'พร้อมเพย์' ที่แบงค์ชาติบอกว่า มี 2 ประเทศที่ใช้ ไม่เป็นความจริง?

update 28 กค 2559 - ตอนนี้ถึงกับล่วงล้ำสิทธิ์ประชาชน โดยให้ธนาคารสมัครให้ลูกค้าเองแล้วเหรอครับ มันเกินไปนะ แบบนี้อยากจะถอนเงินก็ถอนได้สิ http://pantip.com/topic/35424934

update นิยามการ 'ล็อคสเปค' ตามเอกสารราชการนะครับ ""วิธีการพิจารณาว่าการจัดซื้อ/จ้างพัสดุนั้นๆ ได้กระทำโดยวิธีการต่างๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ค้า/ผู้รับจ้างรายเดียวหรือไม่ อย่างไร (การล็อคสเป๊ค)""
เห็นบางคนสมัครใหม่มาป่วน flood กระทู้โดยเฉพาะ โพสต์ซ้ำ 30-40 กว่าโพสต์แล้ว บอกว่า ให้เอาสเปคมาโชว์ว่าล็อคตรงไหน เลยขอบอกว่า ให้ดูที่กระบวนการจัดหา ไม่ใช่ดูแต่ technical specifications อย่างเดียว

*** มาแล้วครับ เรื่องเก็บภาษีที่กำลังตามมา ผูกกับ prompt pay โดยตรง ไม่ใช่อย่างที่คุณเจ้าหน้าที่ธนาคาร คห.95 บอกว่า ไม่มีการเก็บภาษี http://www.epayment.go.th/home/app/ ไม่น่าเชื่อว่า โครงการนี้ไปไกลมาก และเงียบ โผล่มาอีกที ทุกอย่างเสร็จแล้ว คงทำอะไรไม่ได้มาก แค่ทิ้งประเด็นไว้ให้คิดครับ (เว็บนี้เปิดตัวมาปลายเดือนพฤษภาคม และข้อมูลในเว็บไซต์มีการ update เรื่อยๆเมื่อมีความคืบหน้าโครงการครับ ฉะนั้นระบบอะไรจะเชื่อมต่อเข้ามาก็น่าจะมีข่าวมาเรื่อยๆ แต่ภาพรวมบอกคร่าวๆไว้แล้วว่าจะทำระบบอะไร เช่น prompt pay, e-payment, e-tax ฯลฯ)

-------------------------------------------------------------------------------------------------------

สำหรับ ความคิดเห็นที่ 95 ทางเจ้าหน้าที่ธนาคารมาตอบเอง ที่มีคนไม่กี่คนพยายามโหวตขึ้นมา ผมตอบไปแล้วนะครับ ว่าข้อมูลของคุณไม่ถูกต้อง หลงประเด็น และไม่เข้าใจระบบการจัดหาของทางราชการ โดยเฉพาะข้อ 2 ที่บอกว่า prompt pay ไม่เกี่ยวกับการเก็บภาษี อันนี้ผิดเต็มๆ เพราะสรรพากรก็ระบุชัดเจนว่า จะใช้เรื่องคืนภาษี ตอนนี้ก็มีหนังสือเชิญ sme ไปอบรมเรื่องจ่ายภาษีผ่านระบบนี้แล้ว กับที่ปรึกษาโครงการ e-payment ออกมายืนยันตั้งนานแล้วว่า จะใช้เก็บภาษี ลงข่าวมาหลายครั้งแล้วด้วย เขาถึงเก็บเลขหมายบัตรประชาชนไงครับ  นี่มันเป็นแค่เฟสแรกครับ ยังมีอะไรตามมาอีกเยอะมาก ส่วนข้ออื่นๆผมก็ตอบไปแล้วเช่นกัน

*** เพิ่มเติมที่คุณเจ้าหน้าที่ธนาคาร อธิบายเพิ่มเติมตอนหลังในหน้า 2 ว่า "... พยายามผลักดันโครงการนี้ มีเหตุผลเดียว คือเรื่อง การสูญเสียเอกราชทางการเงิน" เออ อันนี้ผมว่า ที่คุณกำลังทำ มันทำให้ "ประชาชนและธนาคารเอง" สูญเสียเอกราชทางการเงิน นะครับ มันตรงข้ามกับที่คุณบอกเลย ยิ่งอธิบายยิ่งงง!

(และบางจุดที่คุณอธิบาย แสดงว่า โครงการนี้ไม่ชอบมาพากลในเรื่องการจัดหาด้วย)


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เนื่องจากมีการ forward ไลน์ว่า มีบริษัทที่ทำแบบนี้ที่เรียกบริการว่า Faster Payments ในอังกฤษ ซึ่งอ้างด้วยว่าบริการ PayM (ซึ่งถือว่าล้มเหลว?) เป็นหนึ่งในบริการของ Faster Payment เลยขอให้ข้อมูลเพิ่มครับ เพราะพวก forward ทางไลน์สมัยนี้ เป็นแนว propaganda และใช้ช่องโหว่ตรงที่คนไม่อ่านรายละเอียด แล้วอ้างว่า มีการใช้งานในต่างประเทศมาแล้ว (ถ้าโปร่งใสจริงคงไม่เล่นโฆษณาชวนเชื่อแบบ forward ไลน์ ที่หาต้นตอ source แทบไม่เจอว่าใครปล่อยออกมา)

