โฮมเลส : เรื่องราวเหล่านักผจญภัย ที่ก้าวเท้าออกจากบ้าน เพื่อค้นหาความหมายของชีวิตผ่านการเดินทาง
หลังจากที่ผมได้เปิด adventure hostel มา 8 เดือน และได้พบพานนักเดินทางที่น่าสนใจมากมาย
จึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะแบ่งปันเรื่องราวของเหล่า "คนไร้บ้าน" เหล่านี้ ให้กับผู้คน
:::HOMELESS 01 : Eva The Luckiest woman on earth:::
หลังจากท่องเที่ยวในประเทศไทย และดำน้ำมาเป็นเดือน อีวาแวะมาพักที่แอดเวนเจอร์ โฮสเทล ก่อนจะบินกลับประเทศของตัวเอง เธอวางแผนว่าจะไปเดินซื้อของฝากเพื่อนๆ ที่ตลาดนัดจตุจักร 3-4 ชั่วโมงถัดมา เธอกลับมาพร้อมของในถุงพลาสติคเต็ม 2 มือ ในสภาพเหงื่อโทรมกาย บอกว่าอยากจะอาบน้ำก่อนที่จะขึ้นเครื่องจะได้ refresh หน่อย ผมแจ้งค่าใช้จ่ายไปตามความเหมาะสม
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอมานั่งจัดเรียงข้าวของที่ซื้อมาใหม่ลงในกระเป๋า ใกล้ๆ ที่นั่งที่ผมทำงาน บทสนทนาจึงได้เริ่มต้นขึ้น “Where you come from?” ผมเปิดตัวด้วยคำถามมหาชน ”Germany”.......โอเค....มาจากประเทศนี้ก็พอมีเรื่องคุยกันได้บ้าง
เธอเล่าว่า ทำงานเป็น intern อยู่ที่บริษัทผลิตงาน Music & Media ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งใน Berlin กำลังลุ้นอยู่ว่าจะได้พิจารณาเข้างานหรือไม่ การมาเที่ยวครั้งนี้ของเธอ มาแบบ solo traveler แม่เธอไม่สู้จะเห็นด้วยกับการท่องเที่ยวแบบนี้เท่าไหร่ แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อปีกของเธอนั้นกว้างกว่ากรงเสียแล้ว
หลังจากแลกเปลี่ยนเสียงหัวเราะกันสักพัก ด้วยความคุ้นเคยกับหน้าตาของคนเยอรมันอยู่บ้าง และเห็นว่าเธอมาจากเมืองที่มีความหลากหลายของชาติพันธุ์สูงที่สุดใน Germany ผมเริ่มลุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัว ”You don’t look like a native German, where are you from?” อีวาหยุดจัดกระเป๋า หันมามองผมด้วยสายตาของคนที่กำลังชั่งใจ พร้อมส่งยิ้มปริศนามาให้ในพิมพ์เดียวกับที่แม่นางโมนาลิซาทำกับผู้คน
“I am originally from Bosnia” คำตอบของเธอเจือเสียงรถถังและกรุ่นกลิ่นควันปืน เธอเล่าต่อว่า ตอน 4 ขวบ เมืองที่ครอบครัวเธออาศัยอยู่ เริ่มมีสัญญาณของสงครามกลางเมือง พ่อแม่เธอตัดสินใจส่งเธอกับน้องชาย ขึ้นรถไฟหนีไปอยู่ที่ชายแดนเยอรมัน ดินแดนที่ไม่เคยมีใครไป ทั้งครอบครัวกอดกันแน่น พ่อแม่บอกเธอว่าจะรีบตามไปในอีกไม่กี่วัน ซึ่งสุดท้ายกว่าจะได้เจอกันก็ลากยาวมาอีกเป็นปี
ชีวิตในแคมป์อพยพนั้นเป็นเพียงสถานภาพชั่วคราว ทุกๆคน ถูกตีตราลงทะเบียนเอาไว้เพื่อรอวันส่งตัวกลับ ท่ามกลางสถานการณ์ครุกรุ่นใน Bosnia ด้วยสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่สู้ดีนัก พ่อของเธอเริ่มล้มป่วยลง และไม่สามารถทำงานได้ แม่ของเธอต้องกลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัวในชั่วข้ามคืน อดีตแม่บ้านเต็มเวลา ต้องเดินเคาะประตูบ้านทุกหลัง เท่าที่จะก้าวเท้าไปถึง เพื่อขายแรงงานแลกเงินมาประทังชีวิตในครอบครัว
