พฤติกรรมของเมธีธรรมาจารย์ก็เหมือน "นักเคลื่อนไหวทางการเมือง”

กระทู้คำถาม
กล่าวกันตรงไปตรงมาว่า หากถอดจีวรออกมา
พฤติกรรมของเมธีธรรมาจารย์ก็เหมือน "นักเคลื่อนไหวทางการเมือง”

แต่เมธีธรรมาจารย์เป็นพระ มิใช่แกนนำ

ถึงจะมีพระก้มหัวให้และพร้อมจะรับคำสั่งอยู่ก็ตาม แต่ควรจะละมิจฉาทิฐิลงไปเสีย การที่สมเด็จช่วงจะได้เป็นหรือมิได้เป็นพระสังฆราช  มิได้ทำให้พระพุทธศาสนาวินาศสันตะโรไม่  แต่พระที่ไม่หมดจดตามพระธรรมวินัย ไม่ละความอยากได้ใคร่มีในทางโลก ไม่ถอนใจจากการยึดมั่นถือมั่น เสพติดตัวบุคคลต่างหาก คือความถดถอยของศรัทธาจากญาติโยม และพระพุทธศาสนาจะคลอนคลายจากจิตศรัทธาของคน

แทนการเอาพระสงฆ์ในเครือข่ายมาเป็นเครื่องกดดันต่อรองให้สมเด็จช่วงเป็นสังฆราช  เอาไปเร่งรัด ทำความกระจ่างในคดีครอบครองรถเบนซ์ของสมเด็จช่วง กับคดี “สมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร” ของธัมมชโย ให้ได้คำตอบตามกระบวนการยุติธรรมและการวินิจฉัยของคณะสงฆ์เรื่องอวดอุตริมนุสธรรมจะดีกว่าอย่ามัวแต่จินตนาการ ยึดบทพระเอก และปั้นคนอื่นให้เป็นผู้ร้าย ที่หมายจะทำลายพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการ “เล่นใหญ่” เกินจริง และเกินความเหมาะสมในความเป็นสงฆ์
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
“11 กรกฎาคม 2559 เวลา 11.00 น. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ได้แถลงผลการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า มส. ได้ดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วนั้น

ล่าสุด นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในเวลาถัดมาว่า จะยังไม่มีการเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะตามมติ มส. เพราะต้องให้คดีความจบสิ้นก่อนศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย สมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา พร้อมภาคีเครือข่ายได้เรียกประชุมเร่งด่วนและมีมติ ดังนี้

1.ขออนุโมทนาต่อจิตอันประกอบไปด้วยกุศลของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ให้ความกระจ่าง ตรงไปตรงมา ไม่มีการเมืองแอบแฝง เป็นที่พึ่งของสังคมได้ ในภาวะที่กระบวนการยุติธรรมถูกมองด้วยความเคลือบแคลง สงสัย

2.ขอให้รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี ได้เสนอนามสมเด็จพระราชาคณะ ตามมติอันถูกต้องนั้น ดำเนินการไปตามกระบวนการดังที่ควรจะเป็น

3.ขอให้รัฐบาลฟังความเห็นให้รอบด้าน รอบคอบ คำนึงถึงความสงบเรียบร้อยอันดีงามในหมู่สงฆ์และพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป

4.ขอให้กลุ่มบุคคลที่สร้างเรื่อง สร้างสถานการณ์เพื่อร้อยรัดข้อกฎหมายและเจตนาจะสร้างมลทินให้เกิดขึ้น ได้ตระหนักถึง บาป บุญ คุณโทษ กลับใจและเลิกปฏิบัติก่อเวรเสีย

5.องค์กรพุทธพร้อมภาคีเครือข่ายจะรอดูท่าทีทั้งหมดของผู้เกี่ยวข้องภายใน 1 สัปดาห์ หลังจากนั้น จะกำหนดท่าทีร่วมกันในการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ ทั่วประเทศ

พระเมธีธรรมาจารย์  เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย, ที่ปรึกษา สมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา, 12 กรกฎาคม 2559”