มันคนละ concept กับของ prompt pay เลยครับ ในแง่การจัดการ และจุดประสงค์หลัก (ไม่ใช่เรื่องเก็บภาษี) ไม่ได้รวมศูนย์เหมือนแบบไทย คนควบคุมเป็นบริษัทเอกชนครับคือ APACS หรือ UK Payments Administration (https://en.wikipedia.org/wiki/UK_Payments_Administration) จะว่าไป รัฐบาลก็ผูกมัดตัวเองแต่ต้นว่าเป็นประเทศแรกในโลกที่ใช้ แต่มาอ้าง site reference เพื่อจะเลี่ยงการประมูลหรือไม่? (แต่ของอังกฤษใช้เวลาประมูล 1 ปีนะครับ อ้างอิงจาก https://www.vocalink.com/payment-processing/faster-payments/faster-payments-timeline)

และไม่มีการเก็บ id ด้วย ใช้มือถือเพื่อความสะดวก ซึ่งระบบแบบนี้มีมานานมาก และทำกันเยอะ แล้วแต่ว่า ธนาคารไหนต้องการร่วมวง อีกอย่างเป็นทางเลือกในการจ่ายเงินครับ แต่ของเรา ถ้าฟังจากสรรพากรที่ออกข่าว ต่อไปต้องมี prompt pay ทุกคน ในทางปฏิบัติ ถ้าเก็บหรือคืนภาษี ก็คือ บังคับต้องทำครับ

faster payment เป็นเหมือนบริการเอกชนรายหนึ่งเท่านั้นครับ มีอีกหลายราย อ้างอิงจาก http://www.fasterpayments.org.uk/sites/default/files/Monthly%20Payment%20Statistics%20Nov%202015.pdf

หรือถ้าไม่เชื่อดูมูลค่า transaction ปี 2015 บ่งบอกว่า อยู่ในวงจำกัดในการหมุนเวียนเงิน แค่ 1 พันล้านปอนด์เอง (ระบบ PayM เป็นส่วนเล็กๆในนี้อีกที)

ที่สำคัญ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เวลาหลายปีกว่าระบบจะ implement ได้ ที่สำคัญ เขามีขั้นตอนการประมูลครับ กว่าจะรู้ผลชัดเจนก็ 1 ปี

https://www.vocalink.com/payment-processing/faster-payments/faster-payments-timeline

พูดง่ายๆคือ เชื่อว่า แบงค์ชาติอ้างผลงานบริษัทที่ตัวเองเลือกมา vocalink ที่น่าจะ supply เทคโนโลยีให้ NITMX อันนี้ไม่ยืนยันนะครับ ว่า ดีลผ่าน NITMX ไหม (ไม่น่าจะประมูลด้วย) เพื่อจะได้มาอ้างได้ว่า เคยทำระบบนี้มาก่อน แต่จริงๆแล้ว เป็นเพียงโครงการจ่ายเงินผ่านมือถือเท่านั้นเอง ไม่มีการใช้ ID ด้วย เท่าที่ผมอ่านดู และไม่เกี่ยวกับเรื่องภาษีเลย

เกิดคำถามว่า

1. บริษัทที่เลือกมาไม่ผ่านการประมูลหรือไม่? แต่ใช้ผลงานเป็นข้ออ้างในการเลือก

2. ขั้นตอนต่างๆทำไม ทำกันเงียบๆและรวดเร็วมาก ของอังกฤษใช้เวลา 5 ปีกว่า กว่าจะสรุปว่า vocalink ได้งานระบบนี้ และเป็นระบบที่คล้าย แต่ไม่ใช่แบบ prompt pay

3. บริการที่คล้าย prompt pay เป็นแค่บริการที่เรียกว่า PayM ซึ่งถือว่าล้มเหลว ตามที่อธิบายใต้เส้นประข้างล่าง เพราะคนสมัครแค่ 3 ล้านคน มีการใช้เฉลี่ยแค่คนละ 1 ครั้งต่อปี และลดลงเรื่อยๆ แบบนี้ถือว่า ผลงานเหมาะสมในการนำมาอ้างอิงเพื่อเลือก system integrator หรือไม่?

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

จากที่ติดตามเรื่องนี้มาพอสมควร ผมพบว่า ข้อมูลที่แบงค์ชาติให้ในเว็บเกี่ยวกับ Prompt Pay หรือ พร้อมเพย์ ไม่น่าจะเป็นความจริง

https://www.bot.or.th/Thai/Attachment/FAQ_PromptPay.pdf

(อ้างอิงจาก link แบงค์ชาติเอง ในหน้า 2 ย่อหน้าที่ 3)

คือ แบงค์ชาติบอกว่า ประเทศสิงคโปร์ใช้มา 2 ปี แต่เท่าที่ตรวจเช็คกับธนาคารของผมเองในสิงคโปร์ และสมาชิกพันทิปหลายท่านที่อยู่สิงคโปร์มาเกือบ 20 ปี และเพื่อนของผมคนอื่นๆ พบว่า ไม่มีการใช้ระบบนี้ หรืออาจจะมีให้ใช้ แต่ไม่มีใครใช้

อยากทราบว่ามันคือ ระบบอะไร คล้ายหรือเหมือนเลย?

และสิงคโปร์ก็เพิ่งเริ่มพิจารณาระบบคล้ายกันนี้ เดือนเมษายนที่ผ่านมานี่เอง (ข้อมูลจากคุณ comment 2)

https://www.finextra.com/newsarticle/28702/singapore-ponders-paym-style-payments-platform

ส่วนที่อังกฤษ ที่แบงค์ชาติบอกว่าใช้มา 8 ปีแล้ว ตรวจสอบพบว่า มีระบบเดียวที่ใกล้เคียง ใช้มาแค่ 2 ปีกว่าๆ ไม่ใช่ 8 ปีอ้างที่แบงค์ชาติอ้าง(ถ้าเป็นบริษัทนี้) โดยผูกกับเบอร์โทรศัพท์ แต่ไม่ใช่แบบ prompt pay คือ PayM ประสบความล้มเหลว เพราะมีคนสมัครแค่ 3 ล้านคน มีการใช้เฉลี่ยเพียง 1 ครั้ง/ปี เท่านั้น เหมือนแทบไม่มีการใช้งานเลย (อาจจะตอนแรกๆ) และการใช้งานก็ลดลงเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง จนนักข่าวเริ่มเขียนข่าวถึงความล้มเหลวของระบบนี้ แต่เนื่องจากมีคนใช้น้อย จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่อังกฤษ

อ้างอิงจากบทความปี 2016 นี้เลย https://www.finextra.com/newsarticle/28457/is-paym-a-failure

ผมกำลังคิดว่า มันคือระบบของเอกชนมากกว่า แบบพวก AIS mPay อะไรพวกนี้?

แล้วไม่ทราบแบงค์ชาติเอาข้อมูลมาจากไหนครับ อยากให้ชี้แจ้ง ซึ่งมันส่งผลในเรื่องต่อจากนี้ครับ

1. ที่อ้างว่า บริษัท NITMX ที่ดูแลระบบ prompt pay ในไทย มีประสบการณ์ในการพัฒนาระบบนี้ อยากทราบว่า ระบบอะไรครับ ระบบ PayM ที่อังกฤษ? แล้วผลออกมามันล้มเหลว แบบนี้จะว่าไงครับ

2. ที่เลือกมา คือ เลือกมาเลย ไม่มีการประมูล?

3. ระบบนี้จะต่อยอดไปอีกยาว จนถึงระบบ e-payment ตามที่ผมอ่านข่าวมาจากที่ปรึกษาโครงการ National E-Payment แบบนี้ถือว่า ล็อคสเปคตั้งแต่ต้นไหม?

เพราะมูลค่า e-payment ทั้งระบบนี่ก็มหาศาลแล้ว เอาแค่เครื่องอ่านบัตรทั่วประเทศ ทุกร้าน ร้านใหญ่ ร้านเล็ก ร้านอาหารตามสั่ง เพราะรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังบอกว่า ถ้าใช้เงินสดจะเก็บ  VAT 10% แต่ถ้าใช้ e-payment จะเก็บ VAT 7% ฉะนั้นถ้าไม่อยากต้นทุนเพิ่มหรือถูกบังคับสำหรับเจ้าของกิจการ แค่รถเข็นขายผลไม้ก็ต้องมี เครื่องรูดบัตรเครดิตบัตรแบบ wireless และต่อสาย ที่ตอนนี้ธนาคารกสิกรเก็บเดือนละ 450 บาท หรืออย่างต่ำ ถูกสุดบางธนาคารเก็บ 160 บาท (ถ้ายอดไม่ถึงเกณฑ์) ไม่รวมค่ามือถือและ landline ที่ต่อระบบ อีกเดือนละ 100-200 บาทสำและถ้ามีค่าประกันเครื่องอีกจะทำยังไง ที่สำคัญมีค่าธรรมเนียมต่อ order ด้วยนะครับ ตอนนี้อยู่ที่ 1.9-2.5% เขาจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายครับ

จริงๆมีเรื่องที่ทำให้ระบบ e-payment เป็นไปได้ยากมากๆ ปัญหาในทางปฏิบัติเยอะมากๆ และงบประมาณสูงทั้งทางรัฐบาลและประชาชน

ที่สำคัญ ยังไม่มีใครในโลกใช้ เพราะปัญหามันเยอะ มีแค่สวีเดนที่กำลังยกเลิกระบบเงินสด ก็คนเขามีเงินทั้งประเทศ ประชากรก็น้อย 9.9 ล้านคน (ปี 2016) ทุกอย่างมันทำได้ง่ายครับ แต่ประเทศรวยกว่าก็ยังไม่ทำกันเลย แต่ผมก็ไม่ทราบว่า ตอนนี้สวีเดนเขาจะใช้ระบบอะไรมาแทน ซึ่งจริงๆแบงค์ชาติน่าจะอ้างอิงสวีเดนมากกว่า เพราะจะไม่ใช้เงินสดเหมือนกัน แล้วทำไมไม่พูดถึงเลย?

