เป็นภาพยนตร์ไทยที่ตอนเปิดตัวน่าสนใจมากๆ ทั้งผู้กำกับ ก้องเกียรติ โขมศิริ ผู้กำกับที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งของวงการภาพยนตร์ไทย ที่มาพร้อมกับนักแสดงระดับแม่เหล็กอย่าง อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม และ น้อย วงพรู กฤษดา สุโกศล แคลปป์ ที่เคยฝากผลงานน่าประทับใจกับผู้กำกับโขมใน อันธพาล มาแล้ว
ถึงแม้โปรไฟล์จะดูดีมากมาย แต่โดยรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้ยังถือว่าค่อนข้างน่าผิดหวัง เริ่มตั้งแต่การเลือกนักแสดงนำมารับบท คือไม่มีทั้งความคล้าย และใกล้เคียง กับตัวตนจริงๆเลย โดยเฉพาะน้อยวงพรู ที่พูดภาษาไทยยังไม่ค่อยจะชัด แต่เอามารับบทเป็นจอมโจรแห่งเมืองใต้ คือในหนังต้องคอยอ่านซับภาษาอังกฤษไปด้วยเวลาตัวละคร อัลฮาวียะลู พูดออกมาแต่ละคำ เพราะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ในทางกลับกันตัวละครสมทบกลับทำได้ดี โดยเฉพาะขาประจำอย่างบุญส่ง นาคภู่ และ สนธยา ชิตมณี รวมไปถึง ชูพงษ์ ช่างปรุง ที่มาเพิ่มความมันในฉากแอ๊คชั่นได้เยอะเลย (ฉากปะทะกับทีมขุนพันธ์คือดีที่สุด)
อีกจุดที่อยากตำหนิคือฉากแอ๊คชั่นในช่วงท้าย ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นความทะเยอทะยานของผู้กำกับ หรือนายทุนกันแน่ แต่ที่รู้ๆคือดูไม่จืดเลย เรื่องซีจีพอเข้าใจนะว่าประเทศไทยแค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว แต่ฉากต่อสู้ที่ถ่ายขนานกับรถไฟนี่สิดูไม่จืดเลย เห็นชัดแบบโดดมากๆว่าเป็นรถไฟผ่าครึ่ง ไม่มีเงาของหน้าต่าง และคุมแสงไม่อยู่เลย ไปเน้นแต่รอยเลือด และความเหวอะหวะมากกว่า ส่วนฉากปะทะกันของ ขุนพันธ์ และ อัลฮาวียะลู ก็น่าผิดหวังเช่นกัน ( ชอบฉากที่เจอกันตอนต้นเรื่องที่สุดแล้วของ 2 ตัวละครหลักที่สุด ) แต่การถ่ายภาพในฉากอื่นของเรื่องถือว่าดีเลย มีภาพสวยๆตลอด หรือเพราะทำฉากอื่นไว้สวยมากเกินไปหรือเปล่า จึงทำให้ฉากแอ๊คชั่นช่วงท้ายดูดร็อปไปเลย
ทางด้านการเล่าเรื่องก็ยังไม่กลมเท่าที่ควร คือไปให้น้ำหนักกับฉากที่ไม่จำเป็นเยอะเกินไป แต่เรื่องที่เป็นประเด็นหลักๆกลับไม่ลงลึกเท่าที่ควร ผิดมาตรฐานของผู้กำกับไปมากโข ( เกลียดที่สุดคือฉากหลังเครดิต คือจะไปถ่ายให้เห็นหน้านักแสดงรับเชิญเพื่ออะไร? )
แต่เรื่องที่น่าชื่นชมของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีเช่นกัน ในด้านการเอาเรื่องราวของบุคคลที่มีอยู่จริงๆมาเล่า โดยเฉพาะบุคคลที่มีความสำคัญกับคนไทยอย่างท่านขุนพันธ์ ที่คนทั่วไปต่างนับถือ และเชื่อในความมีอาคมของท่าน คือผู้กำกับไม่ได้ไปแตะต้องความเชื่อของคนในเรื่องนี้ ทำให้เห็นชัดๆเลยว่าท่านมีพลังอำนาจเหนือมนุษย์จริงๆ แต่สุดท้ายตัวหนังไม่ได้ทำให้คนหวังพึ่งอาคม ไสยศาสตร์ กลับกันยังให้ความเชื่อเล็กๆกับผู้ชม ว่าขอมีเพียงความเชื่อมั่นในความดี ทุกคนก็เป็นฮีโร่ได้เช่นกัน
#คุยเรื่องหนัง #ขุนพันธ์
