สวัสดีค่ะ
ขอเกริ่นยาวหน่อยนะคะ ก่อนจะสรุปเข้าคำถาม (ซึ่งสั้นนิดเดียว) เราอยากให้รู้ถึงความคิด ความชอบ และแรงบันดาลใจของเราจริงๆ ขอเริ่มเล่าว่าเราเรียนป.ตรีอะไรมาก่อนแล้วกัน
เราเพิ่งจบศิลปศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ วิชาที่เรียนมาจะเกี่ยวกับโลกตะวันตกทั้งหมด ภาษา วัฒนธรรม ศิลปะ ประวัติศาสตร์ เศรษกิจ การเมือง ซึ่งจริงๆก็เป็นอะไรที่เราชอบมาตั้งแต่เด็กๆ คือที่บ้านจะมาสายศิลปะกันหมดเลย คุณพ่อคุณแม่อ่านวรรณกรรมตะวันตก ไปดูงานศิลปะ ฟังเพลงคลาสสิค ดูหนังรางวัล เราก็เลยได้รับอิทธิพลตรงนี้มาด้วย พอขึ้นมอปลายก็เลือกเรียนสายศิลป์แน่นอน อันแรกเลยคือชอบ อันที่สองคือโง่เลขกับวิทยฯ 55555 พอมาประมาณมอห้า ก็เริ่มรู้ตัวเองแน่ๆแล้วว่าอยากเรียนอะไร ตอนนั้นชอบอ่านวรรณกรรมคลาสสิคมาก ก็เลยตั้งใจสอบเข้าคณะที่อยากเข้าจนติด ที่บ้านไม่เคยบังคับอะไรเรื่องการเรียนเลย เราเองก็ไม่ได้คิดว่าในอนาคตจะทำอะไร ตอนนั้นมองคร่าวๆว่าก็คงทำงานกับหนังสือแหละ เพราะนอกจากชอบอ่าน เราก็ชอบเขียนด้วย
ระหว่างเรียนเราก็ทำงานไปด้วยค่ะ เป็น freelance เขียนคอลัมน์ น่าจะเริ่มทำตั้งแต่ประมาณปี 2 ตอนนี้เพิ่งจบก็ยังทำอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่รับรู้ได้คือ รู้สึกว่าตัวเองไม่อยากเป็นนักเขียน ไม่อยากทำงานเขียนแล้ว ชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็กก็จริง ทุกวันนี้ก็ยังชอบอยู่ แต่รู้สึกว่าไม่อยากทำงานด้านนี้เลย เราเป็นคนค่อนข้าง emotional ด้วยแหละ เลยรู้สึกไม่อยากทำงานอะไรที่มันต้องลงความรู้สึก งานสายศิลป์นี่ตัวดีเลย อยากเก็บความชอบพวกนี้ไว้เป็นอะไรที่เราได้หันกลับไปในเวลาว่างหรือเวลาสบายๆมากกว่า อีกประเด็นคืองานสายนี้ไม่ค่อยทำเงิน คือจริงนะที่เราควรทำงานที่เรารัก แต่เงินมันก็สำคัญมากในยุคนี้
แต่การจะเปลี่ยนสายของเราไม่ใช่เปลี่ยนไปฝืนทำอะไรที่ไม่ชอบ แค่เพราะอยากได้เงินนะ คือเรามาด้านศิลปะก็จริง แต่เราก็สนใจสายธุรกิจมากๆ เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เท่านั้น ที่บ้านก็ไม่มีใครแนะนำได้ ที่เรารู้สึกสนใจสายธุรกิจ เพราะมันดูเป็นอะไรที่ practical แล้วก็ professional เวลาเราไปแถวสาธร แล้วเห็นนักธุรกิจแต่งตัวเนี๊ยบๆ นี่รู้สึกว่าโค่ดเท่ อยู่ๆก็รู้สึกอยากทำงานในตึกแถวนั้น แต่งตัวเนี๊ยบๆแบบนั้น อยากทำงานที่มันมี progress และก็มีอะไรท้าทายตลอดเวลา งานเขียนสำหรับเรามันต้องหาแรงบันดาลใจ ต้องใส่อารมณ์ มันจะมาแนวๆนี้อ่า เข้าใจใช่มั้ย มันเลยรู้สึกเหมือนวนอยู่ใน loop แต่ถ้าเป็นธุรกิจ การตลาด หรือในสาย digital มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงทุกวัน มันรู้สึกท้าทาย รู้สึกว่าการทำงานตรงนั้น เราจะไม่ต้องเดินเป็นวงกลมแบบการทำงานศิลปะ แต่เราจะเดินขึ้นข้างบนอ่า อันนี้คือความรู้สึกเรานะคะ
ตั้งแต่จบมาก็พยายามหางานประจำทำ ถ้าเป็นสายธุรกิจการตลาดที่ว่าตรงๆเลย แน่นอนว่าไม่มีใครรับ bachelor's of arts แน่ๆ ก็เลยพยายามหาประมาณงานเขียน content เพราะพวกนี้ก็ต้องอาศัยทักษะการตลาดนิดนึง แต่ประเด็นคือจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ลงตัว ยังรับงาน freelance อยู่ ทั้งงานเขียน แล้วก็งานอื่นที่ก็ยังอยู่ในวงการศิลปะ จนนี่ก็จะสิงหาแล้ว ยังไม่ได้งานประจำ แล้วตั้งใจว่าจะไปต่อโทปีหน้าเลย เพราะเรารู้สึกว่าถ้าเริ่มทำงานไปแล้วก็อยากให้มัน progress ไปเรื่อยๆ ไม่อยากให้ถึงจุดหนึ่งต้องมาหยุด เพื่อไปเรียนต่อ ก็เลยคิดว่าคงหางานประจำไม่ทันแล้วมั้ง เพราะส่วนใหญ่ถ้าจะทำแค่ปี และนี่ไม่ถึงปีแล้วด้วยซ้ำ เขาคงไม่รับ ก็เลยกะรับงาน freelance ไปเรื่อยๆก่อน
แล้วจริงๆเราอยากทำงานในบริษัทต่างชาติมานานแล้ว เพราะเรียนมาเป็นภาษาอังกฤษ แต่พอเรียนสายภาษามา มันก็ดูจะทำได้แค่งานเขียน แล้วถ้าไปต่างประเทศสายนี้ยิ่งดูเป็นไปไม่ได้เลย เพราะถ้าด้านเขียนภาษาอังกฤษ เขาก็จ้าง native ทำเลยน่าจะดีกว่า อยากทำงานในบริษัทต่างชาติไม่เท่าอยากทำงานต่างประเทศ จริงๆเราก็น่าจะเหมือนเด็กไทยหลายๆคนทุกวันนี้ที่เบื่อกับระบบอะไรหลายอย่างในประเทศมาก เรารักประเทศนี้ รักวัฒนธรรมที่นี่นะ แต่พอพูดถึงระบบการทำงาน หรืออย่างอื่นซึ่งไม่ขอลงรายละเอียด มันก็รู้สึกไม่โอเคขึ้นมาทันที แล้วเราก็มีปัญหาส่วนตัวบางอย่างที่สร้างความอึดอัดมาแทบทั้งชีวิต แล้วรู้สึกว่าอยากออกไปจากตรงนี้มานาน แต่ก็ไม่เคยได้พยายาม เพราะรู้สึกว่าคงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
แต่ตอนนี้เพิ่งกลับมาจากทริปไปเที่ยวยุโรป เฉาไปเลย คืออยู่ที่นั่นมีแรงบันดาลใจหลายอย่างมาก โดยเฉพาะสายการทำงาน คือเราเรียนศิลปะมาใช่มั้ย ก็ไปตระเวณเที่ยวพิพิธภัณฑ์มาเยอะมาก ตั้งแต่ louvre ที่ปารีส ยัน rijskmuseum ที่อัมสเตอดัม แต่กลายเป็นว่าเรารู้สึกไม่ค่อยตื่นเต้น แต่กลับตื่นเต้นมากตอนไป EU commission ที่บรัสเซลส์ คือเราก็เรียนเรื่องพวกนี้มาด้วย คืออย่างที่บอกว่านอกจากศิลปะ ก็ได้เรียนพวกเศรษฐกิจ การเมือง IR เบาๆมาด้วย น่าสนใจมากนะ เราก็ชอบติดตามข่าวพวกนี้ แต่ตอนเรียนรู้สึกอินวรรณกรรมมากกว่า แต่พอไปเที่ยวกลายเป็นว่า รู้สึกมั่นใจกว่าเดิมว่า งานสายศิลปะไม่ใช่สิ่งที่อยากทำ การไปเห็นคนใส่สูท นั่งถกกันในร้านกาแฟที่ EU commission แล้วรู้สึกว่าแบบ โอ้ย อยากทำงานลุคนั้นบ้าง