อยากให้รัฐบาลและแบงค์ชาติ ออกมาชี้แจงเรื่องพวกนี้ด้วย เพราะอยู่ๆระบบนี้ก็โผล่ออกมาเลย ทำเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครสงสัยที่มาที่ไปของโครงการบ้างเหรอครับ (ไม่ขอพูดในเรื่องอื่นๆที่พูดไปแล้ว เช่น ความปลอดภัย Privacy การเอาข้อมูลไปขายต่อ การเก็บภาษี ฯลฯ)

ขนาดผู้เชี่ยวชาญที่บอกว่า ระบบนี้ปลอดภัยเท่าๆกับ ATM ยังทิ้งท้ายแบบนี้เลย

"...รวมทั้งไม่ควรนำข้อมูลส่วนตัว ทั้งโทรศัพท์มือถือ และเลขบัตรประชาชน 13 หลักไปโพสต์ หรือแชร์ในโซเชียลเน็ตเวิร์ก..."

ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/666834

ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ธนาคารต่างๆสูญเสียรายได้ไปรวมกันปีละ 1 หมื่นล้านบาท ทำไมเงียบกันจัง? อ้างอิงจาก http://www.dailynews.co.th/economic/508575

ปัญหาใหญ่อีกอย่างคืออะไรทราบไหมครับ?!! มันไม่มีใครตรวจสอบโครงการนี้ครับ!!
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 40
cashless society

ขนาดสวีเดน ที่ว่าไฮเทค  มีการศึกษาดี  ทุกอย่างพร้อม


แบงค์ชาติสวีเดน  ก็ยังบอกว่า ยังทำไม่ได้ทั้งหมด  อย่างเร็วก็ปี 2030  เงินสดยังจำเป็นอยู่
We think that cash will stick around until the 2030s
http://www.thelocal.se/20160304/swedes-predict-death-of-cash-in-five-years
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
บางคนบอกว่าเป็นทางเลือก  ไม่ใช้ก็ได้  ....
เมื่อคืน ดูโทรทัศน์  มีฝ่ายรัฐบาลออกมาบอกว่า   ต่อไป เงินที่โอนจากทางรัฐบาล  เช่นเบี้ยคนชรา  
เงินเดือน  และ ภาษีคืน   บัญชีต้องลงทะเบียน  ประเภท พร้อมเพย์  เท่านั้น  ....  แบบนี้ จะเรียกทางเลือกหรือพาพันอยากรู้

สาวแว่น
ความคิดเห็นที่ 95
อยากจะเสริม ข้อมูลให้กับ จขกท. ซะหน่อย เพื่อความเข้าใจให้ตรงกันครับ พอดีผมได้ยิน ได้ฟัง และมีส่วนร่วมบ้างนิดหน่อยเกี่ยวกับ โปรเจคนี้
ขอเริ่มจากคำถาม ที่ทาง จขกท. ถามเลยนะครับ (อันนี้ เป็นชุดแรก เดี๋ยว จะมาตอบให้อีกชุดนะครับ)

1. รัฐบาลก็ผูกมัดตัวเองแต่ต้นว่าเป็นประเทศแรกในโลกที่ใช้ แต่มาอ้าง site reference เพื่อจะเลี่ยงการประมูลหรือไม่?
ตอบ ระบบนี้ เป็นในลักษณะเจ้าของร่วมกันของทุกธนาคารครับ ไม่ใช่ของรัฐบาล รัฐบาลโดย ธ.แห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลัง เป็นเพียงผู้สนับสนุนให้เกิดระบบนี้ เช่น เชิญธนาคารทุกธนาคารมาร่วมกันทำ หรือติดต่อหน่วยงานต่างๆให้
ดังนั้น ต้องแยกระหว่างเจ้าของระบบกับผู้ประสานงานให้ออกก่อนนะครับ ซึ่ง เจ้าของระบบ คือ ทุกธนาคาร ผู้ประสานงาน คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลัง ในฐานะตัวแทนรัฐบาล (To the point: เลี่ยงการประมูลหรือไม่? -> คำตอบคือ ใช่ครับ เพราะ เจ้าของระบบ เขามั่นใจว่า vendor เจ้านี้สามารถพัฒนาได้ ตามที่เจ้าของระบบต้องการ หรือเปรียบเทียบ ได้อย่างนี้ครับ ผมอยากจะซื้อนาฬิกา Rolex ซักเรือน ด้วยเงินของผม ผมต้องเรียก Rolex Patek OMEGA มาประมูลหรือป่าว แต่ถ้าเป็นรัฐบาล ที่อยากซื้อ Rolex อันนี้ เจตนาชัดเจนครับ ว่าหลีกเลี่ยงการประมูล)

