลับไม่มี (ทำไม หนูไม่เข้าใจ) แปลกดีทั้งที่ปีนี้ครบรอบ 50 ปีแท้ๆ แต่กลับเงียบเหงายังไงก็ไม่รู้ค่ะ ไม่รู้ว่าเป็นเฉพาะที่บ้านเรารึเปล่า หวังว่าจะไม่ล่ะนะ
หนังสนุกมากค่ะ ปล่อยมุกดีมากแบบไม่ยัดเยียด ตลกแทบทุกซีนโดยเฉพาะซีนที่หมอโบนส์อยู่กับสป็อค (ภาคหน้าขอพี่ไซม่อนกับพี่จุงมาเขียนบทอีกนะ) การกำกับของจัสตินแตกต่างจากของเจเจแบบค่อนข้างชัดมากเลยในสายตาเรา เท่าที่สังเกตคือของเจเจการดำเนินเรื่องจะเป็นไปอย่างพอดีๆ ไม่รีบเร่งมากแต่ต่อเนื่องไปจนถึงจุดไคลแม็กซ์ ในขณะที่งานของจัสตินช่วงแรกจะเอื่อยเฉื่อยมากกว่าจนระหว่างที่ดูเริ่มจะคิดว่าดำเนินเรื่องช้าไปรึเปล่านะก็...ตูมมมม จัสตินจัดหนักปล่อยของออกมาทีเดียวจนคนดูแทบไม่ได้หายใจหายคอกันเลยทีเดียว
เราชอบมากกับการกระจายบทของตัวละครในยานเอ็นเตอร์ไพรซ์ภาคนี้ เพราะเราได้เห็นการทำงานของพวกเขามากขึ้นมากกว่าจะเห็นภาพเฉพาะที่หอบังคับการ เราเห็นความเป็นเอกภาพ (Unity) จากการทำงานและการระแวดระวังหลังให้แก่กันและกัน ที่สำคัญคือเราชอบการปรับบทของไซม่อนและจุงที่ดึงความเป็น The Originals Series ให้กลับมาอย่างชัดเจนยิ่งกว่าเดิม รวมไปถึงการให้ความเคารพต่อทีมนักแสดงชุดเดิมที่บัดนี้เหลือเพียงแค่ 4 คนอีกด้วย
ต่อจากนี้ไปมีสปอยแล้วนะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปล. สำคัญมากๆ (สำหรับเราเอง) คือขอคารวะในความเป็น Trekkie ของทั้งจัสตินและไซม่อน (พี่คาร์ลด้วย) ที่ดึงความเป็น Star Trek แบบ Original ออกมาได้อย่างครบถ้วน ขอบคุณมากที่คืนความเป็นสามทหารเสือเคิร์ก สป็อค แม็คคอยมาให้เรา (เหล่าผู้ที่รวมกลุ่มกันไปไหน เรือหายวายป่วงกันที่นั่น แล้วก็ใช่ว่าเราจะไม่ชอบอูฮูร่าหรืออะไรนะคะ มันแค่...ยังไม่ใช่กลุ่ม Trio แบบที่เราจำได้น่ะ)
ปล2. ขอบคุณมุกฮาๆ ที่ทำเราคิดถึงเวอร์ชั่นซีรีส์ทุกครั้งที่เขาพูดกันออกมา ทั้งมุกเสื้อกัปตันขาด Again and again and again มุกจิกกัดสไตล์คุณหมอ ผู้ซึ่งควรจะปากจัดประมาณนี้มาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว และมุก Emotional Compromised ที่ทำเราสงสัยมากว่าหลุดขนาดนี้ สงสัยสป็อคจะเข้าช่วง Pon Farr แล้วซะล่ะมั้ง (ฮาาาา)
ปล3. และขอบคุณ...รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่คนเคยดูเวอร์ชั่นซีรีส์เห็นแล้วจะต้องอมยิ้มด้วยความเข้าใจ จะด้วยคำพูดคลาสสิคจากน้องเชคอฟก็ดี ความเป็นแฟนบอยของน้องเชคอฟต่อกัปตันก็ดี ความ Bad ass ของซูลูก็ดี เราชอบมากๆ ทุกอย่างเลยค่ะ (ภาคนี้จะมีขัดใจบ้างก็แค่รายละเอียดปลีกย่อยของเหล่าตัวร้ายเท่านั้น)