แล้วตอนนี้คุยกับหนุ่มยุโรปคนนึงอยู่ ปีกว่าแล้วค่ะ เขาอายุมากกว่า ทำงานระดับสูงด้าน IT เราเลยยิ่งมีแรงบันดาลใจ คือเขา professional มาก เราชื่นชมเขามาก พอเรากลับมามองตัวเอง บางทีรู้สึกว่า เรียนศิลปะมาทำไมวะเนี่ย (คือมันก็มีข้อดีหลายอย่างแหละนะ แต่ก็อดคิดขำๆ (หรอ 5555) ไม่ได้พอต้องหางานจริงจัง)
พอกลับจากทริปยุโรปมาเจอบรรยากาศเดิมๆ บวกกับความรู้สึก lost เรื่องการทำงาน แล้วก็เรื่องที่เรียนที่ยังไม่เคยค้นหาจริงๆจังๆ เลยมีเป้าหมายใหม่ว่าจะต้องทำยังไงก็ได้ให้มีโอกาสได้ไปทำงานอยู่ยุโรปให้ได้ แต่ไม่ใช่งานร้านอาหาร เพราะเราไม่เก่งด้านนี้ ตั้งใจตั้งแต่ยังไม่จบว่าอยากไปต่อโทที่เยอรมัน แต่เท่าที่หามา จบ BA แทบไม่มีโอกาสจะต่อโทด้าน business-related ในมหาวิทลัยรัฐได้เลย เลยลองเล็งๆเอกชน (เผื่อใครมีคำแนะนำ ตอนนี้ดู ESCP Europe ที่ Berlin, WHU ที่ Dusseldorf แล้วก็ Frankfurt School of Finance and Management อยู่ ไม่แน่ใจว่าโอเคมั้ย เข้ายากมั้ย) แต่ที่อยู่ๆก็ไม่แน่ใจคือ จะเรียนการตลาดแน่ๆจริงมั้ย หรือเรียนอย่างอื่นดี จริงๆเราเคยอยากทำงานกับ UN หรือองค์กรนานาชาติอะไรประมาณนั้นเหมือนกันนะ แต่ดูจะเข้าไปทำยากเหลือเกิน TT
ที่เล่ามาข้างบนทั้งหมดเราอยากระบายความอึดอัด มันเลยอาจจะฟังวนไปวนมาบ้าง อย่าว่าเราน้า 5555 แล้วจริงๆคืออยากสื่อว่า ถึงเราจะชอบศิลปะและเรียนด้านนั้นมา แต่เราก็สนใจด้านอื่นด้วยแบบจริงจัง ถ้าเรียนด้านอื่นหรือทำงานด้านอื่นก็จะไม่เรียกว่าฝืน (ถึงแม้อาจจะต้องทนทุกข์กับเลขก็ตาม 5555) แล้วก็อยากถามจริงๆว่า ถ้าอยากจะทำงานที่ค่อนข้าง professional นิดนึง หรืองานที่มี progress ในยุโรป ควรเรียนอะไรดี marketing นี่ทั่วไปเกินไปหรือเปล่า พอมีอะไรที่มีงานน่าสนใจทำแน่ๆ ที่เด็กจบ B.A. แบบเราเรียนได้อีกมั้ย หรือใครมีหนทางทำยังไงให้ได้ไปทำงานอยู่ที่ยุโรปมาเล่าให้ฟังด้วยก็ได้นะคะ อยากได้แรงบันดาลใจเพิ่ม
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ
แล้วก็ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำแนะนำด้วยค่ะ