2.ถ้าฟังจากสรรพากรที่ออกข่าว ต่อไปต้องมี prompt pay ทุกคน ในทางปฏิบัติ ถ้าเก็บหรือคืนภาษี ก็คือ บังคับต้องทำครับ
ตอบ อันนี้ น่าจะคลาดเคลื่อนนะครับ ระบบ PROMPTPAY ไม่ใช่ ระบบ ที่เก็บหรือคืนภาษี  ***PROMPTPAY มีไว้รับเงินนะครับ*** ไม่ใช่ จ่ายเงิน ส่วนเรื่องการเก็บหรือคืนภาษี เป็น Project ที่ 3 ของระบบ National e-payment เป็นหลัก (Promptpay เป็น โปรเจคแรก) ซึ่งในรายละเอียด ของ โปรเจคที่ 3 ขอให้ความคิดเห็นดังนี้ครับ
    1.การจัดเก็บภาษี (เน้นว่า เก็บนะครับ) ของ กรมสรรพากร (ไม่รวม สรรพสามิต และศุลกากรนะครับ) เป็นแค่การเปลี่ยนรูปแบบจากกระดาษ มาเป็น Electronic แทน ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้กับ ร้านค้าต่างๆ ที่ทุกวันนี้รับเงินเป็น Electronic แล้วยังต้องออกใบกำกับภาษี ซึ่ง นึกถึงภาพง่ายๆนะครับ จำได้มั๊ยตอนสิ้นปีที่แล้ว คนต่อแถวกันยาวเลย เพื่อรอใบกำกับภาษี แต่ตอนจ่ายคุณรูดผ่านเครื่องปรู๊ดเดียวเสร็จ แต่เสียเวลารอใบกำกับภาษี ซึ่งระบบนี้จะมาช่วยไงครับ จ่ายเงินเสร็จปุ๊บ ภาษี ก็วิ่งเข้าระบบเลย ตอนยื่นภาษี ก็ไม่ต้องมานั่ง Scan เอกสาร เพื่อยืนยันการขอลดภาษีไง ครับ
    2.การคืนภาษี อันนี้ เกี่ยวข้องกับ Promptpay แล้วครับ ถามว่าทำไม ถ้าคุณจ่ายภาษี คุณจะรู้ว่า เงินคืนภาษีจะวิ่งผ่านมา Cheque ของธนาคารมาใช่ครับ แต่ Promptpay เอาไว้ใช้รับไงครับ ถ้าเขาจะคืนเงินให้คุณ ก็ยิงผ่าน บัตรประชาชน เงินก็ถึงมือคุณเลย จากที่ต้องรอ 2 อาทิตย์ อาจเหลือ 2 วันได้เงินคืนแล้ว...อ้าว และคำถามต่อมา ถ้าคุณต้องจ่ายภาษีล่ะ ทำไง อันนี้ ก็ง่ายๆเลยครับ คลิก เข้า Internet Banking ที่คุณมี ยื่นจ่ายเหมือนเดิม ไม่เกี่ยวกับ Promptpay แล้ว

3.ความสงสัยที่ว่า โครงการจ่ายเงินผ่านมือถือเท่านั้นเอง ไม่มีการใช้ ID ด้วย
ตอบ อันนี้ คุณต้องเข้าใจก่อนว่า ระบบ PROMPTPAY คืออะไร ความจริงระบบ PROMPTPAY เป็นอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับประชาชนเลยด้วย ซ้ำ แต่มันคือระบบ หลังบ้านของ Bank ที่เชื่อมโยงกัน ซึ่งระบบในปัจจุบัน คือระบบ ORFT/BAHTNET/SMART มันไม่มีประสิทธิภาพ เท่าที่ควร (ไม่รู้จะออกแบบมาทำไมหลายระบบ ก็ไม่รู้ ปวดหัว ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเคยสังเกตุเวลาโอนเงิน ใน Internet Banking คุณเคยสังเกค มั๊ยว่า ทำไม ต้องมีให้เลือกด้วย ว่าจะโอนเงินแบบได้เงินทันที / แบบ 1 วันถึง / แบบ 2 วันถึง หรือโอนได้ไมเกิน 2 ล้านบาท ถ้าอยากถึงเร็วจ่ายแพงซิ 25/35 บาท แต่ห้ามเกิน 50000 นะ แต่จะต้องโอนไปยัง Bank ปลายทางที่เรารองรับนะ สมมติ ผมอยากโอนจาก KBANK ไป GHB แบบ ทันที เนี่ยทำได้มั๊ย คำตอบ คือ ได้ แต่หน้าที่ ของ KBANK กับ GHB ต้องคุยกันก่อน ตกลงกันก่อนว่า เฮ้ย ฉันอยากเชื่อมระบบกับ ยูนะ ลองคิดดูซิครับ มันจะเกิดระบบเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ใช้ทรัพยากร Programmer ไปเท่าไหร่ กับระบบซ้ำไปซ้ำมา หรือ เอาใหม่ งั้นไม่เป็นไร รอแบบ 1 วันก็ได้ อะ โอเค วิ่งเข้าระบบ SMART รอหน่อยไม่เป็นไร 1 วันก็ได้ ค่าธรรมเนียม มีหลายราคาด้วยนะ 12 ไปจนถึง 100 บาท ลองคิดดูซิครับ ถ้าคุณจะโอนเงินให้ Supplier ทำยังไง เขาก็โทรทวงเช้า เย็น รอไปเถอะ กว่าจะได้เงิน ก็รอวันรุ่งขึ้นโน่น นั่นเลยเป้นที่มา ว่าทำไม ถึงต้องทำ PROMPTPAY ซึ่งระบบเขาแค่ เอาไอ้ระบบพวกเนี้ย มารวมกันนะ เป็น ก้อนเดียว (อย่าเยอะเลย มันปวดหัว) แล้วก็เอางี้แล้วกัน อย่าคิดค่าธรรมเนียมแพงเลย เหลือ ไม่เกิน 10 บาทแล้วกัน อีกอย่าง เอาแบบ Online เลยนะ อย่าเสียเวลารออีกวันเลย นี่แหละ เลยเป็นที่มาของ PROMPTPAY จริงๆ