หลังจากใช้ชีวิตในฐานะผู้อพยพในเยอรมันอยู่ 2 ปี สถานการณ์สงครามในบอสเนียเริ่มสงบลง ทางการเยอรมันจึงเริ่มยกเลิกสถานภาพ visa ชั่วคราว พร้อมผลักดันผู้อพยพทั้งหมดอย่างหนักหน่วงให้กลับประเทศ แต่เหล่าผู้อพยพก็ได้ปรับวิถีชีวิตเข้ากับสังคมใหม่ที่เยอรมันได้แล้ว การจะกลับไปฟื้นฟูซากปรักหักพังหลังสงครามในประเทศบ้านเกิดของตน ดูจะไม่ใช่ทางเลือกที่ต้องการ
ขั้นตอนการพิจารณาสถานภาพของผู้อพยพนั้น ทำไปอย่างเคร่งครัดโดยหน่วยงานของรัฐ ถ้าผู้อพยพไม่ได้มีความสามารถทางอะไรเป็นพิเศษที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศเจ้าบ้าน การจะได้ German Citizenship นั้นเป็นเรื่องเกินความคาดหวัง และเมื่อ visa ชั่วคราวหมดอายุลง ทุกคนก็จะต้องถูกผลักดันกลับไป
ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียด เพื่อนๆ ชาว Bosnian ที่อพยพมาด้วยกันหลายครอบครัว ทั้งลูกเด็กเล็กแดงยันคนแก่ ทยอยถูกทางการเยอรมันส่งตัวกลับไปแล้ว อย่างไม่มีข้อต่อรองอันใด ครอบครัวของเธอ อันประกอบไปด้วยแม่บ้าน 1 คน, พ่อที่อยุ่ในสภาพกึ่งทุพพลภาพ และลูกเล็กอีก 2 คน นับเป็นเงื่อนไขสมบูรณ์แบบ ที่จะต้องถูกส่งตัวกลับ ความหวังในการได้อยู่ต่อดูจะริบหรี่เต็มที
“เฮ้ย.....แต่ตอนนี้คุณเป็นคนเยอรมันแล้วนี่???” ผมโพล่งขึ้นมาแบบคนใจร้อนที่ชอบแอบอ่านตอนจบของหนังสือ แล้วค่อยมาตามอ่านส่วนที่เหลือเอาตรงกลางเล่ม
.ในที่สุดวันพิพากษาก็มาถึง เจ้าหน้าที่รัฐสัมภาษณ์ครอบครัวของเธอ ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบเรียบตามระเบียบแบบแผน ไร้ซึ่งอำนาจการต่อรองใดๆ หลังประชุมเสร็จ เจ้าหน้าที่ stamp “อนุมัติ” ให้ครอบครัวของเธอได้วีซ่าระยะยาว อันเป็นขั้นตอนสำคัญที่ทำให้ได้ German Citizenship ต่อไป***
หลังสัมภาษณ์เสร็จ ท่ามกลางความดีใจจนพ่อแม่เธอถึงกับร้องไห้ ทุกคนกล่าวคำขอบคุณพร้อมกับอวยชัยให้พรกันไม่หยุดปาก ”Thank you, Thank you , Thank you.......Merry Christmas”
“Merry Christmas???” ผมทวนย้ำคำของเธอ ทั้งๆ ที่ได้ยินชัดเจน
”yes...Merry Christmas วันพิจารณาสถานภาพ Visa ของพวกเรามันอยู่ในช่วงก่อนเทศกาลคริสมาสต์พอดี มันเป็นเหตุผลเดียวที่ชั้นนึกออกว่าทำไมเจ้าหน้าที่เยอรมันเค้าถึงให้พวกเราอยู่ต่อ มันคงเป็น Spirit of Christmas” อีวาเล่า
“หลายปีต่อมา ชั้นได้กลับไปเยี่ยมหมู่บ้านที่เราเคยอยู่ที่บอสเนีย เพื่อนบ้านในวัยเด็กที่เคยวิ่งเล่นมาด้วยกัน แต่ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความโหดร้ายทารุณของสงคราม ตอนนี้เราต่างเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน เพียงแค่การตัดสินใจที่แตกต่างกันแค่นิดเดียว ทำให้เราผ่านโลกมาคนละใบ”
“ทุกวันนี้ ในเวลาที่ท้อแท้เบื่อหน่าย ชั้นมายืนส่องกระจก บอกตัวเองว่า เราโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ ชั้นเห็นใบหน้าของผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก” อีวาเล่าให้ฟังพร้อมยิ้มยืนยัน ....ใครไหนเล่าจะปฏิเสธเธอได้?....