'ขุนพันธ์' ๒๕๕๙
เป็นภาพยนตร์ไทยที่ตอนเปิดตัวน่าสนใจมากๆ ทั้งผู้กำกับ ก้องเกียรติ โขมศิริ ผู้กำกับที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งของวงการภาพยนตร์ไทย ที่มาพร้อมกับนักแสดงระดับแม่เหล็กอย่าง อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม และ น้อย วงพรู กฤษดา สุโกศล แคลปป์ ที่เคยฝากผลงานน่าประทับใจกับผู้กำกับโขมใน อันธพาล มาแล้ว
ถึงแม้โปรไฟล์จะดูดีมากมาย แต่โดยรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้ยังถือว่าค่อนข้างน่าผิดหวัง เริ่มตั้งแต่การเลือกนักแสดงนำมารับบท คือไม่มีทั้งความคล้าย และใกล้เคียง กับตัวตนจริงๆเลย โดยเฉพาะน้อยวงพรู ที่พูดภาษาไทยยังไม่ค่อยจะชัด แต่เอามารับบทเป็นจอมโจรแห่งเมืองใต้ คือในหนังต้องคอยอ่านซับภาษาอังกฤษไปด้วยเวลาตัวละคร อัลฮาวียะลู พูดออกมาแต่ละคำ เพราะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ในทางกลับกันตัวละครสมทบกลับทำได้ดี โดยเฉพาะขาประจำอย่างบุญส่ง นาคภู่ และ สนธยา ชิตมณี รวมไปถึง ชูพงษ์ ช่างปรุง ที่มาเพิ่มความมันในฉากแอ๊คชั่นได้เยอะเลย (ฉากปะทะกับทีมขุนพันธ์คือดีที่สุด)
อีกจุดที่อยากตำหนิคือฉากแอ๊คชั่นในช่วงท้าย ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นความทะเยอทะยานของผู้กำกับ หรือนายทุนกันแน่ แต่ที่รู้ๆคือดูไม่จืดเลย เรื่องซีจีพอเข้าใจนะว่าประเทศไทยแค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว แต่ฉากต่อสู้ที่ถ่ายขนานกับรถไฟนี่สิดูไม่จืดเลย เห็นชัดแบบโดดมากๆว่าเป็นรถไฟผ่าครึ่ง ไม่มีเงาของหน้าต่าง และคุมแสงไม่อยู่เลย ไปเน้นแต่รอยเลือด และความเหวอะหวะมากกว่า ส่วนฉากปะทะกันของ ขุนพันธ์ และ อัลฮาวียะลู ก็น่าผิดหวังเช่นกัน ( ชอบฉากที่เจอกันตอนต้นเรื่องที่สุดแล้วของ 2 ตัวละครหลักที่สุด ) แต่การถ่ายภาพในฉากอื่นของเรื่องถือว่าดีเลย มีภาพสวยๆตลอด หรือเพราะทำฉากอื่นไว้สวยมากเกินไปหรือเปล่า จึงทำให้ฉากแอ๊คชั่นช่วงท้ายดูดร็อปไปเลย
ทางด้านการเล่าเรื่องก็ยังไม่กลมเท่าที่ควร คือไปให้น้ำหนักกับฉากที่ไม่จำเป็นเยอะเกินไป แต่เรื่องที่เป็นประเด็นหลักๆกลับไม่ลงลึกเท่าที่ควร ผิดมาตรฐานของผู้กำกับไปมากโข ( เกลียดที่สุดคือฉากหลังเครดิต คือจะไปถ่ายให้เห็นหน้านักแสดงรับเชิญเพื่ออะไร? )
แต่เรื่องที่น่าชื่นชมของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีเช่นกัน ในด้านการเอาเรื่องราวของบุคคลที่มีอยู่จริงๆมาเล่า โดยเฉพาะบุคคลที่มีความสำคัญกับคนไทยอย่างท่านขุนพันธ์ ที่คนทั่วไปต่างนับถือ และเชื่อในความมีอาคมของท่าน คือผู้กำกับไม่ได้ไปแตะต้องความเชื่อของคนในเรื่องนี้ ทำให้เห็นชัดๆเลยว่าท่านมีพลังอำนาจเหนือมนุษย์จริงๆ แต่สุดท้ายตัวหนังไม่ได้ทำให้คนหวังพึ่งอาคม ไสยศาสตร์ กลับกันยังให้ความเชื่อเล็กๆกับผู้ชม ว่าขอมีเพียงความเชื่อมั่นในความดี ทุกคนก็เป็นฮีโร่ได้เช่นกัน
#คุยเรื่องหนัง #ขุนพันธ์