    คำถามต่อมา แล้วทำไมต้องมี ID เออ นั่นซิ...เกี่ยวไรกับ PROMPTPAY วะ ไอ้ตัว ID เนี่ย เป็นแค่ปลายทางมากๆๆๆ แค่คนออกแบบ เขาเห็นปัญหาว่า พวกคนค้าขายใน Internet ทำไมต้องใส่ บัญชีทุกธนาคาร ลงไป เปลืองเนื้อที่ หรือ นั่งกินข้าวกับเพื่อน เงินสดก็ไม่มี จะจ่ายให้เพื่อนยังไง เพื่อนเองก็ ดัน จำ  เลขที่บัญชีไม่ได้ มันก็เลย เป็นที่มา ของ ID หรือ เรียกภาษาชาวบ้านๆ ก็ชื่อเล่น นั่นแหละ ตัวอย่างเช่น บัญชีของ KBANK เลขที่ 777-0-12345-0 ตั้งใจเอาไว้รับเงินไปทำบุญ  ก็อยากตั้งชื่อว่า Donate เอาไว้เป็นชื่อกลาง แต่ปัญหาก็ดันเกิดต่อไปว่า เอา นายคนนั้น นายคนนี้ ก็อยากเปิดบัญชีไว้ทำบุญเหมือนกัน ทำไงดีหว่า งั้น BANK เขาเลยคุยกัน เอางี้แล้วกัน หาชื่อเล่น ที่ไม่ซ้ำกัน มาแทนแล้ว มันก็เลยเป็นที่มา ของเลข โทรศัพท์ หรือบัตรประชาชน อ้าว...แล้วอย่างงี้ จะปลอดภัยหรอ คำตอบคือ ก็มันชื่อเล่น อะ ถ้ากังวล ก็ใช้ชื่อจริง (เลขบัญชีเดิม) บอกเขาซิ ระบบ เขาแค่ตั้งมาให้ เพื่อ กลัวคนจำ ไม่ได้  
บางคน ก็บอกว่า อ้าว ถ้าไม่ลงทะเบียนแล้ว จะไม่ได้ใช้นะ  คำถามคือ ใช้อะไร ล่ะครับ ถ้าไม่ลงทะเบียน แล้วไม่ได้ใช้ คือ ชื่อเล่น ถูกต้องเลยย แต่ ถ้าจะได้ไม่ได้การโอนเงินถูกลง อันนี้กลับไปประเด็นข้างบนก่อน PROMPTPAY คือระบบตรงไหน ระบบหลังบ้าน BANK เขาใช้เชื่อมโยงกันเฉยๆ ถ้า BANK มันไม่ยอมเชื่อม กับ PROMPTPAY คุณก็ไม่ได้โอนเงินถูก อันนี้ ถูกครับ แล้วคุณคิดว่า BANK มันจะโง่หรอ?
4. บริษัทที่เลือกมาไม่ผ่านการประมูลหรือไม่? แต่ใช้ผลงานเป็นข้ออ้างในการเลือก
ตอบ ไปแล้ว ในข้อ 1 ครับ

5. ขั้นตอนต่างๆทำไม ทำกันเงียบๆและรวดเร็วมาก ของอังกฤษใช้เวลา 5 ปีกว่า กว่าจะสรุปว่า vocalink ได้งานระบบนี้ และเป็นระบบที่คล้าย แต่ไม่ใช่แบบ prompt pay
ตอบ ข้อนี้ ขอตอบอย่างนะครับ การทำงาน ทางธนาคารเขาจะแบ่ง เป็น 2 ส่วน
1.การออกแบบระบบ- อันนี้ ไม่ได้จ้างครับ ธนาคารทุกธนาคาร เขาส่งตัวแทนมาช่วยกันออกแบบระบบ จนได้ Solution ที่ทุกธนาคารยอมรับได้ จากนั้น ก็ไปสู่งานที่ 2 คือเขียน Code (Lock Spec ยังไงครับ เจ้าของร่วม ส่งคนมาออกแบบว่าฉันอยากได้อย่างเงี้ย)
2.การเขียน Code Computer – อันนี้ จ้าง Vocalink ให้เขาเขียน Code ให้ ตามที่ธนาคารทุกแห่งต้องการ เพราะเขาเคยเขียน Code คล้ายๆ PROMPTPAY แต่ ไม่ใช่ระบบ PROMPTPAY คือใกล้เคียงที่สุด ที่ธนาคารเขาจะหาได้
ดังนั้น กลับมาที่ประเด็นคำถามที่ว่า ทำไมทำกันเงียบๆ และรวดเร็วมาก ก็เจ้าของระบบ เขามีความรู้และทำเป็นอาชีพ อยู่ทุกวันมาคุยกัน แล้วก็จ้างคนเขียน มันก็จะเร็วกว่า จ้างให้ Vocalink ออกแบบระบบให้ทั้งหมดอยู่แล้ว หรือไม่ครับ
6. บริการที่คล้าย prompt pay เป็นแค่บริการที่เรียกว่า PayM ซึ่งถือว่าล้มเหลว ตามที่อธิบายใต้เส้นประข้างล่าง เพราะคนสมัครแค่ 3 ล้านคน มีการใช้เฉลี่ยแค่คนละ 1 ครั้งต่อปี และลดลงเรื่อยๆ แบบนี้ถือว่า ผลงานเหมาะสมในการนำมาอ้างอิงเพื่อเลือก system integrator หรือไม่?
ตอบ ออกแบบ โดยทีมงานของทุกธนาคาร แค่จ้าง Vocalink เขาเขียน Program ซึ่งผมก็เชื่อว่า ทางธนาคารน่าจะเข้าใจระบบพวกนี้ ดีอยู่แล้ว ซึ่งหากระบบล่ม หรือ ใช้งานไม่ได้ผล Bank ทุกแห่ง ก็รับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งก็จะ switch กลับไปยังรูปแบบเดิมได้ นิครับ เขาก็ไม่ได้ปิดระบบเดิม ซะหน่อย