อีวาจัดกระเป๋าเสร็จ เธอหยิบเงินออกมาจ่ายค่าอาบน้ำ ผมส่ายหน้า... ”You have paid by your story” แม้จะไม่ได้ฟังเรื่องราวของเธอ ลำพังเพียงแค่รอยยิ้มนี้ก็นับว่าแพงกว่าค่าอาบน้ำเสียแล้ว
เราร่ำลากัน กระเป๋า backpack ของเธอตึงตุงไปด้วยของฝาก ผมยืนมองเธอเดินไต่ขึ้นบันไดรถไฟฟ้าพร้อมเป้หนักอึ้งด้านหลัง ผมคิดว่าเธอคงอยากเป็นซานตาคลอสบ้างหลังจากที่ได้เคยเจอ ”ซานตาคลอสตัวจริง” ในชีวิตมาแล้ว
ปล. อีวาและครอบครัวของเธอได้เป็น German Citizenship อย่างสมบูรณ์ในอีก 8 ปีต่อมา
:::HOMELESS 01 : เอวา ผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก:::
หลังจากที่ผมได้เปิด adventure hostel มา 8 เดือน และได้พบพานนักเดินทางที่น่าสนใจมากมาย
จึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะแบ่งปันเรื่องราวของเหล่า "คนไร้บ้าน" เหล่านี้ ให้กับผู้คน
:::HOMELESS 01 : Eva The Luckiest woman on earth:::
หลังจากท่องเที่ยวในประเทศไทย และดำน้ำมาเป็นเดือน อีวาแวะมาพักที่แอดเวนเจอร์ โฮสเทล ก่อนจะบินกลับประเทศของตัวเอง เธอวางแผนว่าจะไปเดินซื้อของฝากเพื่อนๆ ที่ตลาดนัดจตุจักร 3-4 ชั่วโมงถัดมา เธอกลับมาพร้อมของในถุงพลาสติคเต็ม 2 มือ ในสภาพเหงื่อโทรมกาย บอกว่าอยากจะอาบน้ำก่อนที่จะขึ้นเครื่องจะได้ refresh หน่อย ผมแจ้งค่าใช้จ่ายไปตามความเหมาะสม
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอมานั่งจัดเรียงข้าวของที่ซื้อมาใหม่ลงในกระเป๋า ใกล้ๆ ที่นั่งที่ผมทำงาน บทสนทนาจึงได้เริ่มต้นขึ้น “Where you come from?” ผมเปิดตัวด้วยคำถามมหาชน ”Germany”.......โอเค....มาจากประเทศนี้ก็พอมีเรื่องคุยกันได้บ้าง
เธอเล่าว่า ทำงานเป็น intern อยู่ที่บริษัทผลิตงาน Music & Media ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งใน Berlin กำลังลุ้นอยู่ว่าจะได้พิจารณาเข้างานหรือไม่ การมาเที่ยวครั้งนี้ของเธอ มาแบบ solo traveler แม่เธอไม่สู้จะเห็นด้วยกับการท่องเที่ยวแบบนี้เท่าไหร่ แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อปีกของเธอนั้นกว้างกว่ากรงเสียแล้ว
หลังจากแลกเปลี่ยนเสียงหัวเราะกันสักพัก ด้วยความคุ้นเคยกับหน้าตาของคนเยอรมันอยู่บ้าง และเห็นว่าเธอมาจากเมืองที่มีความหลากหลายของชาติพันธุ์สูงที่สุดใน Germany ผมเริ่มลุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัว ”You don’t look like a native German, where are you from?” อีวาหยุดจัดกระเป๋า หันมามองผมด้วยสายตาของคนที่กำลังชั่งใจ พร้อมส่งยิ้มปริศนามาให้ในพิมพ์เดียวกับที่แม่นางโมนาลิซาทำกับผู้คน