ต่อโทอะไร หรือทำยังไง ให้ได้ไปทำงานอยู่ยุโรป
ขอเกริ่นยาวหน่อยนะคะ ก่อนจะสรุปเข้าคำถาม (ซึ่งสั้นนิดเดียว) เราอยากให้รู้ถึงความคิด ความชอบ และแรงบันดาลใจของเราจริงๆ ขอเริ่มเล่าว่าเราเรียนป.ตรีอะไรมาก่อนแล้วกัน
เราเพิ่งจบศิลปศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ วิชาที่เรียนมาจะเกี่ยวกับโลกตะวันตกทั้งหมด ภาษา วัฒนธรรม ศิลปะ ประวัติศาสตร์ เศรษกิจ การเมือง ซึ่งจริงๆก็เป็นอะไรที่เราชอบมาตั้งแต่เด็กๆ คือที่บ้านจะมาสายศิลปะกันหมดเลย คุณพ่อคุณแม่อ่านวรรณกรรมตะวันตก ไปดูงานศิลปะ ฟังเพลงคลาสสิค ดูหนังรางวัล เราก็เลยได้รับอิทธิพลตรงนี้มาด้วย พอขึ้นมอปลายก็เลือกเรียนสายศิลป์แน่นอน อันแรกเลยคือชอบ อันที่สองคือโง่เลขกับวิทยฯ 55555 พอมาประมาณมอห้า ก็เริ่มรู้ตัวเองแน่ๆแล้วว่าอยากเรียนอะไร ตอนนั้นชอบอ่านวรรณกรรมคลาสสิคมาก ก็เลยตั้งใจสอบเข้าคณะที่อยากเข้าจนติด ที่บ้านไม่เคยบังคับอะไรเรื่องการเรียนเลย เราเองก็ไม่ได้คิดว่าในอนาคตจะทำอะไร ตอนนั้นมองคร่าวๆว่าก็คงทำงานกับหนังสือแหละ เพราะนอกจากชอบอ่าน เราก็ชอบเขียนด้วย
ระหว่างเรียนเราก็ทำงานไปด้วยค่ะ เป็น freelance เขียนคอลัมน์ น่าจะเริ่มทำตั้งแต่ประมาณปี 2 ตอนนี้เพิ่งจบก็ยังทำอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่รับรู้ได้คือ รู้สึกว่าตัวเองไม่อยากเป็นนักเขียน ไม่อยากทำงานเขียนแล้ว ชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็กก็จริง ทุกวันนี้ก็ยังชอบอยู่ แต่รู้สึกว่าไม่อยากทำงานด้านนี้เลย เราเป็นคนค่อนข้าง emotional ด้วยแหละ เลยรู้สึกไม่อยากทำงานอะไรที่มันต้องลงความรู้สึก งานสายศิลป์นี่ตัวดีเลย อยากเก็บความชอบพวกนี้ไว้เป็นอะไรที่เราได้หันกลับไปในเวลาว่างหรือเวลาสบายๆมากกว่า อีกประเด็นคืองานสายนี้ไม่ค่อยทำเงิน คือจริงนะที่เราควรทำงานที่เรารัก แต่เงินมันก็สำคัญมากในยุคนี้
แต่การจะเปลี่ยนสายของเราไม่ใช่เปลี่ยนไปฝืนทำอะไรที่ไม่ชอบ แค่เพราะอยากได้เงินนะ คือเรามาด้านศิลปะก็จริง แต่เราก็สนใจสายธุรกิจมากๆ เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เท่านั้น ที่บ้านก็ไม่มีใครแนะนำได้ ที่เรารู้สึกสนใจสายธุรกิจ เพราะมันดูเป็นอะไรที่ practical แล้วก็ professional เวลาเราไปแถวสาธร แล้วเห็นนักธุรกิจแต่งตัวเนี๊ยบๆ นี่รู้สึกว่าโค่ดเท่ อยู่ๆก็รู้สึกอยากทำงานในตึกแถวนั้น แต่งตัวเนี๊ยบๆแบบนั้น อยากทำงานที่มันมี progress และก็มีอะไรท้าทายตลอดเวลา