ขอเสริมประเด็น อีกนิดครับ
เสริม...มูลค่า e-payment ทั้งระบบนี่ก็มหาศาลแล้ว เอาแค่เครื่องอ่านบัตรทั่วประเทศ ทุกร้าน ร้านใหญ่ ร้านเล็ก ร้านอาหารตามสั่ง เพราะรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังบอกว่า ถ้าใช้เงินสดจะเก็บ  VAT 10% แต่ถ้าใช้ e-payment จะเก็บ VAT 7% ฉะนั้นถ้าไม่อยากต้นทุนเพิ่มหรือถูกบังคับสำหรับเจ้าของกิจการ แค่รถเข็นขายผลไม้ก็ต้องมี เครื่องรูดบัตรเครดิตบัตรแบบ wireless และต่อสาย ที่ตอนนี้ธนาคารกสิกรเก็บเดือนละ 450 บาท หรืออย่างต่ำ ถูกสุดบางธนาคารเก็บ 160 บาท (ถ้ายอดไม่ถึงเกณฑ์) ไม่รวมค่ามือถือและ landline ที่ต่อระบบ อีกเดือนละ 100-200 บาทสำและถ้ามีค่าประกันเครื่องอีกจะทำยังไง ที่สำคัญมีค่าธรรมเนียมต่อ order ด้วยนะครับ ตอนนี้อยู่ที่ 1.9-2.5% เขาจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายครับ

อันนี้ เป็นอีกเรื่องนะครับ ที่ไม่อยู่ในระบบ PROMPTPAY แต่อยู่ใน Nation e-Payment โปรเจคที่ 2 คือ การเพิ่มเครื่องรับชำระหรือที่เรียกว่า EDC โดยขอให้ความเห็น ใน 2 ประเด็นดังนี้นะครับ
      1.ร้านอาหาร หรือเจ้าของกิจการ ต้องลงทุนซื้อเครื่อง EDC ซึ่ง เท่าที่ได้ยิน ตอนนี้ ทาง ธปท. กำลังเจรจาขอให้แบงก์ช่วย ผู้ประกอบการรายเล็กว่าแจกเครื่องฟรี แบบ mPOS (เครื่องที่แปะ กับมือถือน่ะครับ)
      2.ทางโครงการเขาก็ช่วย ไปเจรจาลดค่ารูดบัตรลงตั้งเยอะ จากตอนนี้ อยู่ที่ 2-3% เขาก็ลดลงมาให้ ต่ำกว่า 0.75% หรือมากกว่า นั้น ถ้าถามว่าทำได้ยังไง ไปเจรจาลดราคา (ทางธนาคารต่างๆ เขาก็สร้างระบบขึ้นมาเองเลย แล้วลดราคาลง)
ความคิดเห็นที่ 7
เฮ้ย ! นอกจากคุณบวรศักดิ์ ออกมาพูดคนเดียว ครั้งเดียวแล้ว ไม่เห็นนักวิชาการการเงิน การธนาคาร การสื่อสาร ออกมาพูดไรมั่งเลย กลัวอะไร? หรือใครห้ามไว้หรือ?

นี่มันยิ่งกว่าการสมคบคิดอย่างที่ความเห็นบนว่าไว้อีกนะ ไม่มีการประกวดราคา ไม่มีการประกาศสเปคที่ควรเป็น ไม่มีการระดมความคิดจากภาคส่วนไหน (อย่างเปิดเผย) เลย อย่างนี้จะให้คิดอย่างไร แล้วข้อมูล(ไม่ค่อยตรงความจริง)ที่ BOT ออกมาพูดนั้น จะให้ใครรับผิดชอบ คนพูด หรือคนหาข้อมูลมาให้พูด แต่ไงก็ต้องมีคนรับผิดชอบ

ทำไมไม่มีใครที่บารมีมากพอและกล้า ๆ หน่อย สอบถามอย่างเป็นทางการไปที่สถานทูตสิงคโปร์และสถานทูตอังกฤษอย่างเป็นทางการ ให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย

แล้วอย่างนี้จะไม่มีใครร้องไปทางผู้ตรวจการแผ่นดินให้สอบรายละเอียดและที่มาที่ไป(ความเร่งด่วน)อย่างไม่ชอบมาพากลนี้บ้างเลยหรือ?
ความคิดเห็นที่ 22
มันน่ากลัวตรงที่ นายแบงค์หน้าเลือด ใจกว้างขนาดแจกรถแจกของเพื่อให้คนไปใช้บริการมากๆ ทั้งที่โอนทีละ 5000 แบงค์ไม่ได้อะไรเลย ซึ่งมันผิดธรรมชาติ ของการทำธุรกิจ
ความคิดเห็นที่ 141
อันตรายของการเอา ID มาแปะกับการใช้จ่ายทางการเงินคืออะไรรู้ไหมครับ
อันตรายจากการถูกวิเคราะห์พฤติกรรม (ซึ่งปัจจุบันนี้ก็แย่อยู่แล้ว แต่ผมไม่อยากให้แย่ลงไปอีก)