“I am originally from Bosnia” คำตอบของเธอเจือเสียงรถถังและกรุ่นกลิ่นควันปืน เธอเล่าต่อว่า ตอน 4 ขวบ เมืองที่ครอบครัวเธออาศัยอยู่ เริ่มมีสัญญาณของสงครามกลางเมือง พ่อแม่เธอตัดสินใจส่งเธอกับน้องชาย ขึ้นรถไฟหนีไปอยู่ที่ชายแดนเยอรมัน ดินแดนที่ไม่เคยมีใครไป ทั้งครอบครัวกอดกันแน่น พ่อแม่บอกเธอว่าจะรีบตามไปในอีกไม่กี่วัน ซึ่งสุดท้ายกว่าจะได้เจอกันก็ลากยาวมาอีกเป็นปี
ชีวิตในแคมป์อพยพนั้นเป็นเพียงสถานภาพชั่วคราว ทุกๆคน ถูกตีตราลงทะเบียนเอาไว้เพื่อรอวันส่งตัวกลับ ท่ามกลางสถานการณ์ครุกรุ่นใน Bosnia ด้วยสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่สู้ดีนัก พ่อของเธอเริ่มล้มป่วยลง และไม่สามารถทำงานได้ แม่ของเธอต้องกลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัวในชั่วข้ามคืน อดีตแม่บ้านเต็มเวลา ต้องเดินเคาะประตูบ้านทุกหลัง เท่าที่จะก้าวเท้าไปถึง เพื่อขายแรงงานแลกเงินมาประทังชีวิตในครอบครัว
หลังจากใช้ชีวิตในฐานะผู้อพยพในเยอรมันอยู่ 2 ปี สถานการณ์สงครามในบอสเนียเริ่มสงบลง ทางการเยอรมันจึงเริ่มยกเลิกสถานภาพ visa ชั่วคราว พร้อมผลักดันผู้อพยพทั้งหมดอย่างหนักหน่วงให้กลับประเทศ แต่เหล่าผู้อพยพก็ได้ปรับวิถีชีวิตเข้ากับสังคมใหม่ที่เยอรมันได้แล้ว การจะกลับไปฟื้นฟูซากปรักหักพังหลังสงครามในประเทศบ้านเกิดของตน ดูจะไม่ใช่ทางเลือกที่ต้องการ
ขั้นตอนการพิจารณาสถานภาพของผู้อพยพนั้น ทำไปอย่างเคร่งครัดโดยหน่วยงานของรัฐ ถ้าผู้อพยพไม่ได้มีความสามารถทางอะไรเป็นพิเศษที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศเจ้าบ้าน การจะได้ German Citizenship นั้นเป็นเรื่องเกินความคาดหวัง และเมื่อ visa ชั่วคราวหมดอายุลง ทุกคนก็จะต้องถูกผลักดันกลับไป
ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียด เพื่อนๆ ชาว Bosnian ที่อพยพมาด้วยกันหลายครอบครัว ทั้งลูกเด็กเล็กแดงยันคนแก่ ทยอยถูกทางการเยอรมันส่งตัวกลับไปแล้ว อย่างไม่มีข้อต่อรองอันใด ครอบครัวของเธอ อันประกอบไปด้วยแม่บ้าน 1 คน, พ่อที่อยุ่ในสภาพกึ่งทุพพลภาพ และลูกเล็กอีก 2 คน นับเป็นเงื่อนไขสมบูรณ์แบบ ที่จะต้องถูกส่งตัวกลับ ความหวังในการได้อยู่ต่อดูจะริบหรี่เต็มที