งานเขียนสำหรับเรามันต้องหาแรงบันดาลใจ ต้องใส่อารมณ์ มันจะมาแนวๆนี้อ่า เข้าใจใช่มั้ย มันเลยรู้สึกเหมือนวนอยู่ใน loop แต่ถ้าเป็นธุรกิจ การตลาด หรือในสาย digital มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงทุกวัน มันรู้สึกท้าทาย รู้สึกว่าการทำงานตรงนั้น เราจะไม่ต้องเดินเป็นวงกลมแบบการทำงานศิลปะ แต่เราจะเดินขึ้นข้างบนอ่า อันนี้คือความรู้สึกเรานะคะ
ตั้งแต่จบมาก็พยายามหางานประจำทำ ถ้าเป็นสายธุรกิจการตลาดที่ว่าตรงๆเลย แน่นอนว่าไม่มีใครรับ bachelor's of arts แน่ๆ ก็เลยพยายามหาประมาณงานเขียน content เพราะพวกนี้ก็ต้องอาศัยทักษะการตลาดนิดนึง แต่ประเด็นคือจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ลงตัว ยังรับงาน freelance อยู่ ทั้งงานเขียน แล้วก็งานอื่นที่ก็ยังอยู่ในวงการศิลปะ จนนี่ก็จะสิงหาแล้ว ยังไม่ได้งานประจำ แล้วตั้งใจว่าจะไปต่อโทปีหน้าเลย เพราะเรารู้สึกว่าถ้าเริ่มทำงานไปแล้วก็อยากให้มัน progress ไปเรื่อยๆ ไม่อยากให้ถึงจุดหนึ่งต้องมาหยุด เพื่อไปเรียนต่อ ก็เลยคิดว่าคงหางานประจำไม่ทันแล้วมั้ง เพราะส่วนใหญ่ถ้าจะทำแค่ปี และนี่ไม่ถึงปีแล้วด้วยซ้ำ เขาคงไม่รับ ก็เลยกะรับงาน freelance ไปเรื่อยๆก่อน
แล้วจริงๆเราอยากทำงานในบริษัทต่างชาติมานานแล้ว เพราะเรียนมาเป็นภาษาอังกฤษ แต่พอเรียนสายภาษามา มันก็ดูจะทำได้แค่งานเขียน แล้วถ้าไปต่างประเทศสายนี้ยิ่งดูเป็นไปไม่ได้เลย เพราะถ้าด้านเขียนภาษาอังกฤษ เขาก็จ้าง native ทำเลยน่าจะดีกว่า อยากทำงานในบริษัทต่างชาติไม่เท่าอยากทำงานต่างประเทศ จริงๆเราก็น่าจะเหมือนเด็กไทยหลายๆคนทุกวันนี้ที่เบื่อกับระบบอะไรหลายอย่างในประเทศมาก เรารักประเทศนี้ รักวัฒนธรรมที่นี่นะ แต่พอพูดถึงระบบการทำงาน หรืออย่างอื่นซึ่งไม่ขอลงรายละเอียด มันก็รู้สึกไม่โอเคขึ้นมาทันที แล้วเราก็มีปัญหาส่วนตัวบางอย่างที่สร้างความอึดอัดมาแทบทั้งชีวิต แล้วรู้สึกว่าอยากออกไปจากตรงนี้มานาน แต่ก็ไม่เคยได้พยายาม เพราะรู้สึกว่าคงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
แต่ตอนนี้เพิ่งกลับมาจากทริปไปเที่ยวยุโรป เฉาไปเลย คืออยู่ที่นั่นมีแรงบันดาลใจหลายอย่างมาก โดยเฉพาะสายการทำงาน คือเราเรียนศิลปะมาใช่มั้ย ก็ไปตระเวณเที่ยวพิพิธภัณฑ์มาเยอะมาก ตั้งแต่ louvre ที่ปารีส ยัน rijskmuseum ที่อัมสเตอดัม แต่กลายเป็นว่าเรารู้สึกไม่ค่อยตื่นเต้น แต่กลับตื่นเต้นมากตอนไป EU commission ที่บรัสเซลส์ คือเราก็เรียนเรื่องพวกนี้มาด้วย