เล่าตัวอย่างง่ายๆให้ฟัง มีครอบครัวหนึ่งในประเทศอังกฤษ วันหนึ่งมีคูปองส่วนลดจากห้างสรรพสินค้าส่งมาให้ที่บ้าน
ข้างในนั้นเต็มไปด้วยส่วนลดสินค้าสำหรับแม่และเด็ก  ฟังดูธรรมดาใช่ไหมครับ?
ที่มันไม่ธรรมดาคือ จดหมายส่งมาให้ลูกสาวของบ้านนี้ที่เป็นเด็ก ม.ปลาย เท่านั้นเอง
ผู้ปกครองของเด็กสาวคนนี้โกรธจัด บึ่งรถไปที่ห้างสรรพสินค้านั้นแล้วขอคุยกับผู้จัดการเลย

“My daughter got this in the mail!”
“She’s still in high school, and you’re sending her coupons for baby clothes and cribs?
Are you trying to encourage her to get pregnant?”


ผู้จัดการก็ขอโทษขอโพยไปตามหน้าที่ของผู้จัดการที่ดี
หลายวันต่อมา ผู้จัดการก็โทรไปที่บ้านลูกค้าอีกทีเพื่อขอโทษ แต่ แทนที่เขาจะขอโทษ
ผู้ปกครองคนนั้นกลับขอโทษเสียเองและบอกว่า

“I had a talk with my daughter,”
“It turns out there’s been some activities in my house I haven’t been completely aware of.
She’s due in August. I owe you an apology.”


ใช่ครับลูกสาวเขาท้อง และจะคลอดแล้วด้วย
คำถามคือแล้วห้างสรรพสินค้านั้นรู้ได้ยังไง ทั้งๆที่พ่อของเด็กสาวคนนั้นเองยังไม่รู้

คำตอบคือบัตรสมาชิกสะสมแต้มทุกใบนั้นจะมีข้อมูลของผู้ถืออยู่
ทุกครั้งที่เราสะสมแต้ม ห้างสรรพสินค้าก็จะเก็บข้อมูลว่าเราซื้ออะไร เท่าไหร่ วันไหน ที่ไหน
ข้อมูลเหล่านี้แหละครับเขาเอามาวิเคราะห์เพื่อจะได้โฆษณาให้ตรงจุดว่า เรามีรสนิยมยังไง
รายได้ประมาณไหน จะได้ส่งส่วนลดหรือโปรโมชันมาให้ถูก
และข้อมูลพวกนี้มันเที่ยงตรงขนาดที่สามารถระบุได้ว่า คนๆนั้นท้องอยู่หรือเปล่าเลยทีเดียว
นั่นคือข้อมูลจากห้างเดียวนะครับ

แล้วลองนึกภาพ Any ID, National e-payment ที่เราเอา ID ของเรา ไปแปะกับรายการทางการเงินของเรา
ขอโทษเถอะ ขุมทรัพย์ดีๆนี่เอง ขุมทรัพย์ขนาดมหาศาลด้วย
แน่นอนมันมาพร้อมกับความเสี่ยงอย่างมหาศาลไม่ว่าจะตกอยู่ในมือใคร ไม่เว้นแม้แต่กำมือของรัฐ
ขุมทรัพย์ขนาดที่ว่า Google สามารถทำให้เราใช้บริการของเขาได้โดยไม่ต้องเก็บเงินจากเรา แต่เขาทำกำไรจากข้อมูลพวกนั้นได้นั่นล่ะครับ
และข้อมูลนี้มันลึกยิ่งกว่าที่ Google มีเสียอีก เพราะ Google คงไม่รู้ว่าเรามีที่ดินอยู่ที่ไหนบ้าง เข้าโรงพยาบาลที่ไหน มีโรคประจำตัวอะไร
พ่อ-แม่ ชื่ออะไร มีพี่น้องกี่คนหรอกนะครับ

อย่างที่ผมบอก ถ้าดูผิวเผินมันก็สะดวกดี แต่ถ้าดูกันลึกๆ ผมไม่ไว้ใจที่จะให้ใครเก็บข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ขนาดนั้น เอามารวมกันไว้ในที่เดียวกัน

อยากอ่านบทความเต็มเรื่องที่ผมเล่ามา อ่านได้ที่นี่ครับ
http://www.forbes.com/sites/kashmirhill/2012/02/16/how-target-figured-out-a-teen-girl-was-pregnant-before-her-father-did/#129584c634c6


ใครอยากใช้ก็เชิญตามสบายผมไม่ขัด แต่ถ้าไม่ออกกฎหมายให้บังคับใช้ผมคงไม่ใช้หรอก
และต่อให้ออกกฎหมายมา ผมก็จะไม่เห็นด้วยกับกฎหมายที่ว่าและจะคัดค้านเท่าที่จะทำได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่