อ่านดูแต่ละข้อแล้ว  ดวงตาเห็นธรรมและเห็นเวรกรรมที่หนักหน่วง  ถ่วงอยู่ในกิจการพระพุทธศาสนาของประเทศไทยไปพร้อมๆ กัน

1)เป็นพระควรจะสุจริตใจตรงไปตรงมา  อย่าทำทีเป็นอนุโมทนากับการวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา  แต่ไม่รู้ว่า “จิตที่แท้” อนุโมทนาจริงไหม หรือเพียงแต่อาศัยเป็น “วัว” เพื่อเอาไว้ “ตีกระทบคราด” เป็นจิตที่สะอาด ผ่องใส หรือเกิดจากใจที่โสมม มีกิเลสเคลือบแฝง เหมือนตะกรันในท่อน้ำประปา

แน่นอน ผมเองก็เห็นด้วย ที่กฤษฎีกาตีความ มาตรา 7 ของ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ว่า จะให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนเริ่มกระบวนการเสนอเชื่อ “พระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์”ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช หรือจะให้คณะกรรมการมหาเถรสมาคมเป็นคนริเริ่มก็ได้  เพราะสาระสำคัญของกฎหมาย อยู่ที่ “นายกฯ เป็นคนนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ”  โดยไม่ว่าจะเริ่มจากใคร กฎหมายก็ล็อกเอาไว้แล้วว่า ให้เลือกจากพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ ซึ่งปัจจุบันก็คือ สมเด็จช่วง

แต่เจ้าคุณประสารอาจจะลืม หรือไม่ได้ใส่ใจว่า คณะกรรมการกฤษฎีกายังได้ระบุด้วยว่า นายกรัฐมนตรีมีอำนาจที่จะดูความเหมาะสมของนามที่ มส. เสนอเพื่อทูลเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชด้วย ดังนั้น หากมีการเสนอนามผู้สมควรดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช พบว่ามีปัญหาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีความ หรืออื่นๆ นายกรัฐมนตรีสามารถขอให้ทบทวนนามได้ ไม่ใช่แค่ทำหน้าที่เป็นบุรุษไปรษณีย์

เพราะหากใส่ใจในประเด็นนี้ ย่อมไม่มีข้อ (ข่มขู่) อื่นๆ ตามมา

2)การดำเนินการตามกระบวนการที่ควรจะเป็นนั้นเมธีธรรมาจารย์ควรจะรู้ว่า แบ่งเป็น 3 ส่วน  ส่วนต้น คือ สังฆอำนาจ ดำเนินการประชุม เสนอชื่อ (ซึ่งทำแล้ว)  ส่วนกลาง คือ รัฐอำนาจ คือตรวจสอบคุณสมบัติ ความเหมาะสม ความไร้มลทินให้เสร็จสิ้น  โดยเริ่มจากรัฐมนตรี สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และรับช่วงต่อจากมติมหาเถรสมาคม เมื่อตรวจสอบดีแล้ว ก็ส่งต่อไปยังรองนายกฯ วิษณุ เครืองาม ให้กลั่นกรองอีกครั้งให้รอบคอบ  เพราะนี่เป็นการ “นำความขึ้นกราบบังคมทูล” การจะนำชื่อใคร โดยเฉพาะชื่อผู้สมควรได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช จะทำเล่นๆ ทำตามใจอยากหรือไม่อยากคงไม่ได้ แต่ต้องทำตามขั้นตอนของกฎหมาย และความสงบเรียบร้อยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ดังคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเมธีธรรมาจารย์ตั้งจิตอนุโมทนานั้น

จากนั้นจึงไปถึงขั้นนำความขึ้นกราบบังคมทูล โดยนายกรัฐมนตรี ซึ่งล่าสุด พลเอกประยุทธ์ก็พูดชัดเจนว่า ไม่ได้ว่าอะไร อำนาจใครก็อำนาจใคร ตนมีหน้าที่อะไร มีหน้าที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ แล้วตนทูลเกล้าฯ ในสิ่งที่มีปัญหาได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็จบ

ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม ก็ยืนยันว่า นายกฯ มีอำนาจในการตรวจสอบ เนื่องจากนายกฯ มีหน้าที่ในการนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ และรับสนองพระบรมราชโองการ และจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหากเกิดปัญหา ดังนั้น นายกฯ จึงต้องตรวจสอบรายชื่อก่อนดำเนินการ
ส่วนปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใสของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ นั้น เราคงไม่ต้องนำเรื่องความเหมาะสมหรือความไม่เหมาะสมมาพูดในที่สาธารณะ เพราะนายกฯ ย่อมมีเหตุผลว่าการที่จะนำขึ้นทูลกล้าฯ ต้องมีความชัดเจน

3)ความไม่ชัดเจนของสมเด็จช่วงมีอยู่ 2 เรื่อง คือ คดีครอบครองรถเบนซ์นำเข้า จดประกอบ และขอเลขทะเบียนที่ผิดกฎหมาย ซึ่งอยู่ๆ คดีก็เงียบหายไป ไม่เห็นความคืบหน้า กับข้อกล่าวหาว่า ไม่กำกับการปกครองคณะสงฆ์และวินิจฉัยปัญหาพระสงฆ์ทำผิดพระธรรมวินัย คือเรื่อง “ธัมมชโย” แห่งวัดพระธรรมกาย  เรื่องเก่าคือ ไม่ทำตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช อันนั้นก็เถียงกันไป ผมอยากเห็นการใส่ใจเรื่องร้องเรียนใหม่มากกว่า เพราะขณะนี้ สมเด็จช่วงปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชอยู่  มีการร้องเรียนพฤติกรรมอวดอุตริมนุสธรรมของธัมมชโยหลายเรื่อง ซึ่งจะบอกว่า “ธุระไม่ใช่” ก็คงไม่ได้  หากท่านขมีขมันสั่งการให้เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เจ้าคณะจังหวัด ดำเนินการสอบข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย แทนการเพิกเฉยกับข้อร้องเรียนเหล่านั้น ท่านจะดู “มีบารมี” เป็นพระผู้ใหญ่ ที่เป็นพึ่งได้ของคณะสงฆ์และญาติโยมว่า ท่านไม่ปล่อยให้พระพุทธศาสนาถูกบิดเบือน กร่อนกินโดยเหลือบไรทั้งหลาย และอีกด้านท่านไม่เพิกเฉยให้พระสงฆ์ถูกกล่าวหาคาราคาซัง จนนำมาสู่ความขัดแย้ง

4)ดังนั้น เมื่อกล่าวโดยรวมและโดยลำดับมาดังนี้ ก็เห็นชัดว่า เมธีธรรมาจารย์ กำลังกดดันนายกรัฐมนตรีจนท่าทีที่สงฆ์ดีๆ
ควรจะเป็น  มีนัยของการข่มขู่อยู่ในที ซึ่งกิริยาอย่างนี้ สมเด็จช่วงควรบอกให้หยุด และให้คอยขั้นตอนอันสมบูรณ์ โดยเฉพาะ
เมื่อผ่านชั้น “รัฐอำนาจ” แล้ว ยังมีชั้น “พระราชอำนาจ” ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ จะทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นชั้นสุดท้ายด้วย  ดังนั้น ก่อนจะกราบบังคมทูลหรือทูลเกล้าใดๆ ขอให้เรื่องทั้งหลายหมดจด สิ้นความมัวหมอง หมดมลทินเสียก่อน เป็นดีที่สุด ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และการเคารพเทิดทูน

5)สมเด็จช่วงควรจะเมตตา เรียกเมธีธรรมาจารย์ไปอบรมสอนสั่งให้รู้ระงับ “ความอยาก” ให้รู้ไถ่ถอนจิตมัวๆ หมองๆ ออกจากการยึดมั่นถือมั่นใน “ตัวบุคคล” และ “ยศถาบรรดาศักดิ์”  ด้วยว่าเราเป็น “พระ” พึงแสดงออกให้ควรแก่สมณะสารูป และเรื่องนี้ “เป็นเรื่องของอาตมาโดยตรง หาใช่เรื่องของท่านไม่”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่