คืออย่างที่บอกว่านอกจากศิลปะ ก็ได้เรียนพวกเศรษฐกิจ การเมือง IR เบาๆมาด้วย น่าสนใจมากนะ เราก็ชอบติดตามข่าวพวกนี้ แต่ตอนเรียนรู้สึกอินวรรณกรรมมากกว่า แต่พอไปเที่ยวกลายเป็นว่า รู้สึกมั่นใจกว่าเดิมว่า งานสายศิลปะไม่ใช่สิ่งที่อยากทำ การไปเห็นคนใส่สูท นั่งถกกันในร้านกาแฟที่ EU commission แล้วรู้สึกว่าแบบ โอ้ย อยากทำงานลุคนั้นบ้าง
แล้วตอนนี้คุยกับหนุ่มยุโรปคนนึงอยู่ ปีกว่าแล้วค่ะ เขาอายุมากกว่า ทำงานระดับสูงด้าน IT เราเลยยิ่งมีแรงบันดาลใจ คือเขา professional มาก เราชื่นชมเขามาก พอเรากลับมามองตัวเอง บางทีรู้สึกว่า เรียนศิลปะมาทำไมวะเนี่ย (คือมันก็มีข้อดีหลายอย่างแหละนะ แต่ก็อดคิดขำๆ (หรอ 5555) ไม่ได้พอต้องหางานจริงจัง)
พอกลับจากทริปยุโรปมาเจอบรรยากาศเดิมๆ บวกกับความรู้สึก lost เรื่องการทำงาน แล้วก็เรื่องที่เรียนที่ยังไม่เคยค้นหาจริงๆจังๆ เลยมีเป้าหมายใหม่ว่าจะต้องทำยังไงก็ได้ให้มีโอกาสได้ไปทำงานอยู่ยุโรปให้ได้ แต่ไม่ใช่งานร้านอาหาร เพราะเราไม่เก่งด้านนี้ ตั้งใจตั้งแต่ยังไม่จบว่าอยากไปต่อโทที่เยอรมัน แต่เท่าที่หามา จบ BA แทบไม่มีโอกาสจะต่อโทด้าน business-related ในมหาวิทลัยรัฐได้เลย เลยลองเล็งๆเอกชน (เผื่อใครมีคำแนะนำ ตอนนี้ดู ESCP Europe ที่ Berlin, WHU ที่ Dusseldorf แล้วก็ Frankfurt School of Finance and Management อยู่ ไม่แน่ใจว่าโอเคมั้ย เข้ายากมั้ย) แต่ที่อยู่ๆก็ไม่แน่ใจคือ จะเรียนการตลาดแน่ๆจริงมั้ย หรือเรียนอย่างอื่นดี จริงๆเราเคยอยากทำงานกับ UN หรือองค์กรนานาชาติอะไรประมาณนั้นเหมือนกันนะ แต่ดูจะเข้าไปทำยากเหลือเกิน TT
ที่เล่ามาข้างบนทั้งหมดเราอยากระบายความอึดอัด มันเลยอาจจะฟังวนไปวนมาบ้าง อย่าว่าเราน้า 5555 แล้วจริงๆคืออยากสื่อว่า ถึงเราจะชอบศิลปะและเรียนด้านนั้นมา แต่เราก็สนใจด้านอื่นด้วยแบบจริงจัง ถ้าเรียนด้านอื่นหรือทำงานด้านอื่นก็จะไม่เรียกว่าฝืน (ถึงแม้อาจจะต้องทนทุกข์กับเลขก็ตาม 5555) แล้วก็อยากถามจริงๆว่า ถ้าอยากจะทำงานที่ค่อนข้าง professional นิดนึง หรืองานที่มี progress ในยุโรป ควรเรียนอะไรดี marketing นี่ทั่วไปเกินไปหรือเปล่า พอมีอะไรที่มีงานน่าสนใจทำแน่ๆ ที่เด็กจบ B.A. แบบเราเรียนได้อีกมั้ย หรือใครมีหนทางทำยังไงให้ได้ไปทำงานอยู่ที่ยุโรปมาเล่าให้ฟังด้วยก็ได้นะคะ อยากได้แรงบันดาลใจเพิ่ม
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ
แล้วก็ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำแนะนำด้วยค่ะ