“เฮ้ย.....แต่ตอนนี้คุณเป็นคนเยอรมันแล้วนี่???” ผมโพล่งขึ้นมาแบบคนใจร้อนที่ชอบแอบอ่านตอนจบของหนังสือ แล้วค่อยมาตามอ่านส่วนที่เหลือเอาตรงกลางเล่ม
.ในที่สุดวันพิพากษาก็มาถึง เจ้าหน้าที่รัฐสัมภาษณ์ครอบครัวของเธอ ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบเรียบตามระเบียบแบบแผน ไร้ซึ่งอำนาจการต่อรองใดๆ หลังประชุมเสร็จ เจ้าหน้าที่ stamp “อนุมัติ” ให้ครอบครัวของเธอได้วีซ่าระยะยาว อันเป็นขั้นตอนสำคัญที่ทำให้ได้ German Citizenship ต่อไป***
หลังสัมภาษณ์เสร็จ ท่ามกลางความดีใจจนพ่อแม่เธอถึงกับร้องไห้ ทุกคนกล่าวคำขอบคุณพร้อมกับอวยชัยให้พรกันไม่หยุดปาก ”Thank you, Thank you , Thank you.......Merry Christmas”
“Merry Christmas???” ผมทวนย้ำคำของเธอ ทั้งๆ ที่ได้ยินชัดเจน
”yes...Merry Christmas วันพิจารณาสถานภาพ Visa ของพวกเรามันอยู่ในช่วงก่อนเทศกาลคริสมาสต์พอดี มันเป็นเหตุผลเดียวที่ชั้นนึกออกว่าทำไมเจ้าหน้าที่เยอรมันเค้าถึงให้พวกเราอยู่ต่อ มันคงเป็น Spirit of Christmas” อีวาเล่า
“หลายปีต่อมา ชั้นได้กลับไปเยี่ยมหมู่บ้านที่เราเคยอยู่ที่บอสเนีย เพื่อนบ้านในวัยเด็กที่เคยวิ่งเล่นมาด้วยกัน แต่ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความโหดร้ายทารุณของสงคราม ตอนนี้เราต่างเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน เพียงแค่การตัดสินใจที่แตกต่างกันแค่นิดเดียว ทำให้เราผ่านโลกมาคนละใบ”
“ทุกวันนี้ ในเวลาที่ท้อแท้เบื่อหน่าย ชั้นมายืนส่องกระจก บอกตัวเองว่า เราโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ ชั้นเห็นใบหน้าของผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก” อีวาเล่าให้ฟังพร้อมยิ้มยืนยัน ....ใครไหนเล่าจะปฏิเสธเธอได้?....
อีวาจัดกระเป๋าเสร็จ เธอหยิบเงินออกมาจ่ายค่าอาบน้ำ ผมส่ายหน้า... ”You have paid by your story” แม้จะไม่ได้ฟังเรื่องราวของเธอ ลำพังเพียงแค่รอยยิ้มนี้ก็นับว่าแพงกว่าค่าอาบน้ำเสียแล้ว
เราร่ำลากัน กระเป๋า backpack ของเธอตึงตุงไปด้วยของฝาก ผมยืนมองเธอเดินไต่ขึ้นบันไดรถไฟฟ้าพร้อมเป้หนักอึ้งด้านหลัง ผมคิดว่าเธอคงอยากเป็นซานตาคลอสบ้างหลังจากที่ได้เคยเจอ ”ซานตาคลอสตัวจริง” ในชีวิตมาแล้ว
ปล. อีวาและครอบครัวของเธอได้เป็น German Citizenship อย่างสมบูรณ์ในอีก 8 ปีต่อมา